วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – บทที่ 509 คุณห้ามไปรบกวนเธออีก

บทที่ 509 คุณห้ามไปรบกวนเธออีก

ฉีฉีหยิบหนังสือการเมืองออกมาขากกระเป๋า และละทิ้งสิ่งที่ทำให้เธอไขว้เขว และเริ่มทบทวน

เช้าวันรุ่งขึ้น

ฉีฉีรู้สึกว่ามาอาศัยอยู่บ้านคนอื่นแบบฟรีๆมาตั้งหนึ่งคืนควรจะต้องทำอะไรสักหน่อย

ดังนั้นเช้าวันต่อมาเธอเลยตั้งใจตื่นเช้าเพื่อเข้าครัวทำอาหารให้มู่ยู่วฉี

เพราะว่าฉีฉีไม่รู้ว่ามู่ยวู่ฉีชอบกินอะไร เธอเลยทำทั้งเมนูข้าว เส้น และโจ๊ก เธอหวังว่าจะมีสักอย่างที่มู่ยู่วฉีชอบกิน

หลังจากเตรียมอาหารเสร็จ ฉีฉีก็เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องของมู่ยู่วฉี แล้วเคาะประตู

เวลาผ่านไปนานมากโดยไม่มีการตอบสนองใดๆเลย

” แปลกจัง อย่าบอกนะว่าไม่ได้อยู่ในห้อง? ”

ฉีฉีเดินวนรอบๆอพาร์ทเมนท์ไปหนึ่งรอบ สุดท้ายก็เห็นกระดาษโน๊ตหนึ่งแผ่นในห้องนั่งเล่น

” มีธุระที่บริษัท ไว้ติดต่อกันใหม่ ”

ฉีฉีมีความรู้สึกร้อนลุ่ม และรู้สึกท้อแท้กับประโยคนั้น

นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารคนเดียว ฉีฉีมองอาหารเช้าที่หลากหลายนี้แต่กลับไม่มีความปรารถนาที่จะกินเลย

……

เพราะว่ารู้สึกว่าทบทวนบทเรียนได้ไม่ค่อยดี ฉีฉีเลยเข้าร่วมกลุ่มเพื่อการศึกษากลุ่มหนึ่ง ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนนักศึกษาปริญญาโท ทุกคนช่วยกันเรียน และเมื่อพบปัญหาทุกคนก็จะพูดคุยร่วมกันและช่วยกันหาข้อสรุป

ในกลุ่มเพื่อการศึกษากลุ่มนี้ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งใส่แว่นสีดำ เขาแสดงออกอย่างชัดใจว่าสนใจฉีฉีเป็นพิเศษ

เพียงแค่ฉีฉีปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มนี้ ผู้ชายใส่แว่นก็จะเข้าไปใกล้เธออย่างเงียบๆ ด้วยความอบอุ่นและเอาใจใส่

ช่วงเวลาที่ทบทวนมันก็น่าเบื่ออยู่แล้ว พอมามีเรื่องน่าเยาะเย้ยแบบนี้ แน่นอนว่าทุกคนต้องไม่พลาดแน่นอน

เพราะเหตุนี้ ทุกคนยังพูดล้อพวกเขาสองคน และทุกครั้งชายใส่แว่นก็จะยิ้มแย้ม ส่วนฉีฉีหันหน้าไปทางอื่นด้วยสีหน้าจริงจังทุกครั้ง

พอเวลาผ่านไป ฉีฉีก็รักษาระยะห่างกับชายใส่แว่น เธอหวังว่าทุกคนจะค่อยๆเบื่อกับประเด็นนี้และเปลี่ยนไปพูดคุยกันในประเด็นอื่น

แต่การแสดงออกอย่างเยือกเย็นของฉีฉีทำให้มีบางคนเข้าใจผิด

ในตอนเที่ยง ชายใส่แว่นเดินเข้ามาข้างๆฉีฉี แล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม ” ฉีฉี ไปกินข้าวด้วยกันเถอะ ”

” ไม่ต้องหรอก ฉันสั่งอาหารไปกินที่ห้องไว้แล้ว ”

” อ้อ ถ้าอย่างนั้นถ้ากินข้าวเที่ยงเสร็จ เราไปห้องสมุดด้วยกันไหม ฉันจองที่ไว้แล้ว ”

” เย็นนี้ฉันจะไปทำงาน ตอนกลางคืนถึงจะไปห้องสมุด ”

” ถ้าอย่างนั้นไปตอนกลางคืนดีกว่า ฉันรอเธอนะ ”

ความพยายามอย่างไม่ลดของชายใส่แว่นทำให้ฉีฉีปวดหัว

” ค่อยว่ากันใหม่เถอะ ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทันรึป่าว ”

” ไม่ว่าเธอจะมาหรือไม่มา ฉันก็จะจองที่นั่งไว้ให้เธอนะ ที่นั่งข้างๆฉันมันเป็นของเธอคนเดียว ”

พอพูดจบ ชายใส่แว่นก็หน้าแดงขึ้นมาทันที แล้วรีบหันหลังเดินไปอย่างเขินอาย

พอเขาเดินออกไป เพื่อนๆรอบตัวฉีฉีก็ต่างพากันพูดล้อเธอ

” โอ้โห นี่เขาคิดว่ากำลังแสดงละครไอดอลอยู่หรือเปล่า เป็นบทละคนที่หล่อมาก ”

” นั่นนะสิ ที่นั่งข้างๆฉันเป็นของเธอคนเดียว ว้าว เมื่อกี้ขนฉันลุกซู่ไปทั้งตัวเลย ”

” ถ้าจะเวอร์ขนาดนี้ อย่าง่าแต่อาหารเที่ยงเลย อาหารเย็นฉันก็จะกินไม่ลงแล้ว ”

หลายๆพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะอย่างพร้อมเพรียง และมีคนหนึ่งในกลุ่มยังเอามือมาวางบนไหล่ฉีฉีอีกด้วย

ฉีฉีขมวดคิ้ว และผลักหญิงสาวข้างๆเธอออกด้วยความรังเกียจ แล้วพูดว่า ” กินไม่ลงก็ไม่ต้องกิน จะได้ลดความอ้วน ดูพุงเธอสิมันยื่นออกมาแล้ว ”

หญิงสาวตกใจ และรีบเอามือจับท้องของตัวเองไว้ แล้วพูดด้วยความปวดใจ ” หะ จริงหรอ? ต้องเป็นเพราะว่าช่วงเวลาที่ทบทวนกินขนมเยอะไปแน่ๆ พวกเธอมีวิธีดีๆในการลดน้ำหนักกันไหม? ”

ผู้หญิงเมื่อพูดถึงลดน้ำหนักแล้วก็ไม่อาจหยุดพูดได้เลย

พอเห็นว่าความสนใจของทุกคนถูกเบี่ยงเบนไปแล้ว ฉีฉีก็รีบพูดขึ้น ” คือว่า ฉันไปก่อนนะ พวกเธอคุยกันไปนะ ”

” เธอสั่งอาหารไว้แล้วไม่ใช่หรอ? ”

” ฉันโกหกเขาเฉยๆ ”

ฉีฉีทำตามองบนแล้วเดินออกไป

ช่วงนี้เย่ชูวเสวียอยู่ในช่วงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ในตอนเที่ยงจะมีการให้ชิมฟรี อีกทั้งยังอร่อยมากด้วย

ดังนั้น ฉีฉีจึงไปที่ร้านขนมเพื่อกินชนฟรี ทั้งประหยัดตังและอร่อยด้วย

แต่ว่าคนที่มารอกินฟรีวันนี้ ไม่ได้มีแค่ฉีฉีคนเดียว

” กลิ่นอะไร หอมมาก ”

พอได้ยินเสียงของมู่ยู่วฉี ฉีฉีก็รีบเงยหน้ามองพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ

มู่ยู่วฉีพยักหน้าให้เธอ จากนั้นก็เดินไปข้างๆเย่ชูวเสวีย มองไปที่พิซซ่าในมือเธอแล้วเม้นริมฝีปาก

” หอมมาก ให้ฉันชิมสักชิ้นสิ ”

ในขณะที่พูดมู่ยู่วฉีก็ยื่นมือออกไปหยิบ

แต่ว่าเย่ชูวเสวียกลับปัดมือเขาทิ้งแล้วพูดว่า ” อยากมากินฟรี ไม่มีทาง! ”

” ใครมากินฟรีไม่ทราบ ฉันกินแบบจ่ายตัง โอเคไหม? ” ในขณะที่พูดมู่ยู่วฉีก็มองไปที่ฉีฉีแล้วพูดว่า ” ฉีฉี เอาเค้กทุกรสของที่นี่มาอย่างละชิ้น อ้อ ฉันขอกาแฟจาเมกาบลูเมาท์เทนด้วยหนึ่งที่ ”

ฉีฉีเม้มปากแล้วยิ้มจากนั้นพูดว่า ” ได้ค่ะ ”

ฉีฉีหันกลับไปเตรียมของ และเย่ชูวเสวียก็ถามขึ้น ” ช่วงนี้บริษัทของคุณกำลังอยู่ในช่วงเจรจางานไม่ใช่หรอ ทำไมคุณถึงยังมีเวลามาหาฉันที่นี่อยู่อีก ”

” ไม่ว่าจะยุ่งมากแค่ไหนก็ต้องหาอะไรกินสิ ต้องผ่อนคลายสักหน่อย ได้คุยกับผู้หญิงคนนั้นฉันรู้สึกผ่อนคลายมาก ”

ประโยคนี้มันคือความจริง

ช่วงนี้มู่ยู่วฉียุ่งมากจริงๆ ยุ่งจนเขาจะสงสัยในชีวิตของตัวเองแล้ว

พอนึกถึงเสี่ยวยู่วหลินในกำลังมีความสุขกับการฮันนีมูนของเขา มู่ยู่วฉีก็รู้สึกว่าโชคชะตาช่างไม่ยุติธรรมสะเลย

แต่ว่าพอคิดถึงฉีฉีหญิงสาวที่น่ารักคนนั้น มู่ยู่วฉีก็รู้สึกว่าชีวิตไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น

ดังนั้นพอเขามีเวลาว่างเขาก็จะมาที่ร้านขนม เผื่อจะได้เจอกับฉีฉี จะได้หยอกล้อเธอ และมีความสุขขึ้นมาหน่อย

แต่น่าเสียดาย ที่ร้านขนมไม่ได้มีแค่ฉีฉี ยังมีเย่ชูวเสวียอีกคน

เธอเหมือนกับเป็นแม่ไก่ที่เอาแต่ดูแลฉีฉีราวกับไข่ในหิน เหมือนกลัวว่าเขาจะกินเธออย่างนั้นแหละ

น่าแปลกจริงๆ ทั้งๆที่ตัวเองต่างหากที่เป็นญาติเธอ แต่ทำไมต้องเอาตัวเองไปช่วยคนนอกด้วย?

เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ มู่ยู่วฉียืนกอดอกแล้วจ้องหน้าเย่ชูวเสวีย

เย่ชูวเสวียตกใจกับสายตาของเขา และถามเขาอย่างกลัวๆ ” นาย……กำลังคิดอะไรอยู่? ”

” ฉันกำลังคิดว่าถ้าฉันจะนัดเดทกับฉีฉีเธอจะฆ่าใช่ไหม? ”

เย่ชูวเสวียขมวดคิ้วแล้วพูดว่า ” คนอื่นเขากำลังทบทวนเพื่อที่จะสอบอยู่ นายอย่าไปรบกวนเธอ ”

” ทบทวนก็ต้องพักบ้าง สมองจะได้ปลอดโปร่ง ”

” นายแน่ใจนะที่นายจะนัดเธอเพื่อจะให้เธอได้พักผ่อน? เหอะ อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่านายเป็นคนยังไง ไอ้คนเจ้าเล่ห์!

คำวิจารณ์แบบนี้ทำให้มู่ยู่วฉีลำบากใจมาก แล้วพูดว่า ” ไม่นะ ภาพลักษณ์ฉันในสายตาเธอทำไมถึงได้แย่ขนาดนี้? ”

” เดิมทีก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอด แต่ว่าพอเห็นว่านายไม่ยอมปล่อยมือจากผู้หญิงที่อ่อนโยนและไร้เดียงสาอย่างฉีฉีสักที ก็เลยรู้สึกว่านายมันเลวร้ายมาก ”

” ความสัมพันธ์ของฉันและเธอก็ปกติทั่วไป ก็แค่เห็นว่าเธอน่าสนใจดี ชอบที่จะพูดคุยกับเธอ ก็แค่นั้นเอง ”

เย่ชูวเสวียไม่เชื่อคำพูดของมู่ยู่วฉีอยู่แล้ว เลยพูดอย่างเย็นชาว่า ” ก็แค่พูดคุยกัน แต่สายตาที่นายมองเธอ ทำไมถึงได้เต็มไปด้วยความหยอด? ฉีฉีเป็นคนที่ไร้เดียงสาจะไปทนต่อความยั่วยวนของนายได้ยังไงกัน! ”

ท่าทีของมู่ยู่วฉีรู้สึกแปลกใจและพูดพึมพำว่า ” หยอดหรอ? ”

” นายดูสิ หยอดไม่หยอดนายเองยังไม่รู้เลย ”

พอเห็นว่าเย่ชูวเสวียได้คาดโทษตัวเองไว้แล้ว มู่ยู่วฉีก็ไม่มีอะไรที่จะต่อรอง ” โอ้พระเจ้า ฉันโดนใส่ร้าย ”

เย่ชูวเสวียจับแขนเขาแล้วพูดว่า ” อย่ามาแกล้งทำต่อหน้าฉัน ฉันไม่มีวันหลงกลกับการแสดงของนายหรอกนะ! ”

” เค้กและกาแฟมาแล้ว ”

เพราะว่ามู่ยู่วฉีสั่งเค้กเยอะมาก ฉีฉีเลยยกมาอย่างระมัดระวังมากๆ จึงไม่ทันได้สังเกตท่าทางการสนทนาระหว่างเย่ชูวเสวียและมู่ยู่วฉี

เอาเค้กวางบนโต๊ะ จากนั้นฉีฉีก็พูดกับมู่ยู่วฉีอย่างยิ้มแย้ม ” นี่คือเค้กที่คุณสั่งค่ะ ”

พอเห็นว่าฉีฉีกำลังจะเดินไป มู่ยู่วฉีก็รีบโบกมือเรียกเธอไว้แล้วพูดว่า ” นั่งด้วยกันก่อนสิ ”

ฉีฉีรีบโบกมือปฏิเสธแล้วพูดว่า ” ไม่ได้ๆ ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ ”

เอียงหัวไปมองเย่ชูวเสวีย มู่ยู่วฉีขมวดคิ้วแล้วพูด ” ชูวเสวีย เธอดูสิว่าเธอเป็นเจ้านายยังไงกัน พนักงานถึงขั้นต้องหลีกเลี่ยงเธอเหมือนกับเธอเป็นงูร้าย ”

เย่ชูวเสวียมองดูมู่ยู่วฉีอย่างเงียบๆ ดูว่าเขาจะใช้กลอุบายอะไรอีก

แต่ฉีฉีกลับรู้สึกประหม่า และรีบอธิบายว่า ” ไม่ใช่แบบนั้น ชูวเสวียเป็นเจ้านายที่ดีมาก แต่เป็นเพราะตัวฉันเอง ฉันเป็นพนักงานก็ต้องทำตามกฎระเบียบของพนักงาน ”

” เฮ้ นิสัยซื่อๆของเธอแบบนี้จะโดนคนรังแกเอาได้นะ ”

รังแก?คำพูดนี้ต้องเริ่มพูดตรงไหนดี?

เย่ชูวเสวียทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอทุบโต๊ะและขมวดคิ้วจากนั้นพูดว่า ” มู่ยู่วฉี นายควรจะพอได้แล้วนะ ”

พอเห็นว่าเย่ชูวเสวียโมโห ฉีฉีก็รีบหยิบถาดเสิร์ฟขึ้นมาแล้วพูดว่า ” ทั้งสองค่อยๆคุยกันนะคะ ฉันขอตัวไปทำงานก่อน ”

พอพูดจบ ฉีฉีหันหลังแล้วเดินออกไปเลย

พอฉีฉีไปแล้ว มู่ยู่วฉีก็ไม่มีคนให้หยอกล้อ เขาก็เลยมองไปที่เย่ชูวเสวียแล้วพูดว่า ” เธอดูสิ เธอดุมากขนาดไหน ดุจนทำให้ฉีฉีตกใจหนีไปเลย ”

” เป็นเพราะนายต่างหากที่เอาแต่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง เลยทำให้คนอื่นอยากอยู่ห่างๆนาย”

” อยากอยู่ห่างๆ? ครั้งที่แล้วตอนที่เธออยู่บ้านฉัน พวกเรายังดีดีกันอยู่เลย ”

คำพูดที่เขาโพล่งออกมาจากปากทำให้เย่ชูวเสวียโกรธมาก

เธอยื่นมือไปบีบคอมู่ยู่วฉีไว้ เย่ชูวเสวียพูดด้วยความโกรธ ” มู่ยู่วฉี นายเคยพูดว่าจะไม่เห็นฉีฉีเป็นของเล่นไง! ”

” เธออย่าพูดอะไรน่าเกลียดขนาดนั้น เธอก็แค่มาอ่านหนังสือทบทวนที่บ้านฉันก็แค่นั้น ระหว่างเรายังคนไม่ได้ทำเรื่องอะไรกันทั้งนั้น เฮ้ นี่เธออย่ามาบีบคอฉัน ฉันจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว ”

” ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้หายใจอีกเลย ให้ฉันทำเพื่อประชาชนทุกคนเถอะ! ”

พอฉีฉีได้ยินเสียงบางอย่างเกิดขึ้นทางนี้ เธอเลยยื่นหน้ามาดู

เมือเห็นฉากนี้ก็ทำให้ฉีฉีตกใจแทบแย่ และรีบวิ่งมาถามว่า ” เกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกคุณอย่าตีกันสิ ”

มู่ยู่วฉีแกะมือเย่ชูวเสวียออกแล้วจับไปที่คอของตัวเองจากนั้นพูดว่า ” ใครตีกับเธอ มีแต่ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ๆก็เป็นบ้าขึ้นมาสะอย่างนั้น ฉีฉี ฉันไปก่อนนะ ถ้าฉันอยู่ต่อ มีความเป็นไปได้ว่าต่อไปเธอจะไม่ได้เจอหน้าฉันอีก ”

ในขณะที่พูด มู่ยู่วฉีลุกขึ้นแล้วรีบก้าวขาเดินออกไปไวมาก

เย่ชูวเสวียสะบัดมือแล้วชี้ไปที่เขาจากนั้นพูดว่า ” หึ ถือว่านายหนีได้ไว! ”

ในชั่ววินาที เย่ชูวเสวียก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

เธอมองเค้กต่างๆบนโต๊ะ และรีบตะโกนให้มู่ยู่วฉีที่กำลังหันหลังเดินออกไปได้ยิน ” ไอ้บ้า แกยังไม่ได้จ่ายตัง! ”

ฉีฉีที่ยืนอยู่ข้างๆ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยๆถามขึ้น ” เป็นอะไร ทะเลาะกับคุณมู่หรอ? ”

เย่ชูวเสวียตอบว่า ” เราสองคนเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว ฉันชินแล้ว ”

พอได้ยินประโยคนี้ฉีฉีก็พยักหน้าแล้วพูดว่า ” ชอบเถียงกันมาตั้งแต่เด็ก มันก็แสดงออกถึงความสนิทสนมกันอีกแบบนะ ”

เห้อ แบบนี้ใครเขาบอกว่าเป็นความสนิทสนมกัน ที่มันเป็นชะตากรรมที่เลวร้ายชัดๆ

เย่ชูวเสวียไม่อยากพูดถึงเรื่องเลวร้ายในอดีต แต่ว่าบางเรื่องเธอก็ต้องเตือนฉีฉีสะหน่อย

” คือว่า ฉีฉี มู่ยู่วฉีเป็นผู้ชายเจ้าชู้ ชื่อเสียงของเขาก็เลี่ยงลือไปทั่ว ฉันคิดว่าเธอควรจะรักษาระยะห่างกับเขาหน่อยนะ ”

” ตอนที่พวกเราสองคนคุยกัน ระยะมันก็ห่างมากอยู่นะ ”

คำตอบนี้มันค่อนข้างไร้สาระ และทำให้เย่ชูวเสวียไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ยังไงต่อไป

เย่ชูวเสวียใช้นิ่งชี้ไปที่หน้าผากของเธอแล้วพูดว่า ” ฉันหมายความว่า เธอไม่ควรจะติดต่อกับเขามากเกินไป ฉันเกรงว่า……เกรงว่าเขาจะมารบกวนจิตใจของเธอ รบกวนการเรียนของเธอ ”

สำหรับเรื่องนี้ ฉีฉีเองก็รู้สึกแบบนั้น เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า ” อือ ก็จริง ตอนที่อยู่กับคุณมู่หัวใจมันเต้นเร็วมากจริงๆ หัวใจรู้สึกหวิวๆ ”

สีหน้าของเย่ชูวเสวียวิตกกังวลแล้วพูดว่า ” แบบนี้แหละอันตรายมาก แสดงว่าเขาส่งผลกระทบต่อใจเธอแล้ว และมันก็รบกวนกับการเรียนของเธอ ”

คำพูดนี้ทำให้ฉีฉีตระหนักได้ เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า ” ถ้าอย่างนั้นฉันก็เข้าใจแล้ว ฉันจะรักษาระยะห่างกับคุณมู่ ”

ในเวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการตั้งใจอ่านหนังสือทบทวนแล้ว

ฉีฉีถึงขั้นคิดว่าถ้าผลการเรียนยังไม่ดีขึ้น เธอจะขอลางานกับเย่ชูวเสวีย และจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการทบทวนจนกว่าจะสอบเข้าในระดับปริญญาโทได้ จึงค่อยกลับมาทำงาน

พอเห็นท่าทีที่หนักแน่นของฉีฉี เย่ชูวเสวียก็พยักหน้าด้วยความโล่งใจ ” อือ เธอเข้าใจก็ดีแล้ว จริงๆแล้วที่ฉันต้องพูดแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับเธอ โลกใบนี้คนเลวมันเยอะ ไม่อยากเห็นเธอโดนหลอก ”

คนเลว?

ฉีฉีไม่เข้าใจว่าสองคำนี้กับมู่ยู่วฉีมันเกี่ยวข้องกันยังไง

อาจจะเป็นเพราะมู่ยู่วฉีเจ้าชู้มาก แต่ว่าเขาดูแลคนได้ดีมากเลยนะ ตอนที่อยู่กับเขาแล้วมันรู้สึกสบายใจมากๆ

ถ้าหากว่าคนเลวทุกคนเป็นแบบนี้ โลกนี้คงจะสงบและน่าอยู่มากว่านี้แน่ๆ

……

หลังจากที่เปิดร้านอย่างเป็นทางการ ฉีฉีก็เก็บข้าวของของตัวเองและเตรียมตัวกลับสถานศึกษา

พึ่งออกจากประตูร้าน ฉีฉีก็สังเกตเห็นรถคันหนึ่งที่คุ้นตามากจอดอยู่หน้าร้าน

กระจกรถค่อยๆลดลง ผู้ชายในรถโบกมือให้ฉีฉี

ที่แท้ก็คือมู่ยู่วฉี

พอเห็นว่าเป็นมู่ยู่วฉี ฉีฉีก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน

” คุณมู่ ”

มู่ยู่วฉีมองไปด้านหลังของฉีฉีแล้วถามว่า ” ชูวเสวียกลับไปรึยัง? ”

” อือ กลับไปตั้งนานแล้ว ”

พอได้ยินแบบนั้น มู่ยู่วฉีก็ถอนหายใจเบาๆ

” ยัยผู้หญิงคนนั้น ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นอะไร อารมณ์เสียอยู่เรื่อย เธอทำงานกับคนแบบนี้ก็ระวังๆหน่อยละกัน

” ไม่หรอก ชูวเสวียดีกับฉันมาก ”

” แต่ว่าเธอก็เห็นแล้วนี่ว่าเธอดุขนาดไหน บางทีเธออาจจะอารมณ์ดีๆอยู่แล้วเปลี่ยนเป็นโมโหร้ายใยชั่ววินาทีก็เป็นได้ ช่างเถอะๆ ไม่อยากพูดถึงเธอแล้ว มาสิ ขึ้นรถ ไปกินข้าวด้วยกัน ยังอยากไปกินร้านหม้อไฟที่ครั้งที่เธอพาฉันไปอยู่ไหม ”

ฉีฉีลูบท้องตัวเองแล้วกล่าวขอโทษ ” แต่ว่าวันนี้ฉันอิ่มแล้ว ”

สีหน้าของมู่ยู่วฉีแสดงออกถึงความเสียใจเล็กน้อย เพราะว่าเขาไม่ได้เห็นท่าทีของฉีฉีตอนกินข้าว

ทุกครั้งที่เห็นฉีฉีกินข้าว มู่ยู่วฉีจะรู้สึกมีความสุขมาก ราวกับคนที่กำลังกินเป็นตัวเองอย่างไงอย่างนั้น

ความรู้สึกที่ทั้งมีความสุขและพอใจมากๆแบบนั้น มันเป็นความรู้สึกที่มู่ยู่วฉีไม่เคยรู้สึกมาก่อน ”

แต่ว่าน่าเสียดาย ที่วันนี้พลาดโอกาสนั้นไป

มู่ยู่วฉียักไหล่เบาๆแล้วพูดว่า ” เอาแบบนี้ไหม เดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับสถานศึกษาเอง ”

” ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้ ”

” ก็แค่ทางผ่านเฉยๆ ไม่ต้องเกรงใจ ขึ้นรถเถอะ ”

เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามีความพยายามมากขนาดนี้ ถ้าฉีฉียังคงปฏิเสธอยู่มันเหมือนกับว่าเป็นการไม่ไว้หน้ามู่ยู่วฉี ดังนั้น เธอจึงทำได้เพียงขึ้นรถมู่ยู่วฉีไปและพูดว่า ” รบกวนคุณด้วยนะคะ ”

” เธอนี่นะ จะเกรงใจอะไรขนาดนั้น ”

มู่ยู่วฉียิ้ม แล้วสตาร์ทรถมุ่งหน้าไปยังสถานศึกษาของฉีฉี

แต่ว่าพอขับไปได้ครึ่งทาง รถก็หยุดลงอย่างช้าๆ

ฉีฉียื่นหัวไปมองดูรถที่หนาแน่นด้านหน้า เธอขมวดคิ้วแล้วพูดว่า ” คงไม่ใช่รถติดใช่ไหม?”

” น่าจะใช่นะ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก เธออ่านหนังสือไป ฉันขับรถ ไม่เสียเวลาหรอก ”

การกระทำที่เอาใจใส่ของมู่ยู่วฉี ฉีฉีหันไปมองแล้วยิ้มออกมา

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

Status: Ongoing

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท