“ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ? คนอื่นคลอดลูกผู้หญิงถึงร้องไห้ คลอดลูกชายแล้วร้องไห้มีที่ไหนกัน?” หมอรีบเช็ดตัวให้เด็กจนสะอาด จากนั้นก็อุ้มมาด้านหน้าซูสือจิ่น “ดูสิ เป็นเด็กชายที่สวยมากนะ!”
“แต่ว่าฉันคิดว่าถ้าเป็นเด็กผู้หญิงต้องสวยกว่าแน่…” ซูสือจิ่นมองหยานชิงเจ๋อน้ำตาอาบแก้ม “พี่หยานชิง ฉันอยากได้ลูกผู้หญิงทำยังไงดี?”
หมอเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก อดหัวเราะไม่ได้ “งั้นก็รออีกสองปีค่อยมีอีกคน!”
“ไม่เอา คลอดลูกเจ็บมาก…” ซูสือจิ่นพูดอย่างอ่อนแรง
“ไม่เป็นไร ท้องสองไม่เจ็บมาก” หมอพูด “เมื่อกี้พวกเราดูแล้ว หลานเสี่ยวถางที่มาพร้อมกับเธอ เธอคลอดเสร็จตั้งหลายชั่วโมงแล้ว”
“หา?!” ซูสือจิ่นกะพริบตา “เธอคลอดเด็กชายหรือว่าเด็กหญิง?”
“เด็กผู้ชาย” หมอยิ้มแล้วพูด “ช่วงนี้เด็กผู้ชายเกาะกลุ่มกัน ช่วงนี้พวกเราเจอแต่เด็กผู้ชาย!”
พยาบาลอีกคนพยักหน้า “ใช่ค่ะ กลุ่มเดียวกันเป็นเพศเดียวกันหมดมักจะเป็นแบบนี้บ่อย ๆ เดือนที่แล้ว เหมือนว่าสัปดาห์หนึ่ง เป็นเพศหญิงหมด น่าอัศจรรย์มาก!”
“หมอคะ ที่คุณหมอพูดว่าท้องสองไม่ค่อยเจ็บ ใช่ไหมคะ?” ซูสือจิ่นถามอย่างอ่อนแรง
หมอพยักหน้า “อืม ดีกว่าเยอะ ท้องสองถ้าหากไม่ตัดฝีเย็บ วันที่สองก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้”
“แต่ว่า ถ้าหากท้องสองเป็นเด็กผู้ชายอีกจะทำยังไง?” ซูสือจิ่นลังเล
หยานชิงเจ๋อที่อยู่ด้านข้างพูดปลอบ “เสี่ยวจิ่น พวกเราไม่ต้องคิดเยอะขนาดนั้นก่อน รอให้ลูกโตก่อน ค่อยคิดเรื่องอื่น ร่างกายของคุณสำคัญ รักษาร่างกายให้แข็งแรงก่อน”
ได้ยินคำพูดอ่อนโยนของหยานชิงเจ๋อ ความไม่ยุติธรรมในหัวใจของซูสือจิ่นก็ดีขึ้น เธอมองดูลูกอย่างละเอียด ดูเหมือนจะดีกว่าตอนที่หรงฉิวเพิ่งเกิดมาแล้วมีรอยย่นนิดหน่อย
“เสี่ยวจิ่น เด็กผู้ชายก็ดี ต่อไปโตแล้ว ก็มีคนปกป้องเธอเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง” หยานชิงเจ๋อทัดไรผมตรงหน้าผากที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อไปที่หลังหูของซูสือจิ่นอย่างรอบคอบ
“ก็ได้ งั้นพวกเราตั้งชื่อให้เขากันเถอะ…” ซูสือจิ่นครุ่นคิด เดิมทีเด็กผู้หญิงจะให้ชื่อหยานมู่จิ่น ตอนนี้เป็นเด็กผู้ชายชื่อนี้เหมือนกับไม่ค่อยดี หรือว่า ในอนาคตจะต้องคลอดลูกคนที่สองเหรอ? ลังเลมาก”
หยานชิงเจ๋อพูด “เสี่ยวจิ่น เรื่องตั้งชื่อพวกเราค่อยเป็นค่อยไป เมื่อกี้คุณลำบากเลย พักผ่อนให้พอ ถ้าง่วงก็นอนสักพัก ตื่นขึ้นมาแล้วพวกเราค่อยคิดชื่อกัน”
ใช่ ก่อนหน้านี้เธอเหนื่อยแทบแย่ เมื่อกี้ถ้าหากไม่พูดว่าเพศของลูกเปลี่ยนไป เกรงว่าคงจะหมดแรงไปตั้งนานแล้ว ซูสือจิ่นได้ยินหยานชิงเจ๋อพูดแบบนี้ จึงพยักหน้า “ตกลง ฉันนอนก่อนนะ ลูกจะกินนมแล้วค่อยปลุกฉัน”
ตอนนี้หมอจัดการสายสะดือของเด็กเสร็จ แล้วก็ช่วยซูสือจิ่นเช็ดร่างกายจนสะอาด จากนั้นก็วางเด็กลงข้างซูสือจิ่น ทุกคนเข็นเธอเข้าห้องพักด้วยกัน
ห้องข้างๆ หลานเสี่ยวถางตื่นนอนแล้ว
หนุ่มน้อยก็เหมือนจะหิวแล้ว เขาหลับตา ร้องไห้เสียงดังกังวาน
ได้ยินลูกชายตัวน้อยร้อง สือมูเฉินมองไปทางหวันหว่านที่อยู่ในอ้อมแขน รู้สึกปวดใจ
ที่แท้ เสียงร้องของเด็กก็คือเสียงธรรมชาติแบบนี้ เสียดายที่ตอนนั้นเขากับหลานเสี่ยวถางเพิ่งเป็นพ่อแม่คนครั้งแรกไม่มีประสบการณ์อะไร คิดเพียงแค่หวันหว่านไม่ร้องก็เพราะเป็นเด็กดี!
ใจสื่อถึงกัน ในตอนที่หลานเสี่ยวถางได้ยินลูกชายร้อง ดวงตาร้อนผ่าวในทันที
เธอยื่นแขนอุ้มลูกขึ้นมา จากนั้นก็วางในอ้อมแขน ให้นมลูกกิน
เป็นสัญชาตญาณ ที่ไม่ต้องมีคนสอน
ดังนั้นเมื่อลูกหานมเจอก็เริ่มดูดในทันที
ส่วนในตอนนี้ หวันหว่านที่อยู่ในอ้อมกอดของสือมูเฉินเห็นน้องชายกำลังกินนม เหมือนรำลึกความทรงจำขึ้นมาได้
เธอเงยหน้ามองปะป๋า ท่าทางน้อยใจ จากนั้นก็ชี้ไปทางน้องชาย ในดวงตากลมโตคือความเสียใจที่แม่ของตัวเองถูกยึดไป
สือมูเฉินเข้าใจ จึงกอดหวันหว่านแล้วรีบอธิบาย “หวันหว่าน เขาเป็นน้องชายของลูกไง ลูกลืมแล้วเหรอ น้องชายที่อยู่ในท้องมะม๊าเมื่อก่อน ตอนนี้น้องออกมาจากท้องมะม๊าแล้ว น้องหิวแล้วก็ต้องกินนม เหมือนกับหวันหว่านตอนเล็ก ๆ แต่ว่าหวันหว่านโตแล้ว ไม่ต้องกินนมแล้ว พวกเราให้น้องกินดีไหม?”
หวันหว่านครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่พักใหญ่ ถึงได้พยักหน้า แล้วมองไปทางน้องชายที่อยู่ในอ้อมกอดของหลานเสี่ยวถางอีกครั้ง
เธอชี้ไปทางนั้น เหมือนอยากจะให้สือมูเฉินอุ้มเธอเข้าไป
สือมูเฉินพาเธอเข้าไปใกล้ ๆ เธอมองน้องชายอย่างสงสัย แล้วมองไปทางท้องที่แบนเรียบของหลานเสี่ยวถาง เธอหัวเราะขึ้นในทันที
เฉียวโยวโยวที่อยู่ด้านข้างเห็นช่วงเวลาที่อบอุ่นแบบนี้ จึงอดหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปรวมครอบครัวสี่คนไม่ได้
หลานเสี่ยวถางกับซูสือจิ่นคลอดธรรมชาติ ดังนั้นออกจากโรงพยาบาลค่อนข้างเร็ว
วันที่สามที่ออกจากโรงพยาบาล สือมูเฉินมาถึงTimes Group ก็ได้รับบัตรเชิญใบหนึ่งที่พี่ใหญ่สือมูชิงเป็นคนส่งมา
เขาเปิดบัตรเชิญออก ดูข้อความด้านบน จึงส่งข้อความไปหาหลานเสี่ยวถาง “เสี่ยวถาง เพ่ยหลินจะแต่งงานแล้ว”
“หา? กะทันหันขนาดนี้เลย?!” หลานเสี่ยวถางพูด “เมื่อไหร่?”
“กลางเดือนหน้า” สือมูเฉินพูด “พอดีกับที่ถึงเวลาคุณก็ออกจากการอยู่ไฟแล้ว”
อันที่จริงหลานเสี่ยวถางไม่ชอบการอยู่ไฟ เวลาหนึ่งเดือน แม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่ค่อยให้เธอดู นอกจากให้นมลูกแล้วก็ให้นมลูกอีก
กว่าที่การอยู่ไฟจะสิ้นสุด เธอรู้สึกเหมือนได้รับการปล่อยตัวหลังจากรับโทษ
วันนี้เป็นงานแต่งงานของสือเพ่ยหลิน สือมูเฉินกับคนอื่น ๆ เป็นคนในครอบครัวของด้านสือเพ่ยหลิน จึงไปต้อนรับแขกที่งานแต่งตั้งแต่เช้า
เพราะเป็นฤดูหนาว งานแต่งจึงจัดในโรงแรมใหญ่ที่หนิงเฉิง
เพราะหลานเสี่ยวถางต้องให้นมลูก ดังนั้นในตอนที่มาถึง งานแต่งได้เริ่มขึ้นแล้ว
ห่างจากครั้งที่แล้ว นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอสือเพ่ยหลิน
ก่อนหน้านี้ เขาเอาหุ้นส่วนหนึ่งในTimes Group ของตัวเองขายให้สือมูเฉิน อีกส่วนให้ตลาด ตั้งบริษัทจัดเลี้ยงแบบครบวงจรของตัวเอง ตอนนี้บริษัทเป็นชิ้นเป็นอันดี
ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่มาก นอกจากนี้ยังวางแผนที่จะจดทะเบียนตลาดหุ้น
ดังนั้นในงานหลายคนเป็นเพื่อนธุรกิจของสือเพ่ยหลิน หลานเสี่ยวถางไม่รู้จักเยอะมาก หลังจากที่มาถึง ก็ไปอยู่ข้างสือมูเฉินโดยตรง
งานแต่งเริ่มขึ้นแล้ว เพื่อนเจ้าบ่าวที่อยู่ข้างสือเพ่ยหลินก็คือผู้ช่วยพิเศษของเขา บางทีอาจเป็นเพราะในงานแต่งงานเจ้าบ่าวแต่งหน้า หลานเสี่ยวถางเห็นสือเพ่ยหลินกลับไปเป็นเหมือนก่อนที่จะไม่สบายเมื่อหลายปีก่อน
ด้านหลังของเขา เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่คุ้นหน้ามากๆ ภายใต้การประคองของเพื่อนเจ้าสาว ค่อย ๆ เดินไปทางเขา
หลานเสี่ยวถางดูแล้ว เด็กสาวน่าจะอายุยี่สิบสองยี่สิบสาม หน้าตาค่อนข้างสดใส ไม่มีจุดเด่นอะไรมากนัก
เธอเดินมาข้างสือเพ่ยหลิน หันหน้ามามองเขา ในดวงตาเผยรอยยิ้ม
หลานเสี่ยวถางอึ้งในทันที เธอเหมือนเห็นตัวเองเมื่อหลายปีก่อน
อายุราว ๆ นี้ รอคอยการแต่งงานที่สวยงาม เพียงแต่ทุกอย่างในภายหลัง หลังจากที่สือเพ่ยหลินประสบอุบัติเหตุ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด
เพียงแต่ทุกอย่างยังดีอยู่ ในที่สุดเธอก็ได้พบกับผู้เป็นที่รักที่จะอยู่กับเธอตลอดชีวิต
และเขาเหมือนจะได้พบเจอเด็กผู้หญิงที่ใสซื่อที่สามารถคู่ครองกันได้
หลาย ๆ เรื่องในชีวิต เดาได้ถึงตอนแรก แต่กลับเดาตอนจบไม่ถูก
เพียงแต่ หวังว่าครั้งนี้สือเพ่ยหลินจะไม่ทำร้ายเด็กสาวถึงจะ…
จากนั้น พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายพูดบรรยาย พ่อแม่ของเด็กสาวส่งมอบลูกสาวตัวเองถึงมือสือเพ่ยหลิน
บาทหลวงถามคำถามท่อนนั้นในคัมภีร์
บนเวที สือเพ่ยหลินมองดูหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้า ในภวังค์ ราวกับได้เห็นหลานเสี่ยวถางในอดีตอีกครั้ง
เพียงแต่ตอนนั้นที่พวกเขาคบกัน แม้แต่งานแต่งงานก็ไม่ได้จัด เขาก็นอนอยู่ถึงสองปี จากนั้นเพราะความบิดเบือนในใจของเขา สุดท้ายพวกเขาก็แยกทางกัน
เขารู้สึกเจ็บแปล๊บในใจ แต่เสียงกลับนุ่มนวลน่าฟัง “ผมยินยอม”
คำถามเดียวกัน เด็กสาวตรงหน้ากลับดูจริงจังเป็นพิเศษ “ฉันยินยอมค่ะ”
“เจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวได้”
หลังจากที่คำพูดนี้จบลง โซนของแขกที่อยู่ด้านล่าง ก็ส่งเสียงเชียร์พร้อมกัน
สือเพ่ยหลินกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นหลานเสี่ยวถางที่อยู่หน้ากลุ่มคน
เธอกำลังมองดูเขาอยู่ ในดวงตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม เต็มไปด้วยคำอวยพร
เหมือนกับว่าที่ผ่านมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมองเขาอย่างจริงจัง
ในหัวสมองของเขา เพียงแวบเดียว ก็มีภาพมากมายผ่านไป
เขานึกภาพที่ได้เจอเธอครั้งแรก นึกถึงนัดเดทครั้งแรกของพวกเขา นึกถึงทะเบียนสมรสที่มีตราประทับ นึกถึงการดูแลเอาใจใส่ของเธอในสองปีนั้น…
แต่ว่า ที่นึกมากกว่า ก็คือเขาตั้งใจมีชู้กับเฉินจื่อรั่วเพื่อทำร้ายเธอ นึกถึงตอนที่เธอนอนจมกองเลือดแล้วเขาไม่ช่วยเธอ นึกถึงตอนที่เขาฤทธิ์ยาเสพติดกำเริบ ที่เกือบจะจูบเธอ…
เธอเปลี่ยนเขาจากเด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง จนกลายเป็นชายชั่ว
แล้วก็เป็นเธอ เปลี่ยนจากผู้ชายที่ชั่วจนชั่วไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เปลี่ยนเป็นคนดีคนใหม่
เพียงแต่ คนที่อยู่ด้านข้าง ไม่ใช่เธอที่ยิ้มให้เขาภายใต้แสงสว่างคนนั้นอีกแล้ว…
เขาหันมามองหญิงสาวตรงหน้า ภรรยาคนใหม่ของเขา
เขาคิดถึงเขาจะไม่รักเธอ แต่ก็จะรับผิดชอบเธอตลอดชีวิต ไม่นอกใจ ไม่ทำเรื่องผิดกับเธอ ยิ่งไม่มีทางทำร้ายจิตใจเธอเหมือนกับคนบ้า
เพราะว่ามีคนหนึ่ง ใช้บทเรียนที่ลืมไม่ลง สอนให้เขารู้จักรัก…
เขาก้มหน้า ประคองใบหน้าหญิงสาวตรงหน้า แล้วจูบลง
เขาแบกไม่ออกว่าเขากำลังจูบใคร แม้กระทั่ง ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเขากำลังจูบใคร ตอนนั้น ความกระตือรือร้นทั้งหมดในชีวิตดูเหมือนถูกแผดเผา พุ่งไปหาแสงสว่างของชีวิต เพื่อบอกลา และเพื่อเริ่มใหม่
โซนของแขก มีเสียงปรบมือดังสนั่นขึ้น บรรยากาศในงานแทบจะระเบิด
เป็นเวลานาน ทั้งสองถึงแยกออกจากกัน เจ้าสาวถูกจูบจนหน้าแดง น้ำตาคลอเบ้า มองสือเพ่ยหลินอย่างเขินอาย แทบอยากจะหลบออกไป
ส่วนสือเพ่ยหลิน บังอยู่ด้านหน้าเธอ จากนั้นก็มองไปทางแขกที่อยู่ด้านล่าง ยิ้มแล้วพูดขึ้น “เจ้าสาวขี้อาย ทุกคนอื่นหยุดหัวเราะพวกเราได้แล้ว!”
เสียงดนตรีดังขึ้น ลานเต้นรำแสงเปลี่ยนไป ทั้งสองเดินไปตรงกลางลานเต้นรำ
ด้านล่าง หลานเสี่ยวถางยิ้มพูดกับสือมูเฉิน “เมื่อกี้เห็นเขาร้อนแรงอยู่ เดาว่าน่าจะชอบสาวคนนั้นนะ”
สือมูเฉินนึกถึงสายตาที่สือเพ่ยหลินมองหลานเสี่ยวถางก่อนหน้านี้ พูดอย่างลึกซึ้ง “ไม่ใช่ก็ต้องใช่”
หลานเสี่ยวถางเขาอย่างไม่เข้าใจ ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเขา พอดีกับที่ มีคนมายั่วยวนสือมูเฉิน เธอทิ้งคำถามไว้ข้างหลัง
บนเวที ทั้งสองเต้นรำได้เข้าขากันอย่างมาก บรรยากาศก็ค่อย ๆ คึกคักขึ้น มีหลายคนเริ่มเข้าไปในลานเต้นรำ ส่วนสือเพ่ยหลิน หลังจากที่เต้นจบหนึ่งเพลง ก็เดินลงมา แล้วเดินไปทางที่หลานเสี่ยวถางนั่งอยู่