โอหยางจวิ้นนำสือจินหว่านวางลง เขาก้มลงไปมองเธอ : “ยังเดินไหวไหม?”
เธอเอนไปพิงอยู่บนตัวเขา เงยหน้าแล้วยิ้มให้เขา : “คุณพาฉันไปหน่อยสิ!”
โอหยางจวิ้นจนปัญญา จึงพาสือจินหว่านไปที่หน้าฟลอร์เต้นรำ
โดยรอบ มีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่สนุกสนานรื่นเริงกันอย่างมาก มีวงดนตรีมากมาย เมื่อเห็นสือจินหว่านเข้ามา ก็กล่าวทักทายเธอว่า : “Wan มาเต้นด้วยกันสิ!”
เป็นธรรมดาที่โอหยางจวิ้นเป็นห่วงที่จะปล่อยเธอไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงโอบเอวเธอไว้ แล้วเดินไปกลางฟลอร์เต้นรำด้วยกันกับเธอ
หมุนวนไปรอบๆ แล้วมองดูสถานการณ์ไปด้วย คาดไม่ถึงว่าแม้เธอจะเบลอๆอยู่ แต่ก็ค่อนข้างทำได้ดี
ดนตรีค่อยๆเปลี่ยนจากจังหวะเร็วเป็นนุ่มนวลผ่อนคลาย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นจังหวะการเต้นของคู่รัก ดังนั้น ผู้คนบนฟลอร์เต้นรำจึงจัดเป็นกลุ่มชายหญิงอย่างรวดเร็ว และเริ่มเต้นรำกัน
ในหัวสือจินหว่านรู้สึกสับสนงุนงง เพียงแต่เธอยังคงจำได้อย่างชัดเจนว่า เธออยากจะเต้นรำกับโอหยางจวิ้นมานานแล้ว
เพราะเหตุนี้เธอจึงพิงอยู่กับหน้าอกของเขา พร้อมกับเสียงเพลง และภายใต้การเคลื่อนไหวของเขา จึงเริ่มเต้นรำขึ้นมา
บางทีบรรยากาศในฟลอร์เต้นรำก็ส่งผลต่อคนในที่นั้น ฉะนั้นคนจำนวนไม่น้อยจึงได้มาเข้าร่วม ฟลอร์เต้นรำจึงดูแออัดขึ้นมาในทันที
โอหยางจวิ้นยื่นมือไปโอบสือจินหว่านไว้ กลัวว่าเธอจะล้มลงไปแล้วถูกคนชนเข้า แต่เมื่อเธอเอนตัวเข้ามา ร่างกายของเขาก็หดเกร็งขึ้นมาทันที
สัมผัสอันอบอุ่นอ่อนโยนในอ้อมแขนส่งออกมาอย่างชัดเจน ชั่วขณะนี้เขาจึงตระหนักได้ว่า เธอโตแล้วจริงๆ อีกทั้งร่างกายก็มีการพัฒนาขึ้น รูปร่างไม่แบนราบอย่างนั้นเหมือนกับตอนเด็กๆอีกแล้ว
แต่โดยรอบมีผู้คนจำนวนมาก เขาจะปล่อยเธอก็ไม่ได้ จะไม่ปล่อยก็ไม่ได้ รับรู้ได้เลยว่ากล้ามเนื้อทั่วร่างกายหดเกร็งจนแข็งทื่อไปหมด เห็นได้ชัดว่าเสื้อเชิ้ตที่สวมมา ผ่านไปสักพัก ก็มีเหงื่อออกเต็มไปหมดแล้ว
“หวันหว่าน คนเยอะมากแล้ว เรากลับกันดีกว่าไหม?” โอหยางจวิ้นก้มหน้าลงแล้วพูดโน้มน้าวสาวน้อยของเขา
แต่วันนี้เธอดื้อรั้นเป็นพิเศษ : “เพิ่งจะเต้นไปเพลงเดียวเอง ฉันไม่อยากกลับไปเร็วขนาดนี้!”
โอหยางจวิ้นจนปัญญา ได้แต่พูดต่อรองว่า : “อย่างนั้นเราไปพักผ่อนสักครู่ รอหลังจากคนน้อยลงแล้ว ค่อยมาเต้นกันอีกที ดีไหม?”
สือจินหว่านเบ้ปาก คิดดูเล็กน้อย ในที่สุดก็พยักหน้า
โอหยางจวิ้นโล่งอก เขาจูงมือเธอลงจากฟลอร์ พาเธอไปที่โซฟา แล้วไปขอน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว
เมื่อเกลี้ยกล่อมให้เธอดื่มน้ำแล้ว เห็นท่าทางเธอที่กลับมาสงบนิ่ง โอหยางจวิ้นจึงถามเธอว่า : “หวันหว่าน บอกฉันมาสิ ว่าทำไมถึงดื่มเหล้า?”
เธอได้ยินคำถามของเขา ก็หมดแรงที่จะคิดไตร่ตรองแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเงยหน้าขึ้นแล้วหลุดพูดออกมาว่า : “เพราะว่าคิดถึงคุณไง”
เขาตกตะลึงไปชั่วครู่ เมื่อมองเธออีกครั้ง เธอก็เอนตัวนอนลงไปบนโซฟาแล้ว
โอหยางจวิ้นรอให้เธอนอนหลับสักพัก จากนั้นก็ก้มลงไปอุ้มเธอขึ้นมา
เธอยังคงไม่ตื่น พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาไม่ขยับไปไหน
เขากล่าวลาสมาชิกของวงดนตรี แล้วพาเธอไปที่ลานจอดรถ
นำเธอวางลง รัดเข็มขัดนิรภัยดีแล้ว โอหยางจวิ้นก็ไปนั่งยังที่นั่งคนขับ มองดูใบหน้าที่หลับใหลของหญิงสาวข้างๆ แล้วพูดพึมพำกับตนเองเบาๆว่า : “ในเมื่อคิดถึงฉัน แล้วทำไมไม่กลับบ้านล่ะ?”
เขารู้สึกว่า ตนเองสามารถคาดเดาคำตอบนี้ได้ แต่ก็เหมือนว่าไม่อยากจะรับรู้มัน
กลับมาถึงบ้าน เขาอุ้มเธอขึ้นมาอย่างนุ่มนวล และเมื่อมีลมพัดผ่านเข้ามา เธอก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“หวันหว่าน นอนต่อเถอะ!” โอหยางจวิ้นอุ้มหวันหว่านเข้าไปในห้อง แล้ววางลงบนเตียง เขากำลังจะลุกขึ้นไปเรียกคนรับใช้มาดูแล เธอก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
“ทำไมถึงตื่นแล้วล่ะ?” เขาเอ่ยถามเธอเบาๆ เห็นว่ากระดุมคอเสื้อของเธอดูแน่นไปเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงเอื้อมมือออกไปช่วยเธอปลดกระดุมเม็ดแรกออก ให้เธอได้หายใจสะดวกขึ้น
แต่เมื่อโอหยางจวิ้นกำลังจะลุกขึ้น จู่ๆสือจินหว่านก็โอบกอดคอของเขาเอาไว้
สายตาของเธอพร่ามัว มองเขาด้วยความมึนเมา : “อาจวิ้น”
“หื๊ม?” เขาเอ่ยถามเธอว่า : “ทำไมเหรอ? มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า?”
“มีค่ะ” สือจินหว่านพูดออกมา
“ตรงไหนเหรอ?” โอหยางจวิ้นพูดอย่างเคร่งเครียด
จู่ๆเธอก็ออกแรง โน้มศีรษะของเขาลงมา รวบเข้ามาใกล้ๆใบหน้าน้อยๆ ต่อจากนั้น——
ในฉับพลันริมฝีปากที่อ่อนนุ่มนั้นก็ค่อยๆเข้ามาใกล้ๆ โอหยางจวิ้นเบิกตาโพลงในทันที ในขณะนั้นหัวใจของเขาก็เต้นรัวราวกับตีกลอง
เขามองสือจินหว่านด้วยความตกใจ เธอราวกับไร้เรี่ยวแรง ค่อยๆปล่อยเขา จากนั้นก็ยิ้มให้เขา
ทันใดนั้นคิ้วก็โค้งงอนขึ้น ดวงตาที่มัวหมองเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส ชั่วพริบตาก็เหมือนเห็นท้องฟ้าที่แจ่มใส เกิดความงดงามขึ้นมา
โอหยางจวิ้นพบว่าลมหายใจของตนเองเริ่มติดขัดขึ้นมา และมือเท้าก็ไม่รู้ว่าจะจัดวางไว้อย่างไรดี
พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก เขารู้สึกได้ถึงที่ที่เธอจูบไปเมื่อกี้ มันรุ่มร้อนอย่างมาก ความรู้สึกของการสัมผัสนั้น ราวกับถูกตราตรึงไว้ในจิตวิญญาณ ไม่มีวันจางหายไป
สือจินหว่านยิ้มให้โอหยางจวิ้นตลอด จากนั้นรอยยิ้มก็ค่อยๆแข็งทื่อขึ้น ท้ายที่สุดเธอก็หลับตาลง แล้วก็หลับไป
เพียงแต่ที่มุมปากยังคงมีรอยยิ้มจางๆหลงเหลืออยู่
โอหยางจวิ้นนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน จึงค่อยๆลุกขึ้นมา
เขายืนอยู่ข้างๆเตียง เห็นว่าเธอหลับสนิทแล้วจริงๆ จึงก้มลงไปช่วยถอดรองเท้าให้เธอ
เขาเดินออกมาจากห้อง แล้วสั่งคนรับใช้ให้ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สือจินหว่านด้วย จากนั้นก็เดินมาที่ระเบียงของปราสาท
ลมหนาวพัดพาอุณหภูมิบนแก้มออกไป แต่ตราประทับบนริมฝีปากยังคงอยู่ไม่จากไปไหน
เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงเป็นเด็กน้อย เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ตอนเด็กๆเธอไม่เคยจูบเขาเลย มีอยู่ไม่กี่ครั้ง ที่ไม่ทันได้ระวังก็เลยจูบไปที่ปาก แต่ว่า……
จู่ๆโอหยางจวิ้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้ที่บ่อน้ำพุร้อน ความรู้สึกที่เขากำลังจะไปจูบมู่ยวี๋ฮั่น
เวลานั้นเขาประหม่าอย่างมาก เพียงแต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือรู้ว่าเป็นการทดสอบหยั่งเชิง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกแค่เป็นเพื่อนกันเท่านั้น จึงรู้สึกแปลกๆที่จะต้องเข้าไปใกล้ชิดแบบนั้น
เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ตอนนั้นไม่ได้ใจเต้นเลย จนกระทั่ง มู่ยวี๋ฮั่นพูดประโยคนั้น เขารู้สึกอยากจะหัวเราะ และไม่สามารถจูบต่อไปได้อีก
แต่เมื่อกี้ ทำไมตอนสาวน้อยเข้ามาใกล้เขาแบบนั้น เขาเหมือนกับถูกตรึงให้หยุดนิ่งไปเลยล่ะ?
จนกระทั่งตอนนี้ หัวใจก็สับสนวุ่นวายไปหมด หาความรู้สึกของหัวใจที่นิ่งเหมือนน้ำที่หยุดไหลไม่ได้โดยสิ้นเชิง
เขาคลึงที่ขมับเล็กน้อย พยายามระงับความรู้สึกที่ฟุ้งซ่านทั้งหมดของตัวเอง
เขาคิดว่า เธอเพียงแค่เมา ก็เท่านั้น
แต่เขา ไม่สามารถถูกความรู้สึกแบบนี้เข้ามารบกวนได้อีกต่อไป
คิดถึงตรงนี้แล้ว โอหยางจวิ้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วรีบก้าวเท้าไปยังห้องหนังสือ
สิบโมงเช้าวันต่อมา สือจินหว่านค่อยๆลืมตาขึ้นมา
เธอรู้สึกว่ายังหนักๆที่หน้าผาก ด้วยเหตุนี้จึงขยับคอเล็กน้อย
เอ๊ะ ดูเหมือนว่าจะกลับมาอยู่ที่ห้องของตระกูลเพอร์เซลล์แล้วเหรอ? เธอมองไปรอบทิศอย่างงุนงง ความทรงจำจึงค่อยๆกลับคืนมา
อ้อ เมื่อวานโอหยางจวิ้นพาเธอกลับมา เธอจำได้ว่า พวกเขาเหมือนว่ายังเต้นรำกันด้วยใช่ไหม?
เธออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงออกมา รู้สึกหิวมาก ด้วยเหตุนี้จึงกระโดดเข้าไปยังห้องอาหาร
ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วจึงออกมา แต่บังเอิญได้พบกับโอหยางจวิ้นที่ระเบียงทางเดิน
“อาจวิ้น อรุณสวัสดิ์ค่ะ!” สือจินหว่านยิ้มอย่างสดใสแล้วกล่าวทักทายโอหยางจวิ้น
“อรุณสวัสดิ์” โอหยางจวิ้นรู้สึกเกร็งเล็กน้อย จนกระทั่งถูกเธอจับจ้อง จู่ๆริมฝีปากก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
สือจินหว่านกำลังจะเดินต่อไป แต่จู่ๆก็สังเกตเห็นความคล้ำใต้ดวงตาของโอหยางจวิ้น: “คุณอาจวิ้น เมื่อคืนคุณนอนไม่หลับเหรอคะ?”
โอหยางจวิ้นพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ที่แท้ เธอจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?
เมื่อคืนเขาพยายามทำงานอยู่ในห้องหนังสือ เมื่อกลับถึงห้องก็เกือบจะตีหนึ่งแล้ว แต่พอเขาเอนตัวลงนอน ในสมองล้วนเป็นภาพที่เธอจูบเขา จากนั้นก็ยิ้มให้เขา จึงทำให้นอนไม่หลับโดยสิ้นเชิง
แต่เหมือนกับว่าเธอลืมไปหมดแล้ว?
“อืม นอนไม่ค่อยหลับน่ะ” โอหยางจวิ้นอยากไปหยิกแก้มของสือจินหว่าน แต่ขยับมือแล้ว ก็ล้มเลิกไป
“อาจวิ้นต้องนอนเร็วหน่อยนะคะ ไม่อย่างนั้นขอบตาจะคล้ำแล้วไม่หล่อนะ!” เธอทำหน้าตาทะเล้น: “ฉันกลับห้องแล้วนะ!”
เขาหันตัวกลับ มองภาพด้านหลังของเธอ: “หวันหว่าน คุณจะกลับไปที่วงดนตรีอีกไหม?”
“กลับไปแน่นอนค่ะ!” สือจินหว่านกล่าว: “วันพรุ่งนี้ฉันมีฝึกซ้อม ดังนั้นวันนี้ทานข้าวเย็นแล้วก็จะกลับไปค่ะ”
เขาเห็นเธอเป็นปกติทุกอย่าง หัวใจจึงผ่อนคลายลง
เธอน่าจะไม่ได้มีความหมายนั้นอย่างที่เขาคาดเดา ไม่ใช่ก็ดี!
ตอนเย็น โอหยางจวิ้นไปส่งสือจินหว่านกลับวงดนตรี เขามองเธอ แล้วกล่าวอย่างจริงจังและเคร่งขรึมว่า: “หวันหว่าน ต่อไปห้ามดื่มเหล้าอีกนะ เข้าใจไหม?”
เธอบุ้ยปาก แล้วพยักหน้า: “โอเคค่ะ อาจวิ้น ต่อไปฉันจะไม่ทำอีกแล้ว!”
เขาเห็นท่าทีที่เชื่อฟังของเธอแล้ว น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงอย่างมาก: “ฉันไม่ได้โหดร้ายกับคุณหรอกนะ แต่กลัวว่าคุณเมาแล้วจะ…..”
เขานึกถึงเธอที่รบเร้าให้เขาเต้นรำด้วย แล้วยังจูบเขาอีก ก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ด้วยเหตุนี้จึงพยายามแสดงออกอย่างเคร่งขรึม: “สรุปว่า ต่อไปถ้าไม่มีฉันอยู่ข้างๆ ห้ามดื่มเหล้ามั่วซั่วอีก!”
“โอเคค่ะ แล้วถ้าคุณอาจวิ้นอยู่ข้างๆล่ะ?” สือจินหว่านมองเขาอย่างแปลกใจ
“ก็ ห้าม ดื่ม!” โอหยางจวิ้นพูดทีละคำอย่างชัดเจน
“อ้อ โอเคค่ะ” สือจินหว่านกัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า
“ตั้งใจเรียนนะ วันหลังฉันจะมาหาคุณอีก!” เขาลูบหัวของเธอ แล้วโบกมือบ๊ายบายเธอ
เธอพยักหน้า ยิ้มจนตาหยี จากนั้นก็หันเดินจากไป
จนกระทั่งสือจินหว่านหายไปจากสายตา โอหยางจวิ้นจึงหันเดินจากไป
หลังจากนั้น ก็ดูเหมือนจะกลับสู่โหมดที่ผ่านมา ทุกคืนเธอแทบจะไม่ต้องรอให้เขาถามว่าเป็นอย่างไร ก็รายงานความปลอดภัยเองอย่างตรงเวลา
และการเต้นรำและจูบในวันนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะสลายไปตามกาลเวลา
สือจินหว่านเปิดเทอมแล้ว เตรียมสอบจบการศึกษาไปพลาง ฝึกซ้อมวงดนตรีไปพลาง ดูเหมือนว่าจะยิ่งอัดแน่นกว่าเมื่อก่อน
จนกระทั่งใกล้สอบจบการศึกษาอีกหนึ่งเดือน เธอจึงไม่ได้กลับไปอีก
วันนี้ เธอได้ฟังข่าวดีเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ของโอหยางจวิ้น แต่เป็นมู่ยวี๋ฮั่นและคุณหมอด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูของเธอ
ได้ฟังข่าวนี้แล้ว สือจินหว่านก็ตกตะลึงอยู่บนดาดฟ้าของโรงเรียนเป็นเวลานาน
จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมีฝนตกพรำๆ เธอจึงได้สติกลับมา
ความดีใจที่ยากจะอธิบายได้ระเบิดขึ้นในหัวใจ แม้แต่ละอองฝนก็กลายเป็นดอกไม้ไฟที่กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า
เธอยืนอยู่ขอบดาดฟ้า นำมือทั้งสองวางลงบนแก้ม แล้วตะโกนลงมาว่า: “ฉัน มี ความ สุข จัง เลย!”
จากที่ไกลๆ คาดไม่ถึงว่าจะมีเสียงแว่วๆสะท้อนกลับมา
ฝนค่อยๆตกหนักขึ้น สือจินหว่านถูกฝนจนเปียกโชก แต่ก็ยังคงดีใจเป็นพิเศษ
เธอมีความสุขแทนมู่ยวี๋ฮั่น แล้วก็มีความสุขกับความลับเล็กๆภายในใจ
เธอเล่นน้ำฝนอยู่บนดาดฟ้า จนกระทั่งมีคุณครูเข้ามา ดึงเธอลงมาอย่างใจระทึก เพราะคิดว่าเธอจะกระโดดตึก
กลับมาถึงหอพักของตนเอง สือจินหว่านอาบน้ำแล้ว ก็ฉีกยิ้มกว้างกับตนเองในกระจกหนึ่งที จากนั้น ก็ทำการตัดสินใจภายในใจ
เธอพูดไม่ได้ตั้งแต่เด็ก หลายครั้งหลายครา ที่ภายในใจมีความคิดแต่ไม่สามารถแสดงออกมาให้ดีได้
แต่ตอนนี้ เธอสามารถฝ่าฟันอุปสรรคที่ยากลำบากมาได้แล้ว ดังนั้น เธอชอบเขา ก็ต้องกล้าที่จะบอกเขา!
เธอจะเลือกช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อสารภาพรักกับเขา!