สือจินหว่านเย็บเสื้อที่ฉีกขาดเสร็จ ลุกขึ้นเดินไปที่ชายหาดเพื่อล้างเลือดที่เปื้อนเสื้อ จากนั้นก็เดินกลับมาและแขวนเสื้อตากไว้ที่กิ่งไม้
เมื่อเห็นว่ายังเช้าอยู่ เธอจึงนอนลงข้างๆโอหยางจวิ้นอีกครั้ง บังคับตัวเองให้หลับตา พักผ่อนลดการออกแรงกาย และลดความกระหายน้ำ
เธอรู้สึกเริ่มง่วงอีกครั้ง
ในขณะที่ในหัวของเธอสับสน เธอก็รู้สึกว่ามือของตัวเองถูกมือใหญ่จับ เขาโอบกอดเธอ แล้วพูดเบาๆ: “หวันหว่าน…”
ดูเหมือนเขาจะพูดอะไร แต่ถูกลมทะเลพัดปลิวหายไป
สือจินหว่านค่อยๆหลับสนิท จนกระทั่งแสงและเงาของดวงอาทิตย์ขึ้น ทำให้ชายหาดทุกตารางนิ้วร้อนอบอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
เธอรู้สึกถึงบางอย่าง เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าเธอกำลังพิงแขนของโอหยางจวิ้น เขายกมือขึ้น ช่วยบังแสงแดดที่สาดส่องลงมา เพื่อให้เธอได้นอนต่อนานขึ้น
“อาจวิ้น ตื่นแล้วเหรอ?” เธอทำท่าทางให้เขา: “ตอนนี้ร่างกายดีขึ้นบ้างหรือยัง? ยังเจ็บขาอยู่ไหม?”
เขาส่ายหัว: “หายแล้ว หวันหว่านไม่ต้องกังวล”
เธอพยักหน้า แล้วทำท่าทาง: “อาจวิ้น หิวหรือยัง?”
เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม: “หวันหว่าน เมื่อก่อนเป็นอาที่ดูแลหนู แต่ตอนนี้กลับเป็นหนูที่ดูแลอา รู้สึกไม่ค่อยชินเลย”
เธอทำท่าทางภูมิใจมาก: “หนูโตแล้ว”
ใช่ เธอโตแล้ว เวลาล่วงรีบสุดจะนับ วัยหนุ่มสาวหายวับไปกับตา
ตอนนั้นยังเป็นเด็กทารก แต่ตอนนี้โตขนาดนี้แล้ว
โอหยางจวิ้นมองไปที่สือจินหว่าน: “หวันหว่าน หนูโตแล้ว อาเองก็แก่แล้วใช่ไหม?”
สือจินหว่านตะลึง ส่ายหัวและทำท่าทาง: “ทำไมอาถึงพูดอย่างนั้น?! อาจวิ้น ยังเป็นหนุ่ม!”
“จะไม่แก่ได้อย่างไร?” เขายิ้ม: “เมื่อหนูโตขึ้นอีก อาก็คงไม่กล้านึกถึงอายุของตัวเอง”
เธอยังคงส่ายหัว: “อาจวิ้น หนูพูดจริงๆ อายังดูหนุ่มมาก หนูไม่ได้โกหก ถ้าไม่เชื่อลองถามเชียวซือสิ!”
โอหยางจวิ้นมองดูความจริงใจในสายตาของสือจินหว่าน และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า:“จริงเหรอ?”
“จริงค่ะ!” เธอพยักหน้าอย่างมั่นใจ: “ต่อให้หนูโตขึ้นอีก อาก็ไม่แก่”
เขาเอื้อมมือไปลูบหัวเธอเบาๆ เหมือนตอนที่เธอยังเป็นเด็ก
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกนุ่มนวลที่ไม่เคยสัมผัส จู่ๆก็ปรากฏชัดขึ้นในทันใด
โอหยางจวิ้นพูดกับสือจินหว่าน: “หวันหว่าน อีกสักพักน้ำจะลงอีกแล้ว อาเคลื่อนไหวไม่สะดวก เดี๋ยวหนูไปเก็บหอยอีกนะ”
เธอพยักหน้าทันที: “โอเค”
แม้ว่าจะมีความรู้สึกกินหอยจนอยากอ้วก แต่ก็รับมือกับมันได้
แดดเริ่มแรง อุณหภูมิร้อนจัด ทั้งสองได้แต่ซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มไม้ เพื่อรอให้ผู้คนที่ผ่านไปมาหรือนักท่องเที่ยวผ่านมาเห็น
โชคดีที่ในตอนเย็นทั้งสองเจอคนอังกฤษผ่านมาแถวนี้
สือจินหว่านขอยืมโทรศัพท์จากเขา และโทรไปที่เพอร์เซลล์ หลังจากโทรแล้ว เธอรู้สึกมีความหวังอีกครั้ง
ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง เฮลิคอปเตอร์ลงจอดบนเกาะ ไม่นานคนของเพอร์เซลล์ก็พบสือจินหว่านและโอหยางจวิ้น
ทั้งสองขึ้นเครื่องและบินออกจากเกาะ โอหยางจวิ้นนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองไปยังชายหาดด้านล่าง และทันใดนั้น เขาก็นึกถึงฉากที่สือจินหว่านช่วยเขาเย็บเสื้อภายใต้แสงจันทร์
ใจเขาเต้นแรงและหันไปมองสาวน้อยที่อยู่ข้างๆ
ดูเหมือนเธอก็นึกถึงอะไรบางอย่างและหันมามองเขาเช่นกัน
ทั้งสองสบตากัน ไม่รู้ว่าทำไม สือจินหว่านพบว่าหัวใจของเธอหยุดเต้นกะทันหัน
เธอจ้องเขาจนลืมสิ่งที่อยากจะพูด
เขามองดูเธออย่างงุนงง ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต้นแรง ร่างกายของเขาตอบสนองก่อนที่สมองของเขาจะมีปฏิกิริยา
สือจินหว่านไม่ตอบสนองใดๆ จนกระถั่งมีสัมผัสที่นุ่มนวลบนหน้าผาก โอหยางจวิ้นจูบหน้าผากของเธอเบาๆ
มันก็เหมือนกับที่ผ่านมา ผู้ใหญ่จูบเด็กน้อย แต่เธอกลับรู้สึกประหม่าโดยไม่มีเหตุผล
เพื่อคลายความประหม่า เธอจึงรีบเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
“อาจวิ้น อาคงไม่กินหอยกับปูอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?” เธอถามเขา แต่หูของเธอเขินแดงเล็กน้อย
เขาหัวเราะ: “อาอาจจะยิ่งชอบ เพราะหนูเป็นคนทำ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ตระหนักได้ว่าพูดอะไรไป
เมื่อก่อน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยพูดเช่นนั้น ทุกครั้งก็พูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่วันนี้ พูดด้วยน้ำเสียงเดียวกัน โอหยางจวิ้นกลับรู้สึกว่ามีความแตกต่าง
ความรู้สึกแปลกๆนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และมีความคิดลึกๆในใจของเขา แต่ก่อนที่ความคิดจะโผล่ออกมา เขาก็รีบบีบมันกลับเข้าไป
ความรู้สึกหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเขาเหนื่อยมากจึงค่อยๆหลับตาลงอีกครั้ง
ดูเหมือนเธอจะเหนื่อยกว่าเขา เธอเองก็ผล็อยหลับไปเหมือนกัน
ไหล่ของเขาทรุดลง เพราะเธอพิงไหล่ของเขาและนอนหลับอย่างสบาย
นี่เป็นฉากที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง เขาโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขน เธอรู้สึกสบาย ผล็อยหลับไปโดยพิงหน้าอกของเขา
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ โอหยางจวิ้นรู้สึกหายใจลำบาก แต่กลับผ่อนคลาย
เขาได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยที่ปลายจมูกของเขา และสัมผัสอันนุ่มนวลบนแขนของเขา
จู่ๆก็มีความคิดผุดขึ้นมาในหัวใจของเขา เขาอยากให้การเดินทางยาวนานกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงเพอร์เซลล์
เมื่อแดเนียลเห็นทั้งสองคน ดวงตาของเขาแดงก่ำ
แม้ว่าโอหยางจวิ้นจะได้รับบาดเจ็บ แต่โชคดีที่ไม่สาหัส เพียงแค่รักษาครึ่งเดือนก็คงหาย แต่อาจจะทิ้งรอยแผลเป็น
เมื่อโอหยางจวิ้นตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ก็เห็นข่าว
มู่ยวี๋ฮั่นฟื้นแล้วหลังจากอยู่ในอาการโคม่า4ปี!
ดังนั้น ตระกูลเพอร์เซลล์จึงส่งผู้เชี่ยวชาญไปดู หลังจากตรวจร่างกายแล้ว หมอบอกว่ามู่ยวี๋ฮั่นอยู่ในสภาพร่างกายที่ดี การทำงานของร่างกายไม่ได้รับความเสียหาย ตราบใดที่ดูแลดีๆ เธอจะค่อยๆฟื้นตัว
ยิ่งไปกว่านั้น แดเนียลยังถามเจาะจงว่าจะส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์หรือไม่
ผลที่ได้คือ หมอสรุปว่าการมีลูกหลังจากหนึ่งปีนี้จะไม่ส่งผลใดๆ ตราบใดที่โภชนาการเหมาะสม
ด้วยเหตุนี้ โอหยางจวิ้นจึงไม่ต้องนัดบอดใหม่ ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
ในอีกเดือนหนึ่ง จะเป็นวันหยุดฤดูร้อนของสือจินหว่าน ทุกๆวันหยุดฤดูร้อน เธอจะกลับไปหาพ่อกับแม่ที่หนิงเฉิง
ในวันนี้ ขาของโอหยางจวิ้นยังไม่หายดี และมู่ยวี๋ฮั่นก็ยังคงรักษาตัว
สือจินหว่านอยู่บ้านในช่วงสุดสัปดาห์ เมื่อนึกขึ้นว่าตัวเองจะจากไปเป็นเวลาสองเดือน รู้สึกลังเลเล็กน้อย เธอจึงไปที่ห้องครัว
ในอดีต เธอเคยเรียนทำอาหารกับแจ็ค และแอบทำให้โอหยางจวิ้นกินหลายครั้ง
ทุกครั้งเธอทำเสร็จแล้วจะวางไว้ในห้องครัว จากนั้นให้คนใช้ยกออกไป
เธอนั่งตรงข้ามเขา ดูเขากินอย่างเอร็ดอร่อย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นคนทำ แต่เธอก็รู้สึกพอใจ
วันนี้ เธอทำกับข้าวแบบเดิมอีกครั้ง ขณะที่เธอกำลังจะกลับห้อง คนใช้ก็เรียกเธอ: “คุณหนูหวันหว่าน เหมือนครั้งก่อนใช่ไหมคะ?”
สือจินหว่านพยักหน้า: “อืม เดี๋ยวหนูก็จะลงมากินเหมือนกัน”
ไม่นานหลังจากนั้น คนใช้พยุงโอหยางจวิ้นลงมา เขานั่งตรงข้ามกับเธอและเห็นอาหารบนโต๊ะ ทันใดนั้นก็พูดด้วยความประหลาดใจ: “หืม เชฟเฮรี่มีธุระ ไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
สือจินหว่านตะลึง: “ห้ะ?”
โอหยางจวิ้นอธิบายว่า: “มีเพียงเชฟเฮนรี่เท่านั้นที่ทำอาหารจานนี้ได้” ขณะที่เขาพูด เขาหยิบชิ้นหนึ่งแล้วเอาเข้าไปในปากของเขา
รสชาติที่คุ้นเคยแผ่ซ่านไปทั่วปาก รู้ได้อย่างชัดเจนว่าทำจากฝีมือของคนๆเดียวกัน
ตรงกันข้าม สือจินหว่านเงียบ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยกมือขึ้นและกินเนื้อสันในพริกไทยดำ
ในขณะที่เธอยกมือขึ้น โอหยางจวิ้นก็เห็นรอยเปื้อนสีดำใต้วงแขนเล็กๆของเธอ
เขาจับแขนเธอ เธอมองเขาอย่างสงสัย
เมื่อเขาเห็นว่ามันคืออะไร ตาของเขาก็หรี่ลง!
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคราบน้ำมันที่เปื้อนจากการทำอาหาร! หรือว่าเธอจะเคยไปที่ห้องครัว?
ถ้างั้นอาหารจานนี้…
ทันใดนั้น โอหยางจวิ้นก็นึกถึงตอนที่เขาพาสือจินหว่านไปที่บ้านของแจ็ค อีกอย่าง ทั้งๆที่มันเป็นสูตรลับ ทำไมเฮนรี่ถึงรู้…
หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น และจ้องเข้าไปในดวงตาของสือจินหว่าน: “หวันหว่าน อารู้ว่าหนูเป็นคนทำ”
สือจินหว่านตกตะลึงและมองโอหยางจวิ้นด้วยความตกใจ
เขาเห็นการยืนยันในดวงตาของเธอ และเขารู้สึกสับสนเล็กน้อยในทันที
เขาจำได้ว่าเคยมีครั้งหนึ่งที่เขาล้มเหลวจากการคุยธุรกิจ
วันนั้นเขาอารมณ์ไม่ดี นั่งอยู่ในห้องทำงานคนเดียว คนใช้มาเรียกให้เขาไปกินข้าวแต่เขาก็ไม่อยากอาหาร
แต่เธอปรากฏตัวที่หน้าห้องทำงานของเขา พร้อมถืออาหารและของว่างในมือ
เขาไม่เคยดุเธอเลย แม้ว่าเขาจะไม่อยากกิน แต่ก็ให้เธอวางไว้บนโต๊ะ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับตะเกียบ เธอจึงคีบชิ้นหนึ่งแล้วป้อนเขา
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขากินอาหารที่เธอทำ แม้ว่ารสชาติจะอ่อนกว่าเล็กน้อย แต่เขาก็กินจนหมด
เธอบอกเขาว่าเฮนรี่เป็นคนทำอาหารจานนี้ และยังถามเขาว่ารู้สึกดีขึ้นไหมหลังจากได้กินของอร่อย
เขารู้สึกดีขึ้นหลังจากที่เธอใส่ใจเขา เขาจึงพยักหน้าและบอกให้เธอไปเล่นที่สนามเด็กเล่นข้างล่าง
ตอนนั้นสาวน้อยจูงมือเขาด้วยมือข้างหนึ่งแล้วกระโดดโลดเต้นข้างๆเขา แต่อีกข้างเอาซ่อนไว้ข้างหลัง
เมื่อนึกย้อนกลับไป บางทีมือของเธออาจได้รับบาดเจ็บในวันนั้นเพราะเป็นครั้งแรกของเธอในการทำอาหาร ดังนั้นเธอจึงซ่อนบาดแผลไม่ให้เขาเห็น
เป็นเพราะเธอกลัวว่าถ้าเขารู้ เขาจะไม่ยอมให้เธอทำอาหารให้เขาอีก เธอจึงโกหกว่าเฮนรี่เป็นคนทำ
ผู้หญิงแบบนี้จะไม่คู่ควรกับเขาได้อย่างไร?
โอหยางจวิ้นใจเต้นแรง เรียกสือจินหว่าน:“หวันหว่าน มานี่สิ”
สือจินหว่านวางตะเกียบลงแล้วเดินไปข้างหน้าเขา
จู่ๆเขาก็ยื่นแขนออกมาและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ใจเต้นแรงและถามอย่างอารมณ์ดี: “หวันหว่าน หนูดีกับทุกคนแบบนี้ไหม?”
สือจินหว่านไม่ค่อยเข้าใจความหมายของโอหยางจวิ้น ดังนั้นเธอจึงทำท่าทาง: “อาจวิ้น หนูไม่เคยทำอะไรให้คนอื่น!”
โอหยางจวิ้นรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยกับอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นของเขา
ทำไมเขาถึงเริ่มรู้สึกอิจฉาคนที่จะอยู่กับเธอตลอดชีวิตในอนาคต?
เขาคิดว่า เธอก็คงจะทำอาหารให้คนนั้น และซ่อนบาดแผลด้วยเหตุผลที่บีบคั้นหัวใจ เพื่อไม่ให้คนที่ห่วงใยเธอต้องกังวล?