ฉีฉีหยิบหนังสือการเมืองออกมาขากกระเป๋า และละทิ้งสิ่งที่ทำให้เธอไขว้เขว และเริ่มทบทวน
เช้าวันรุ่งขึ้น
ฉีฉีรู้สึกว่ามาอาศัยอยู่บ้านคนอื่นแบบฟรีๆมาตั้งหนึ่งคืนควรจะต้องทำอะไรสักหน่อย
ดังนั้นเช้าวันต่อมาเธอเลยตั้งใจตื่นเช้าเพื่อเข้าครัวทำอาหารให้มู่ยู่วฉี
เพราะว่าฉีฉีไม่รู้ว่ามู่ยวู่ฉีชอบกินอะไร เธอเลยทำทั้งเมนูข้าว เส้น และโจ๊ก เธอหวังว่าจะมีสักอย่างที่มู่ยู่วฉีชอบกิน
หลังจากเตรียมอาหารเสร็จ ฉีฉีก็เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องของมู่ยู่วฉี แล้วเคาะประตู
เวลาผ่านไปนานมากโดยไม่มีการตอบสนองใดๆเลย
” แปลกจัง อย่าบอกนะว่าไม่ได้อยู่ในห้อง? ”
ฉีฉีเดินวนรอบๆอพาร์ทเมนท์ไปหนึ่งรอบ สุดท้ายก็เห็นกระดาษโน๊ตหนึ่งแผ่นในห้องนั่งเล่น
” มีธุระที่บริษัท ไว้ติดต่อกันใหม่ ”
ฉีฉีมีความรู้สึกร้อนลุ่ม และรู้สึกท้อแท้กับประโยคนั้น
นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารคนเดียว ฉีฉีมองอาหารเช้าที่หลากหลายนี้แต่กลับไม่มีความปรารถนาที่จะกินเลย
……
เพราะว่ารู้สึกว่าทบทวนบทเรียนได้ไม่ค่อยดี ฉีฉีเลยเข้าร่วมกลุ่มเพื่อการศึกษากลุ่มหนึ่ง ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนนักศึกษาปริญญาโท ทุกคนช่วยกันเรียน และเมื่อพบปัญหาทุกคนก็จะพูดคุยร่วมกันและช่วยกันหาข้อสรุป
ในกลุ่มเพื่อการศึกษากลุ่มนี้ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งใส่แว่นสีดำ เขาแสดงออกอย่างชัดใจว่าสนใจฉีฉีเป็นพิเศษ
เพียงแค่ฉีฉีปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มนี้ ผู้ชายใส่แว่นก็จะเข้าไปใกล้เธออย่างเงียบๆ ด้วยความอบอุ่นและเอาใจใส่
ช่วงเวลาที่ทบทวนมันก็น่าเบื่ออยู่แล้ว พอมามีเรื่องน่าเยาะเย้ยแบบนี้ แน่นอนว่าทุกคนต้องไม่พลาดแน่นอน
เพราะเหตุนี้ ทุกคนยังพูดล้อพวกเขาสองคน และทุกครั้งชายใส่แว่นก็จะยิ้มแย้ม ส่วนฉีฉีหันหน้าไปทางอื่นด้วยสีหน้าจริงจังทุกครั้ง
พอเวลาผ่านไป ฉีฉีก็รักษาระยะห่างกับชายใส่แว่น เธอหวังว่าทุกคนจะค่อยๆเบื่อกับประเด็นนี้และเปลี่ยนไปพูดคุยกันในประเด็นอื่น
แต่การแสดงออกอย่างเยือกเย็นของฉีฉีทำให้มีบางคนเข้าใจผิด
ในตอนเที่ยง ชายใส่แว่นเดินเข้ามาข้างๆฉีฉี แล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม ” ฉีฉี ไปกินข้าวด้วยกันเถอะ ”
” ไม่ต้องหรอก ฉันสั่งอาหารไปกินที่ห้องไว้แล้ว ”
” อ้อ ถ้าอย่างนั้นถ้ากินข้าวเที่ยงเสร็จ เราไปห้องสมุดด้วยกันไหม ฉันจองที่ไว้แล้ว ”
” เย็นนี้ฉันจะไปทำงาน ตอนกลางคืนถึงจะไปห้องสมุด ”
” ถ้าอย่างนั้นไปตอนกลางคืนดีกว่า ฉันรอเธอนะ ”
ความพยายามอย่างไม่ลดของชายใส่แว่นทำให้ฉีฉีปวดหัว
” ค่อยว่ากันใหม่เถอะ ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทันรึป่าว ”
” ไม่ว่าเธอจะมาหรือไม่มา ฉันก็จะจองที่นั่งไว้ให้เธอนะ ที่นั่งข้างๆฉันมันเป็นของเธอคนเดียว ”
พอพูดจบ ชายใส่แว่นก็หน้าแดงขึ้นมาทันที แล้วรีบหันหลังเดินไปอย่างเขินอาย
พอเขาเดินออกไป เพื่อนๆรอบตัวฉีฉีก็ต่างพากันพูดล้อเธอ
” โอ้โห นี่เขาคิดว่ากำลังแสดงละครไอดอลอยู่หรือเปล่า เป็นบทละคนที่หล่อมาก ”
” นั่นนะสิ ที่นั่งข้างๆฉันเป็นของเธอคนเดียว ว้าว เมื่อกี้ขนฉันลุกซู่ไปทั้งตัวเลย ”
” ถ้าจะเวอร์ขนาดนี้ อย่าง่าแต่อาหารเที่ยงเลย อาหารเย็นฉันก็จะกินไม่ลงแล้ว ”
หลายๆพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะอย่างพร้อมเพรียง และมีคนหนึ่งในกลุ่มยังเอามือมาวางบนไหล่ฉีฉีอีกด้วย
ฉีฉีขมวดคิ้ว และผลักหญิงสาวข้างๆเธอออกด้วยความรังเกียจ แล้วพูดว่า ” กินไม่ลงก็ไม่ต้องกิน จะได้ลดความอ้วน ดูพุงเธอสิมันยื่นออกมาแล้ว ”
หญิงสาวตกใจ และรีบเอามือจับท้องของตัวเองไว้ แล้วพูดด้วยความปวดใจ ” หะ จริงหรอ? ต้องเป็นเพราะว่าช่วงเวลาที่ทบทวนกินขนมเยอะไปแน่ๆ พวกเธอมีวิธีดีๆในการลดน้ำหนักกันไหม? ”
ผู้หญิงเมื่อพูดถึงลดน้ำหนักแล้วก็ไม่อาจหยุดพูดได้เลย
พอเห็นว่าความสนใจของทุกคนถูกเบี่ยงเบนไปแล้ว ฉีฉีก็รีบพูดขึ้น ” คือว่า ฉันไปก่อนนะ พวกเธอคุยกันไปนะ ”
” เธอสั่งอาหารไว้แล้วไม่ใช่หรอ? ”
” ฉันโกหกเขาเฉยๆ ”
ฉีฉีทำตามองบนแล้วเดินออกไป
ช่วงนี้เย่ชูวเสวียอยู่ในช่วงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ในตอนเที่ยงจะมีการให้ชิมฟรี อีกทั้งยังอร่อยมากด้วย
ดังนั้น ฉีฉีจึงไปที่ร้านขนมเพื่อกินชนฟรี ทั้งประหยัดตังและอร่อยด้วย
แต่ว่าคนที่มารอกินฟรีวันนี้ ไม่ได้มีแค่ฉีฉีคนเดียว
” กลิ่นอะไร หอมมาก ”
พอได้ยินเสียงของมู่ยู่วฉี ฉีฉีก็รีบเงยหน้ามองพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ
มู่ยู่วฉีพยักหน้าให้เธอ จากนั้นก็เดินไปข้างๆเย่ชูวเสวีย มองไปที่พิซซ่าในมือเธอแล้วเม้นริมฝีปาก
” หอมมาก ให้ฉันชิมสักชิ้นสิ ”
ในขณะที่พูดมู่ยู่วฉีก็ยื่นมือออกไปหยิบ
แต่ว่าเย่ชูวเสวียกลับปัดมือเขาทิ้งแล้วพูดว่า ” อยากมากินฟรี ไม่มีทาง! ”
” ใครมากินฟรีไม่ทราบ ฉันกินแบบจ่ายตัง โอเคไหม? ” ในขณะที่พูดมู่ยู่วฉีก็มองไปที่ฉีฉีแล้วพูดว่า ” ฉีฉี เอาเค้กทุกรสของที่นี่มาอย่างละชิ้น อ้อ ฉันขอกาแฟจาเมกาบลูเมาท์เทนด้วยหนึ่งที่ ”
ฉีฉีเม้มปากแล้วยิ้มจากนั้นพูดว่า ” ได้ค่ะ ”
ฉีฉีหันกลับไปเตรียมของ และเย่ชูวเสวียก็ถามขึ้น ” ช่วงนี้บริษัทของคุณกำลังอยู่ในช่วงเจรจางานไม่ใช่หรอ ทำไมคุณถึงยังมีเวลามาหาฉันที่นี่อยู่อีก ”
” ไม่ว่าจะยุ่งมากแค่ไหนก็ต้องหาอะไรกินสิ ต้องผ่อนคลายสักหน่อย ได้คุยกับผู้หญิงคนนั้นฉันรู้สึกผ่อนคลายมาก ”
ประโยคนี้มันคือความจริง
ช่วงนี้มู่ยู่วฉียุ่งมากจริงๆ ยุ่งจนเขาจะสงสัยในชีวิตของตัวเองแล้ว
พอนึกถึงเสี่ยวยู่วหลินในกำลังมีความสุขกับการฮันนีมูนของเขา มู่ยู่วฉีก็รู้สึกว่าโชคชะตาช่างไม่ยุติธรรมสะเลย
แต่ว่าพอคิดถึงฉีฉีหญิงสาวที่น่ารักคนนั้น มู่ยู่วฉีก็รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น
ดังนั้นพอเขามีเวลาว่างเขาก็จะมาที่ร้านขนม เผื่อจะได้เจอกับฉีฉี จะได้หยอกล้อเธอ และมีความสุขขึ้นมาหน่อย
แต่น่าเสียดาย ที่ร้านขนมไม่ได้มีแค่ฉีฉี ยังมีเย่ชูวเสวียอีกคน
เธอเหมือนกับเป็นแม่ไก่ที่เอาแต่ดูแลฉีฉีราวกับไข่ในหิน เหมือนกลัวว่าเขาจะกินเธออย่างนั้นแหละ
น่าแปลกจริงๆ ทั้งๆที่ตัวเองต่างหากที่เป็นญาติเธอ แต่ทำไมต้องเอาตัวเองไปช่วยคนนอกด้วย?
เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ มู่ยู่วฉียืนกอดอกแล้วจ้องหน้าเย่ชูวเสวีย
เย่ชูวเสวียตกใจกับสายตาของเขา และถามเขาอย่างกลัวๆ ” นาย……กำลังคิดอะไรอยู่? ”
” ฉันกำลังคิดว่าถ้าฉันจะนัดเดทกับฉีฉีเธอจะฆ่าใช่ไหม? ”
เย่ชูวเสวียขมวดคิ้วแล้วพูดว่า ” คนอื่นเขากำลังทบทวนเพื่อที่จะสอบอยู่ นายอย่าไปรบกวนเธอ ”
” ทบทวนก็ต้องพักบ้าง สมองจะได้ปลอดโปร่ง ”
” นายแน่ใจนะที่นายจะนัดเธอเพื่อจะให้เธอได้พักผ่อน? เหอะ อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่านายเป็นคนยังไง ไอ้คนเจ้าเล่ห์!
คำวิจารณ์แบบนี้ทำให้มู่ยู่วฉีลำบากใจมาก แล้วพูดว่า ” ไม่นะ ภาพลักษณ์ฉันในสายตาเธอทำไมถึงได้แย่ขนาดนี้? ”
” เดิมทีก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอด แต่ว่าพอเห็นว่านายไม่ยอมปล่อยมือจากผู้หญิงที่อ่อนโยนและไร้เดียงสาอย่างฉีฉีสักที ก็เลยรู้สึกว่านายมันเลวร้ายมาก ”
” ความสัมพันธ์ของฉันและเธอก็ปกติทั่วไป ก็แค่เห็นว่าเธอน่าสนใจดี ชอบที่จะพูดคุยกับเธอ ก็แค่นั้นเอง ”
เย่ชูวเสวียไม่เชื่อคำพูดของมู่ยู่วฉีอยู่แล้ว เลยพูดอย่างเย็นชาว่า ” ก็แค่พูดคุยกัน แต่สายตาที่นายมองเธอ ทำไมถึงได้เต็มไปด้วยความหยอด? ฉีฉีเป็นคนที่ไร้เดียงสาจะไปทนต่อความยั่วยวนของนายได้ยังไงกัน! ”
ท่าทีของมู่ยู่วฉีรู้สึกแปลกใจและพูดพึมพำว่า ” หยอดหรอ? ”
” นายดูสิ หยอดไม่หยอดนายเองยังไม่รู้เลย ”
พอเห็นว่าเย่ชูวเสวียได้คาดโทษตัวเองไว้แล้ว มู่ยู่วฉีก็ไม่มีอะไรที่จะต่อรอง ” โอ้พระเจ้า ฉันโดนใส่ร้าย ”
เย่ชูวเสวียจับแขนเขาแล้วพูดว่า ” อย่ามาแกล้งทำต่อหน้าฉัน ฉันไม่มีวันหลงกลกับการแสดงของนายหรอกนะ! ”
” เค้กและกาแฟมาแล้ว ”
เพราะว่ามู่ยู่วฉีสั่งเค้กเยอะมาก ฉีฉีเลยยกมาอย่างระมัดระวังมากๆ จึงไม่ทันได้สังเกตท่าทางการสนทนาระหว่างเย่ชูวเสวียและมู่ยู่วฉี
เอาเค้กวางบนโต๊ะ จากนั้นฉีฉีก็พูดกับมู่ยู่วฉีอย่างยิ้มแย้ม ” นี่คือเค้กที่คุณสั่งค่ะ ”
พอเห็นว่าฉีฉีกำลังจะเดินไป มู่ยู่วฉีก็รีบโบกมือเรียกเธอไว้แล้วพูดว่า ” นั่งด้วยกันก่อนสิ ”
ฉีฉีรีบโบกมือปฏิเสธแล้วพูดว่า ” ไม่ได้ๆ ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ ”
เอียงหัวไปมองเย่ชูวเสวีย มู่ยู่วฉีขมวดคิ้วแล้วพูด ” ชูวเสวีย เธอดูสิว่าเธอเป็นเจ้านายยังไงกัน พนักงานถึงขั้นต้องหลีกเลี่ยงเธอเหมือนกับเธอเป็นงูร้าย ”
เย่ชูวเสวียมองดูมู่ยู่วฉีอย่างเงียบๆ ดูว่าเขาจะใช้กลอุบายอะไรอีก
แต่ฉีฉีกลับรู้สึกประหม่า และรีบอธิบายว่า ” ไม่ใช่แบบนั้น ชูวเสวียเป็นเจ้านายที่ดีมาก แต่เป็นเพราะตัวฉันเอง ฉันเป็นพนักงานก็ต้องทำตามกฎระเบียบของพนักงาน ”
” เฮ้ นิสัยซื่อๆของเธอแบบนี้จะโดนคนรังแกเอาได้นะ ”
รังแก?คำพูดนี้ต้องเริ่มพูดตรงไหนดี?
เย่ชูวเสวียทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอทุบโต๊ะและขมวดคิ้วจากนั้นพูดว่า ” มู่ยู่วฉี นายควรจะพอได้แล้วนะ ”
พอเห็นว่าเย่ชูวเสวียโมโห ฉีฉีก็รีบหยิบถาดเสิร์ฟขึ้นมาแล้วพูดว่า ” ทั้งสองค่อยๆคุยกันนะคะ ฉันขอตัวไปทำงานก่อน ”
พอพูดจบ ฉีฉีหันหลังแล้วเดินออกไปเลย
พอฉีฉีไปแล้ว มู่ยู่วฉีก็ไม่มีคนให้หยอกล้อ เขาก็เลยมองไปที่เย่ชูวเสวียแล้วพูดว่า ” เธอดูสิ เธอดุมากขนาดไหน ดุจนทำให้ฉีฉีตกใจหนีไปเลย ”
” เป็นเพราะนายต่างหากที่เอาแต่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง เลยทำให้คนอื่นอยากอยู่ห่างๆนาย”
” อยากอยู่ห่างๆ? ครั้งที่แล้วตอนที่เธออยู่บ้านฉัน พวกเรายังดีดีกันอยู่เลย ”
คำพูดที่เขาโพล่งออกมาจากปากทำให้เย่ชูวเสวียโกรธมาก
เธอยื่นมือไปบีบคอมู่ยู่วฉีไว้ เย่ชูวเสวียพูดด้วยความโกรธ ” มู่ยู่วฉี นายเคยพูดว่าจะไม่เห็นฉีฉีเป็นของเล่นไง! ”
” เธออย่าพูดอะไรน่าเกลียดขนาดนั้น เธอก็แค่มาอ่านหนังสือทบทวนที่บ้านฉันก็แค่นั้น ระหว่างเรายังคนไม่ได้ทำเรื่องอะไรกันทั้งนั้น เฮ้ นี่เธออย่ามาบีบคอฉัน ฉันจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว ”
” ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้หายใจอีกเลย ให้ฉันทำเพื่อประชาชนทุกคนเถอะ! ”
พอฉีฉีได้ยินเสียงบางอย่างเกิดขึ้นทางนี้ เธอเลยยื่นหน้ามาดู
เมือเห็นฉากนี้ก็ทำให้ฉีฉีตกใจแทบแย่ และรีบวิ่งมาถามว่า ” เกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกคุณอย่าตีกันสิ ”
มู่ยู่วฉีแกะมือเย่ชูวเสวียออกแล้วจับไปที่คอของตัวเองจากนั้นพูดว่า ” ใครตีกับเธอ มีแต่ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ๆก็เป็นบ้าขึ้นมาสะอย่างนั้น ฉีฉี ฉันไปก่อนนะ ถ้าฉันอยู่ต่อ มีความเป็นไปได้ว่าต่อไปเธอจะไม่ได้เจอหน้าฉันอีก ”
ในขณะที่พูด มู่ยู่วฉีลุกขึ้นแล้วรีบก้าวขาเดินออกไปไวมาก
เย่ชูวเสวียสะบัดมือแล้วชี้ไปที่เขาจากนั้นพูดว่า ” หึ ถือว่านายหนีได้ไว! ”
ในชั่ววินาที เย่ชูวเสวียก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เธอมองเค้กต่างๆบนโต๊ะ และรีบตะโกนให้มู่ยู่วฉีที่กำลังหันหลังเดินออกไปได้ยิน ” ไอ้บ้า แกยังไม่ได้จ่ายตัง! ”
ฉีฉีที่ยืนอยู่ข้างๆ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยๆถามขึ้น ” เป็นอะไร ทะเลาะกับคุณมู่หรอ? ”
เย่ชูวเสวียตอบว่า ” เราสองคนเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว ฉันชินแล้ว ”
พอได้ยินประโยคนี้ฉีฉีก็พยักหน้าแล้วพูดว่า ” ชอบเถียงกันมาตั้งแต่เด็ก มันก็แสดงออกถึงความสนิทสนมกันอีกแบบนะ ”
เห้อ แบบนี้ใครเขาบอกว่าเป็นความสนิทสนมกัน ที่มันเป็นชะตากรรมที่เลวร้ายชัดๆ
เย่ชูวเสวียไม่อยากพูดถึงเรื่องเลวร้ายในอดีต แต่ว่าบางเรื่องเธอก็ต้องเตือนฉีฉีสะหน่อย
” คือว่า ฉีฉี มู่ยู่วฉีเป็นผู้ชายเจ้าชู้ ชื่อเสียงของเขาก็เลี่ยงลือไปทั่ว ฉันคิดว่าเธอควรจะรักษาระยะห่างกับเขาหน่อยนะ ”
” ตอนที่พวกเราสองคนคุยกัน ระยะมันก็ห่างมากอยู่นะ ”
คำตอบนี้มันค่อนข้างไร้สาระ และทำให้เย่ชูวเสวียไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ยังไงต่อไป
เย่ชูวเสวียใช้นิ่งชี้ไปที่หน้าผากของเธอแล้วพูดว่า ” ฉันหมายความว่า เธอไม่ควรจะติดต่อกับเขามากเกินไป ฉันเกรงว่า……เกรงว่าเขาจะมารบกวนจิตใจของเธอ รบกวนการเรียนของเธอ ”
สำหรับเรื่องนี้ ฉีฉีเองก็รู้สึกแบบนั้น เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า ” อือ ก็จริง ตอนที่อยู่กับคุณมู่หัวใจมันเต้นเร็วมากจริงๆ หัวใจรู้สึกหวิวๆ ”
สีหน้าของเย่ชูวเสวียวิตกกังวลแล้วพูดว่า ” แบบนี้แหละอันตรายมาก แสดงว่าเขาส่งผลกระทบต่อใจเธอแล้ว และมันก็รบกวนกับการเรียนของเธอ ”
คำพูดนี้ทำให้ฉีฉีตระหนักได้ เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า ” ถ้าอย่างนั้นฉันก็เข้าใจแล้ว ฉันจะรักษาระยะห่างกับคุณมู่ ”
ในเวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการตั้งใจอ่านหนังสือทบทวนแล้ว
ฉีฉีถึงขั้นคิดว่าถ้าผลการเรียนยังไม่ดีขึ้น เธอจะขอลางานกับเย่ชูวเสวีย และจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการทบทวนจนกว่าจะสอบเข้าในระดับปริญญาโทได้ จึงค่อยกลับมาทำงาน
พอเห็นท่าทีที่หนักแน่นของฉีฉี เย่ชูวเสวียก็พยักหน้าด้วยความโล่งใจ ” อือ เธอเข้าใจก็ดีแล้ว จริงๆแล้วที่ฉันต้องพูดแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับเธอ โลกใบนี้คนเลวมันเยอะ ไม่อยากเห็นเธอโดนหลอก ”
คนเลว?
ฉีฉีไม่เข้าใจว่าสองคำนี้กับมู่ยู่วฉีมันเกี่ยวข้องกันยังไง
อาจจะเป็นเพราะมู่ยู่วฉีเจ้าชู้มาก แต่ว่าเขาดูแลคนได้ดีมากเลยนะ ตอนที่อยู่กับเขาแล้วมันรู้สึกสบายใจมากๆ
ถ้าหากว่าคนเลวทุกคนเป็นแบบนี้ โลกนี้คงจะสงบและน่าอยู่มากว่านี้แน่ๆ
……
หลังจากที่เปิดร้านอย่างเป็นทางการ ฉีฉีก็เก็บข้าวของของตัวเองและเตรียมตัวกลับสถานศึกษา
พึ่งออกจากประตูร้าน ฉีฉีก็สังเกตเห็นรถคันหนึ่งที่คุ้นตามากจอดอยู่หน้าร้าน
กระจกรถค่อยๆลดลง ผู้ชายในรถโบกมือให้ฉีฉี
ที่แท้ก็คือมู่ยู่วฉี
พอเห็นว่าเป็นมู่ยู่วฉี ฉีฉีก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน
” คุณมู่ ”
มู่ยู่วฉีมองไปด้านหลังของฉีฉีแล้วถามว่า ” ชูวเสวียกลับไปรึยัง? ”
” อือ กลับไปตั้งนานแล้ว ”
พอได้ยินแบบนั้น มู่ยู่วฉีก็ถอนหายใจเบาๆ
” ยัยผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นอะไร อารมณ์เสียอยู่เรื่อย เธอทำงานกับคนแบบนี้ก็ระวังๆหน่อยละกัน
” ไม่หรอก ชูวเสวียดีกับฉันมาก ”
” แต่ว่าเธอก็เห็นแล้วนี่ว่าเธอดุขนาดไหน บางทีเธออาจจะอารมณ์ดีๆอยู่แล้วเปลี่ยนเป็นโมโหร้ายใยชั่ววินาทีก็เป็นได้ ช่างเถอะๆ ไม่อยากพูดถึงเธอแล้ว มาสิ ขึ้นรถ ไปกินข้าวด้วยกัน ยังอยากไปกินร้านหม้อไฟที่ครั้งที่เธอพาฉันไปอยู่ไหม ”
ฉีฉีลูบท้องตัวเองแล้วกล่าวขอโทษ ” แต่ว่าวันนี้ฉันอิ่มแล้ว ”
สีหน้าของมู่ยู่วฉีแสดงออกถึงความเสียใจเล็กน้อย เพราะว่าเขาไม่ได้เห็นท่าทีของฉีฉีตอนกินข้าว
ทุกครั้งที่เห็นฉีฉีกินข้าว มู่ยู่วฉีจะรู้สึกมีความสุขมาก ราวกับคนที่กำลังกินเป็นตัวเองอย่างไงอย่างนั้น
ความรู้สึกที่ทั้งมีความสุขและพอใจมากๆแบบนั้น มันเป็นความรู้สึกที่มู่ยู่วฉีไม่เคยรู้สึกมาก่อน ”
แต่ว่าน่าเสียดาย ที่วันนี้พลาดโอกาสนั้นไป
มู่ยู่วฉียักไหล่เบาๆแล้วพูดว่า ” เอาแบบนี้ไหม เดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับสถานศึกษาเอง ”
” ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้ ”
” ก็แค่ทางผ่านเฉยๆ ไม่ต้องเกรงใจ ขึ้นรถเถอะ ”
เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามีความพยายามมากขนาดนี้ ถ้าฉีฉียังคงปฏิเสธอยู่มันเหมือนกับว่าเป็นการไม่ไว้หน้ามู่ยู่วฉี ดังนั้น เธอจึงทำได้เพียงขึ้นรถมู่ยู่วฉีไปและพูดว่า ” รบกวนคุณด้วยนะคะ ”
” เธอนี่นะ จะเกรงใจอะไรขนาดนั้น ”
มู่ยู่วฉียิ้ม แล้วสตาร์ทรถมุ่งหน้าไปยังสถานศึกษาของฉีฉี
แต่ว่าพอขับไปได้ครึ่งทาง รถก็หยุดลงอย่างช้าๆ
ฉีฉียื่นหัวไปมองดูรถที่หนาแน่นด้านหน้า เธอขมวดคิ้วแล้วพูดว่า ” คงไม่ใช่รถติดใช่ไหม?”
” น่าจะใช่นะ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก เธออ่านหนังสือไป ฉันขับรถ ไม่เสียเวลาหรอก ”
การกระทำที่เอาใจใส่ของมู่ยู่วฉี ฉีฉีหันไปมองแล้วยิ้มออกมา