เวลานี้ ก็มีคุณครูเข้ามาอธิบาย : “เราให้หวันหว่านรออยู่ในห้องเรียน แต่เธอไม่ฟัง เธอยืนกรานที่จะอยู่ข้างนอก เราไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเธอได้เลย……”
เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง ฉับพลันโอหยางจวิ้นก็รู้สึกว่า ทำไมเขาต้องกลับไปลงนามมอบอำนาจอันนั้นด้วยนะ?
เมื่อเทียบกับสาวน้อยของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าการลงนามมอบอำนาจก็ไม่ได้สำคัญเลย!
จนกระทั่งหลายปีต่อมา เขายังคงจำได้ว่า สาวน้อยของเขา รอคอยเขาอยู่ท่ามกลางหิมะ ทำให้เขารู้สึกว่า ต่อไปนี้เขาจะไม่ให้เธอมีช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวเช่นนั้นอีกแล้ว
เขาอุ้มเธอมาไว้ในอ้อมแขน ให้ความอบอุ่นกับใบหน้ารูปไข่และมือเล็กๆของเธอ จู่ๆระหว่างนั้น เขาก็ย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่เขาลักพาตัวหลานเสี่ยวถางไปในปีนั้น คำพูดที่พูดกับหลานเสี่ยวถาง
เวลานั้น เขาบอกว่า สิ่งของที่เขาต้องการ มีแค่ความสำเร็จเท่านั้น เมื่อเทียบกับผลประโยชน์แล้ว แม้แต่ความรักก็สามารถเสียสละได้!
ถึงอย่างไรตั้งแต่เด็กจนโต ในพจนานุกรมของเขา ก็คือการสร้างประวัติศาสตร์ความรุ่งโรจน์ให้ตระกูลเพอร์เซลล์ สานต่อความรุ่งเรืองให้ตระกูลเพอร์เซลล์
ความมั่งคั่ง ฐานะ เกียรติยศ เหล่านี้คือสิ่งที่ไม่มีวันตาย!
แต่ทำไมเวลานี้เห็นภาพที่สาวน้อยรอคอยเขาอยู่ เขาก็เริ่มรู้สึกผิด จนถึงขั้นรู้สึกว่าเขาควรจะละทิ้งเอกสารสัญญานั้นไปใช่ไหม เพียงเพื่อจะได้ไม่ผิดสัญญาต่อหน้าเธอ?
หวันหว่านถูกโอหยางจวิ้นอุ้มเข้าไปในรถ เปิดเครื่องทำความร้อน ชั่วขณะก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาก
เขายังคงให้เธอนั่งอยู่ในอ้อมกอดของตนเอง และก้มลงไปพูดกับเธอว่า : “หวันหว่าน ขอโทษนะ ที่ครั้งนี้อาจวิ้นมาสาย แต่ต่อไปนี้จะไม่มาสายอีกแล้ว!”
เธอพยักหน้า เข้าใจและทำภาษามือกับเขาว่า : “ไม่เป็นไร”
เนื่องจากไม่นานก็จะเป็นวันปีใหม่แล้ว หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินจึงนั่งเครื่องบินบินมาจากหนิงเฉิง
เกี่ยวกับความแตกต่างของเวลา เมื่อทั้งสองคนมาถึงตระกูลเพอร์เซลล์ ก็เป็นเวลาเช้าตรู่ของประเทศอเมริกาพอดี
เมื่อหวันหว่านตื่นขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงพูดคุยเบาๆมาจากข้างนอก ซึ่งดูเหมือนว่าจะค่อนข้างคุ้นเคย
ตอนไปโรงเรียน เธอก็เรียนรู้ที่จะตื่นเองแต่งตัวเอง ด้วยเหตุนี้เธอจึงรีบแต่งตัว หลังจากนั้นก็เปิดประตูออกมา
น้ำเสียงชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือพ่อแม่ของเธอ!
ดวงตาเธอเป็นประกาย รีบวิ่งออกไป จนไม่รู้ว่าสวมรองเท้าแตะสลับข้างกัน
ห้องโถงด้านนอกสว่างมาก เมื่อหวันหว่านวิ่งเข้ามา ก็เห็นพ่อแม่และน้องชายของตนเองที่โตขึ้นมากแล้ว
“หวันหว่าน!” เดิมทีหลานเสี่ยวถางไม่อยากจะร้องไห้ แต่เมื่อได้เห็นลูกสาวของตนเอง ขอบตาก็แดงขึ้นมาทันที
เธอวิ่งเข้าไปอุ้มหวันหว่านมาไว้ในอ้อมกอด ชั่วขณะก็สะอื้นไห้จนพูดอะไรไม่ออก
หวันหว่านรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกดีใจมากกว่า เมื่อออกมาจากในอ้อมกอดของหลานเสี่ยวถางอย่างมีความสุขแล้ว ก็โผเข้าไปหาสือมูเฉินทันที
สือมูเฉินอุ้มเธอขึ้นมาวางไว้บนไหล่ของตนเอง
เธอขี่คอของเขา แล้วตบมืออย่างมีความสุข
ที่ด้านล่าง สือจิ่งเหยียนเห็นพ่อยกพี่สาวขึ้นไปนั่งที่สูงๆ ชั่วขณะก็รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก กอดขาของสือมูเฉินแล้วงอแงไม่หยุด
ในที่สุดหลานเสี่ยวถางก็เช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า : “จิ่งเหยียน พี่สาวไม่ได้เจอพ่อมานานมาก ให้เธอเล่นกับพ่อสักพักได้ไหม?”
สือจิ่งเหยียนเบ้ปาก ยังอยากจะให้ยกขึ้นไปนั่งที่สูงๆบ้าง แต่ก็มีความอดทนไม่งอแงแล้ว
เวลานี้โอหยางจวิ้นเดินเข้ามา จึงอุ้มสือจิ่งเหยียนขึ้นมาวางไว้บนไหล่ของตนเอง
ในฉับพลัน เด็กชายตัวน้อยก็ยิ้มได้ : “คุณอาสวัสดีครับ!”
ตอนนี้เขาสามารถพูดได้แล้ว ถึงแม้ว่าเสียงยังคงเป็นเด็กแต่ก็ถือว่าชัดเจนมาก
ดังนั้นชายทั้งสองจึงอุ้มเด็กทั้งสองคน เดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง
และทุกๆครั้งที่จะชนกัน สือจิ่งเหยียนก็จะยื่นมือน้อยๆไปแตะกับพี่สาวของตนเอง ในห้องจึงมีเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังขึ้นมา
เมื่อถึงเวลาทานอาหารกลางวัน หลานเสี่ยวถางก็ถามโอหยางจวิ้นว่า : “ใช่สิ ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าคุณถูกจัดหาคู่ให้ แล้วต่อมาทำไมมันถึงจบลงง่ายๆล่ะ?”
โอหยางจวิ้นหัวเราะ : “ก็ไม่ชอบ”
“คุณจะไม่อยู่แบบนี้ตลอดไปใช่ไหม?” เธอมองหวันหว่านที่ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกับโอหยางจวิ้นเป็นอย่างดี ก็อดไม่ได้ที่จะถาม : “หวันหว่านอยู่ทางด้านนี้ ทำให้เสียเวลาคุณมากเลยใช่ไหม?”
“ไม่มีปัญหาเลย บางครั้งเด็กก็มองเห็นอะไรได้ชัดเจนกว่าผู้ใหญ่เสียอีก” โอหยางจวิ้นพูดว่า : “ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามพรหมลิขิต อีกอย่างฉันเป็นผู้ชาย และตอนนี้ก็อายุยังน้อย ไม่ควรไปกังวลเรื่องการหาลูกสะใภ้หรอก!”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว หลานเสี่ยวถางก็โล่งใจ ถึงอย่างไร ลูกของตนเองใช้เวลาว่างกับอีกฝ่ายมากเกินไป ถ้าทำให้เขาเสียเวลา ก็จะรู้สึกผิดอย่างมาก!
เพราะหลานเซี่ยวเฉิงคิดถึงหวันหว่านมาก ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินพักอยู่ที่อเมริกาสองสามวัน จากนั้นก็รับหวันหว่านกลับไปที่หนิงเฉิง ไปอยู่ทางด้านนั้นประมาณหนึ่งเดือนแล้วค่อยกลับมาเรียนต่อ
ก่อนออกเดินทาง โอหยางจวิ้นก็เตรียมกระดาษวาดภาพไว้ให้หวันหว่านจำนวนมาก เมื่อเห็นว่าเธอจากไปพร้อมกับหลานเสี่ยวถาง จู่ๆหัวใจก็รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว เหมือนกับว่าขาดอะไรไป
ยังดีที่สือจิ่งเหยียนขึ้นเครื่องบินก็หลับเลย เมื่อตื่นขึ้นมา ก็ถึงน่านฟ้าของประเทศจีนแล้ว
หวันหว่านที่อยู่ข้างๆเขา จึงมองออกไปยังโลกภายนอกผ่านทางหน้าต่าง
เมืองด้านล่าง ค่อยๆเปลี่ยนจากสีขาวโพลนเป็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น จู่ๆเธอก็นึกถึงภาพที่โอหยางจวิ้นพาเธอขับเครื่องบินเล่น
เธอรู้สึกว่า ตนเองคิดถึงเขาแล้ว
กลับมาถึงคฤหาสน์ของหนิงเฉิง สือมูเฉินจึงโทรมาบอกฟู่สีเกอและคนอื่นๆว่าหวันหว่านกลับมาแล้ว ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เจ็ตแลกอยู่สองวัน ทุกๆคนก็มารวมตัวกันแล้วจัดงานปาร์ตี้
ตอนนี้ ท้องของฮั่วชิงชิงใหญ่ขึ้นมากแล้ว หลังจากได้รับโทรศัพท์ เธอก็มางานปาร์ตี้กับหันจื่ออี้ด้วย ชั่วขณะในคฤหาสน์ก็สนุกครึกครื้นขึ้นมา
หวันหว่านโตที่สุดในบรรดาเด็กๆ ถึงแม้ว่าจะพูดไม่ได้ แต่ภาษามือของเธอนั้นพวกเด็กๆก็สามารถเข้าใจได้เกือบทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การนำของเธอ บรรดาเด็กๆก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
หยานโม่หานที่ชอบหวันหว่านมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าผ่านมาเกือบครึ่งปีแล้ว เขาแทบจะจำรูปร่างหน้าตาของหวันหว่านไม่ได้แล้ว แต่เวลานี้ เพียงได้เจอเธอ เขาก็โผเข้าไปทันที แล้วเรียก “พี่สาว พี่สาว” ไม่หยุด
และฟู่อวี้เฉิน เวลานี้ได้เดินมาถึงตรงหน้าฮั่วชิงชิง เห็นท้องเธอที่นูนขึ้นมา จึงอยากที่จะลูบ แต่ก็มองฮั่วชิงชิงอย่างลังเลใจเล็กน้อย
“หรงฉิว ลูบเถอะ ไม่เป็นไร ข้างในมีน้องสาวตัวน้อยนะ คุณทักทายกับเธอสักหน่อยสิ!” ฮั่วชิงชิงกล่าว
ฟู่อวี้เฉินตาเป็นประกาย รีบเข้าไปลูบ แล้วกล่าวอย่างมีจินตนาการว่า: “ฉันรู้สึกว่าน้องกำลังเตะฉัน!”
“ฉันก็อยากลูบ!” ฟู่หยู่ปิงรีบเดินมา แล้วยื่นมือเข้าไป
และเวลานี้ ซูสือจิ่นที่ได้ยินคำพูดของฮั่วชิงชิง สายตาจึงมองออกมาทันที
ทำไม ครอบครัวคนอื่นถึงมีลูกสาวกันหมดเลยนะ?
เธออยากมีลูกสาว อยากมีลูกสาว รอไม่ไหวแล้ว!
วันนั้น บรรดาเด็กน้อยก็นั่งล้อมโต๊ะกัน หวันหว่านโตสุด จึงแจกอาหารให้เด็กคนอื่นๆ
ฟู่หยู่ปิงที่เดิมทีเวลาทานข้าวต้องป้อน เวลานี้เห็นทุกคนล้วนหยิบถ้วยทานเอง ด้วยเหตุนี้ จึงลังเลใจเล็กน้อย นั่งลงบนที่นั่งตัวเองดีแล้ว จึงเริ่มทานข้าวด้วยตัวเอง
มื้ออาหารจบลง บรรดาเด็กน้อยก็ทานกันไว้จนแก้มเลอะเหมือนลายแมว มีเพียงหวันหว่านเท่านั้นที่ดูแล้วสะอาดสะอ้าน
เธอลุกขึ้นไปหยิบทิชชูเปียก ส่งให้บรรดาน้องชายน้องสาวคนละแผ่น
“หวันหว่านรู้เรื่องจริงๆเลย!” หันจื่ออี้กล่าวอย่างทอดถอนใจกับฮั่วชิงชิง: “หวังว่าต่อไปลูกสาวของพวกเราจะรู้เรื่องแบบนี้บ้างนะ”
ฮั่วชิงชิงยิ้มแล้วกล่าว: “ตอนพวกเราทั้งสองเด็กๆก็เป็นเด็กดีไม่ใช่เหรอ? ฉันคิดว่าลูกของพวกเราก็จะต้องว่านอนสอนง่ายอย่างแน่นอน!”
ไม่ ตอนเด็กๆเขาแทบจะมีเรื่องชกต่อยอยู่ตลอด เหมือนกับว่า จะไม่ได้ว่านอนสอนง่ายเหมือนที่กล่าวมาเลย? หันจื่ออี้ยิ้มๆ: “อืม เหมือนคุณก็ดีแล้ว”
เย็นวันนั้น ถึงแม้ว่าสือมูเฉินจะให้ทุกคนพักค้างคืน เพียงแต่ฮั่วชิงชิงท้องอยู่ ตอนกลางคืนอยู่ที่บ้านตัวเองจะสะดวกกว่า ด้วยเหตุนี้ คนทั้งสองจึงขอตัวกลับก่อน
เมื่อขับรถมาถึงบ้าน หันจื่ออี้ก็ดูปฏิทินที่แขวนอยู่ที่ผนัง แล้วกล่าวว่า: “ชิงชิง อีกสองเดือนก็จะคลอดแล้ว พวกเรามาตั้งชื่อให้ลูกกันก่อนไหม?”
ฮั่วชิงชิงพยักหน้า: “ดีเลย เพียงแต่ตอนนี้มีชื่อซ้ำกันเยอะมาก ก่อนหน้านี้ฉันคิดเอาไว้สองสามชื่อ แต่พอเข้าอินเทอร์เน็ตแล้วพบว่า บนอินเทอร์เน็ตมีเด็กที่ชื่อกับแซ่ซ้ำกันจำนวนมาก!”
“ไม่เป็นไร ในประเทศมีประชากรเยอะขนาดนี้ เรื่องชื่อซ้ำกันเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้” หันจื่ออี้กล่าว: “ตั้งชื่อที่พวกเราชอบก็พอ”
เขาพูดพลาง หอบพจนานุกรมเล่มหนึ่งออกมาจากในห้อง แล้วนั่งลงข้างๆฮั่วชิงชิง: “พวกเราลองค้นหาดู ว่ามีคำไหนเป็นแรงบันดาลใจไหม”
“โอเคค่ะ” ฮั่วชิงชิงเปิดไปทีละหน้า ก็เห็นหมวดของlu จึงหันมายิ้มแล้วกล่าวว่า: “ตอนพวกเราเด็กๆ เหมือนกับว่าจะมีชื่อ’ลู่’เยอะเป็นพิเศษนะ…….”
พอดีกับที่หันจื่ออี้กำลังจะพูดว่า ตอนเด็กที่เขาเข้าเรียน มีผู้หญิงในชั้นชื่อจางลู่ ตัวใหญ่มาก มีครั้งหนึ่งผู้หญิงทะเลาะกับเขา ทั้งสองจึงชกต่อยกัน
พอเขาหันมา เธอก็กำลังเข้าไปใกล้พอดี ด้วยเหตุนี้ ริมฝีปากของเขาจึงไปโดนหน้าผากของฮั่วชิงชิงโดยไม่ได้ตั้งใจ
ลมหายใจของเธอ ตกกระทบที่ลูกกระเดือกของเขา
เขากลืนน้ำลายทันที เลือดอุ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ชิงชิง——” เสียงของหันจื่ออี้ทุ้มลงอย่างมาก “ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวค่อยตั้งชื่อแล้วกัน……”
“หืม?” ฮั่วชิงชิงกำลังจะถามว่าทำไม คางก็ถูกมือของหันจื่ออี้เชยขึ้นมาแล้ว
เขาก้มหน้าลง จูบริมฝีปากของเธอ
เดิมทีก็ตั้งใจที่จะตั้งชื่อ จู่ๆถูกความอ่อนโยนแบบนี้เข้ามาแทนที่ พจนานุกรมในมือของฮั่วชิงชิงลื่นหลุดจากมือ เธอนั่งได้ไม่มั่นคง จึงล้มตัวลงนอนบนโซฟา
มือทั้งคู่ของหันจื่ออี้ ค้ำลงมาสองข้าง เพื่อปกป้องท้องของฮั่วชิงชิง
เธอหน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็จนปัญญาที่จะต้านทานกระแสไฟที่เขานำมา ด้วยเหตุนี้ ร่างกายที่นอนอยู่บนโซฟา กลับเริ่มตอบสนองการจูบของเขาอย่างอ่อนโยน
เครื่องทำความร้อนภายในห้อง จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นอุ่นขึ้นอีกทันที หันจื่ออี้รู้สึกร้อนขึ้นเล็กน้อย กระทั่งต้องถอดเสื้อกันหนาวออก
ฮั่วชิงชิงอายุครรภ์มากแล้ว ดังนั้น จึงค่อนข้างกลัวหนาว เวลานี้จึงสวมกางเกงเลกกิ้งและกระโปรงเสวตเตอร์สำหรับคนท้อง
มือของเขา หากระดุมเลกกิ้งกันหนาวของเธอเจออย่างรวดเร็ว เมื่อคลำเข้าไป ก็รู้สึกได้ว่าลูกในท้องของเธอคล้ายกับดิ้นเล็กน้อย
“ชิงชิง ดูเหมือนว่าลูกจะเตะฉันนะ” หันจื่ออี้ยิ้มแล้วกล่าว
“แล้วใครใช้ให้คุณรังแกแม่ของเธอล่ะ!” ฮั่วชิงชิงกล่าวด้วยหน้าที่แดงระเรื่อ
“ฉันรังแกที่ไหนกัน?” หันจื่ออี้ใจเต้นรัว: “งั้นจะรังแกจริงๆแล้วนะ?”
เขาพูดพลาง เริ่มก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของเธอ ผ่านมาที่ลำคอ ลงมาถึงกระดูกไหปลาร้า…..
ฮั่วชิงชิงถูกจูบจนไร้เรี่ยวแรง เสียงที่ขอให้ยกโทษให้ก็แฝงไปด้วยความออดอ้อนอย่างมาก
หันจื่ออี้ถือโอกาสเปิดกระโปรงของเธอออก จากนั้น ก็จูบลงไปบนหน้าท้องของฮั่วชิงชิง
เธอรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ในทันใดก็ร้องเบาๆในลำคอ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
“ที่นี่คือโซฟานะ……” เธอสูดลมหายใจเข้า
“ชิงชิง ลืมไปแล้วเหรอว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ซื้อโซฟามา คุณบอกว่าต้องการโซฟาที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่เหรอ?” หันจื่ออี้ยิ้มเบาๆ แล้วกดเปิดสวิตช์ที่อยู่บนที่พักแขนของโซฟา
ทันใดนั้น ด้านล่างของโซฟาก็ยกขึ้นเพื่อรองรับ ด้านหลังของโซฟาเอียงไป120องศา และพื้นผิวของโซฟาก็กว้างไม่น้อย
“ฉันจะทำให้เบาที่สุดนะ” หันจื่ออี้พูดจบ ก็จูบไปพลาง ปลดสิ่งกีดขวางบนตัวของคนทั้งสองไปพลาง