“ หวันหว่าน ตอนนี้หนูยังเด็กมากจริงๆ……” โอหยางจวิ้นมองไปยังสือจินหว่านที่มีน้ำตาไหลอยู่ตรงขอบตา แล้วรู้สึกเพียงแค่หัวใจของเขานั้นรู้สึกอึดอัดมากๆ
สือจินหว่านก็พูดขัดจังหวะการปฏิเสธของเขา : “ อาจวิ้นคะ เพราะฉะนั้นอารังเกียจหนูที่ยังเด็กอยู่ใช่ไหม ? แม้แต่โอกาสสักครั้งก็ยังไม่ให้ ? !”
ในขณะที่พูดนั้น จู่ๆเธอก็รู้สึกน้อยใจแล้วก็เจ็บปวดใจ แต่ก็ไม่อยากจะเขาเห็นเธอในตอนที่ตกอยู่ในความยากลำบาก ดังนั้นก็เลยนั่งยองๆลงมาแล้วก็เอาหน้าซุกเข้าไปในหัวเข่า
เมื่อเขาเห็นไหล่ที่สั่นเทาของเธอ ก็รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็แทบจะไม่ต้องคิดเลย เขาก็ย่อตัวลงและพูดกับเธอว่า : “ หวันหว่าน อาไม่ได้รังเกียจหนู หนูอย่าร้องไห้เลยนะ ฟังอาพูดก่อน……”
เธอไม่ขยับเขยื้อนและยังคงแอบร้องไห้อยู่ในหัวเข่า
“ หวันหว่าน อาไม่ได้จะปฏิเสธหนูนะ ” โอหยางจวิ้นพูด
เมื่อสือจินหว่านได้ยินแบบนั้น ก็หยุดร้องในทันที เธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วกัดริมฝีปากแล้วก็รอให้โอหยางจวิ้นนั้นพูดต่อ
เขาพบว่า เขาไม่สามารถจะปฏิเสธเธอลงได้จริงๆ เธอเป็นเด็กที่รู้เรื่องมาตั้งแต่เด็ก น้อยครั้งมากที่จะร้องไห้ และพอโตขึ้น น้ำตาที่หวงแหนเช่นนี้กลายเป็นอาวุธที่ดีที่สุดของเธอ
แน่นอนว่าเขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบให้กับอาวุธของเธอ และเขาก็ดึงเธอลุกขึ้น : “ หวันหว่าน ฟังอาพูดให้จบก่อนนะ”
ในขณะที่พูดนั้นเขาก็ช่วยเธอเช็ดน้ำตาพร้อมกับพูดไปด้วยว่า : “ ตอนนี้หนูยังเด็ก ในอนาคตมันยังจะมีปัจจัยอีกมากมายที่ไม่แน่นอน ในตอนนี้หนูรู้สึกว่าชอบอา แต่หลังจากผ่านไปสามปี ห้าปี หนูยังจะยึดมั่นโดยที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ไหม ? หรือสิ่งที่หนูชอบอยู่ตอนนี้ มันขึ้นอยู่กับอะไรมากกว่ากัน หนูคิดดีแล้วหรือยัง ?”
เมื่อสือจินหว่านมองไปยังโอหยางจวิ้น ก็รู้สึกเพียงแค่ว่ามองยังไงก็เป็นรูปร่างลักษณะที่เธอชอบ
เธอพูดอย่างจริงจังว่า : “ หนูคิดดีแล้วค่ะ ถ้าหากว่าอาไม่เชื่อหนู หนูจะใช้เวลามาเป็นเครื่องพิสูจน์ให้อาเห็นเองค่ะ !”
โอหยางจวิ้นก็ถอดหายใจอย่างช่วยไม่ได้ : “ ไหนยังจะครอบครัวของพวกเราทั้งสองคนอีก หนูเคยคิดบ้างแล้วหรือยัง ? ถ้าพวกเขารู้แล้วจะมีท่าทีโต้ตอบยังไงกัน ? แล้วหนูสามารถแบกรับความกดดันแบบนี้ไหวหรือเปล่า ?”
สือจินหว่านส่ายหัว : “ เรื่องที่หนูตัดสินใจแล้ว ต่อให้ความกดดันจะมีมากไหนหนูก็จะยึดมั่นต่อไป ! นอกจากนี้ เมื่อก่อนพ่อเคยบอกกับหนูว่า ให้หนูยึดมั่นในทางเลือกที่ตัวเองชอบ !”
“ อย่างสุดท้ายคือ หนูเคยคิดเรื่องที่อาอายุมากกว่าหนูยี่สิบปีไหม ถ้าหากว่าหนูอยู่กับอา ในอนาคตอาแก่เฒ่าไปแล้ว จะดูแลหนูได้ยังไง ?” แววตาของโอหยางจวิ้นก็เอาจริงเอาจังขึ้นมาเล็กน้อย
“ อาจวิ้น สุขภาพของอาก็ดีมากๆ เพราะออกกำลังกายมาตลอด หลายปีที่ผ่าน ตั้งแต่หนูเป็นทารกจนโตมาขนาดนี้แล้ว อาก็ไม่เคยจะเปลี่ยนเลย แล้วก็ยังป่วยน้อยอีกด้วย ” สือจินหว่านพูด : “ ในอนาคต หนูเชื่อว่าอาจะอยู่ข้างหนูไปตลอด ! และในอนาคตเมื่ออาแก่เฒ่า ก็เปลี่ยนให้หนูเป็นคนดูแลแทน !”
เขาเห็นความยึดมั่นในดวงตากลมโตอันบริสุทธิ์ของเธอ เมื่อได้ยินคำพูดที่ซาบซึ้งใจและเรียบง่ายพวกนี้ ในเวลานี้ก็รู้สึกว่าไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้แล้วจริงๆ
“ หวันหว่าน ในเมื่อตอนนี้หนูเพิ่งจะอายุสิบสอง ยังไม่สามารถที่จะรักก่อนวัยอันควรได้ แต่ทว่าอาจะจำทุกคำพูดของหนูเอาไว้อย่างจริงจัง ” โอหยางจวิ้นมองตรงเข้าไปในสายตาของสาวน้อย : “ อาจะรอให้หนูโต หลังจากที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ถ้าหากว่าตัวเลือกของหนูยังคงเป็นอา เราก็ค่อยมาวางแผนอนาคตด้วยกัน ”
“ จริงนะคะ ? ! ” แววตาของสือจินหว่านก็เต็มไปด้วยความดีใจและแปลกใจ พร้อมกับแสงสว่างของอุณหภูมิก็แทบจะเผาไหม้เข้าไปในหัวใจของโอหยางจวิ้น
“ จริง คำมั่นสัญญาของอาจะมีผลในหกปีข้างหน้า ” โอหยางจวิ้นพูด : “ อาจะรอให้หนูโต ”
“ ค่ะ !” สือจินหว่านถูกโจมตีด้วยความดีใจและแปลกใจ และในเวลานี้ เธอก็ไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรดี
ดังนั้น เธอก็ยิ้มมุมปาก แล้วก็วิ่งวนไปรอบๆของโอหยางจวิ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ
จนกระทั่งวิ่งจนเหนื่อย เหงื่อเต็มไปหมดบนหน้าผาก แล้วแก้มก็เป็นสีแดงก่ำ สือจินหว่านถึงได้หยุดวิ่ง
และโอหยางจวิ้นก็มองดูสาวน้อยที่วิ่งวนรอบตัวเองอยู่ตลอด แล้วก็คลับคล้ายว่าจะนึกถึง เธอในตอนเด็กที่เวลามีความสุขก็จะเป็นแบบนี้
ในตอนนั้น เธอยังไม่สามารถพูดได้ เวลาที่เขาออกไปทำงานที่อื่นก็จะไปเป็นเวลานาน นานมากแล้วที่เธอไม่ได้เจอเขา เมื่อเห็นเขากลับมา เธอก็ไม่ได้ทักทายเขาเลยแล้วก็จะไปวิ่งวนรอบโซฟาของเขา พอท้ายที่แล้ว เมื่อเหนื่อยไม่ไหวแล้วก็จะโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
ในตอนนั้น เขาก็อุ้มเธอขึ้นมาในทันที แล้วก็วางเธอไว้บนไหล่ และเธอก็จะปรบมืออย่างมีความสุข
ณ เวลานี้ ภาพในความทรงจำมันค่อยๆถูกแทนที่ด้วยความเป็นจริงในขณะนั้น สือจินหว่านเหนื่อยไม่ไหวแล้วก็วิ่งไปตรงหน้าของโอหยางจวิ้น จากนั้นก็โถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
แต่ในตอนนี้เธอพูดได้แล้ว เธอก็พูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า : “ อาจวิ้น หนูมีความสุขจังเลย ”
เธอที่มีความสุขก็ทำให้เขานั้นยิ้มมุมปากขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว
เขาคิดว่าการตัดสินใจในเมื่อกี้ของเขานั้น มันเป็นการตัดสินที่บ้าบิ่นมากที่สุดในชีวิตของเขาเลยจริงๆ
สำหรับเธอแล้ว ขอเพียงแค่เธอโตขึ้นมาในทางดี แต่สำหรับเค้าแล้ว กลับมีความกดดันที่เพิ่มขึ้นมากๆ
เป็นเพราะว่าเขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเพอร์เซลล์ และในตอนนี้ก็อายุสามสิบห้าแล้ว ถ้าหากว่ายังไม่มองหาคู่ แล้วก็ยังไม่แต่งงาน เมื่อเวลาผ่านไป ผู้อาวุโสของตระกูลก็คงจะทนดูต่อไปไม่ได้
ดังนั้นแล้ว เขาจำเป็นที่จะต้องคิดหาวิธีอย่างรอบคอบ
ไม่สามารถที่จะให้ความกดดันนี้กับสาวน้อย แล้วก็ให้เพอร์เซลล์นั้นสามารถให้เวลากับเขาด้วยเช่นกัน
แต่ก่อน เขาคิดมาตลอดว่า การแต่งงานนั้นเป็นความรับผิดชอบที่ต้องปฏิบัติในชีวิต และเป็นหน้าที่ที่จะต้องสืบทอดครอบครัวและแพร่พันธุ์ก็เท่านั้น แล้วก็หาคนที่ไม่ถูกกีดกันมาแต่งงานด้วย แล้วมันก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเลย
แต่ทว่า วันนี้เมื่อเขาเห็นเธอร้องเพลงให้เขาบนเวที แล้วในขณะที่เขาก็ถูกความอบอุ่นของเธอนั้นสาดส่อง จู่ๆเขาก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกถึงสภาวะแบบนั้นที่สือมูเฉินเคยได้บอก และมันเป็นสิ่งที่เขาควรแสวงหา
คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก เพียงแค่สั้นๆไม่กี่สิบปี และเขาก็ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆให้สู้เพื่อความมั่งคั่งและความมีเกียรติของตระกูล แต่ที่ผ่านเขาไม่เคยที่จะคิดถึงตัวเองเลย
ถ้าอย่างนั้น ครั้งนี้ เขาจะพยายามอย่างหนักและฮึกเหิมเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการมาสักครั้ง แค่นี้ก็เกิดมาไม่เสียเปล่าแล้ว !
ในเวลานี้ สาวน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็เงยหน้าขึ้นมาพูดว่า : “ อาจวิ้นคะ ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่หนูยังไม่ได้บอกอาค่ะ ”
“ อะไรงั้นหรอ ?” โอหยางจวิ้นก็เก็บความรู้สึกแล้วก็ถามไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
หัวใจของสือจินหว่านก็เต้นแรงจนดังตึกๆ เธอรู้สึกว่ามันตื่นเต้นยิ่งกว่ากับการสารภาพรักสักอีก : “ หนูไม่รู้เลยว่า คุณอาชอบหนูหรือเปล่า ? หนูไม่ได้ชอบความรู้สึกที่ถนอมรักแบบนั้น แต่สำหรับหนูแล้วเป็นเพราะความรู้สึกชอบแบบนั้นจริงๆ !”
โอหยางจวิ้นเห็นดวงตาของเธอที่ตื่นเต้น และปากของเธอก็เปิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งทั้งคนก็เฝ้ารอด้วยท่าทางที่หวาดกลัว และเขาก็รู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจของเขานั้นถูกเธอทำให้มันละลายจนนุ่มนิ่มจนระเนระนาด
เขาก็ตอบกลับ : “ ถ้าหากว่าไม่ชอบ จะรับปากว่าจะรอหนูโตทำไมกันละ ?”
สือจินหว่านก็หยุดชะงักไปหลายวินาที จากนั้นดวงตาถึงได้เบิกกว้างในทันที แล้วก็รู้สึกว่าวันนี้เธอเจอเรื่องที่น่าดีใจเยอะมากๆ ในเวลานี้ ก็ไม่รู้ว่าจะแสดงความตื่นเต้นดีใจนี้อย่างไร
ที่แท้ ที่เขาตอบกลับว่าจะรอเธอ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเป็นการหว่านล้อมเธอ แต่เป็นเพราะว่าชอบเธอ ? !
เธอไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ดังนั้นเธอก็เลยถูไปที่หน้าอกของโอหยางจวิ้น และดูเหมือนว่าเป็นสัตว์ตัวน้อยที่กำลังออดอ้อน
เขาไม่ได้ผลักเธอออก แต่เพียงแค่ตบไปที่หลังของเธอเบาๆและคล้อยตามเธอ
พอผ่านไปสักพัก สือจินหว่านก็ลุกขึ้นมาพร้อมกับแก้มที่แดงก่ำ จากนั้นก็กุมมือของโอหยางจวิ้นเอาไว้และพูดว่า : “ ช่วงทดลองของวันนั้น อารับปากหนูแล้วนะ ?”
โอหยางจวิ้นก็ไม่มีทางเลี่ยง และพูดอย่างประนีประนอมต่อว่า : “ อื้ม ”
เธอแทบจะทนรอไม่ไหวอยู่แล้ว อยากจะรู้จังเลยว่าความรู้สึกในการเดทนั้นมันจะเป็นยังไง !
แม้ว่าหลังจากผ่านไปหนึ่งวัน พวกเขาจะกลับไปสู่ความสัมพันธ์แบบเดิม หรือแม้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับการแยกจากเป็นเวลานานก็ตาม
แต่ทว่า เขาบอกแล้วว่าเขาจะรอเธอหกปี และทั้งหมดก็ล้วนเป็นความหวัง !
สือจินหว่านที่กุมมือของโอหยางจวิ้นก็พูดว่า : “ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราไปที่ไหนดีคะ ?”
นี่มันจะถือเป็นเดทรักครั้งแรกอย่างจริงจังของพวกเขาหรือเปล่า ?
“ ไม่รอให้งานเลี้ยงของพวกหนูจบลงก่อนหรอ ?” โอหยางจวิ้นถาม
“ ไม่ละค่ะ หนูบอกเพื่อนไปแล้วว่ามีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า !” สือจินหว่านก็พูดอย่างหน้าบาน
“ ไปเดินถนนคนเดินกัน พอกินมื้อค่ำเสร็จ ก็ค่อยไปเดินเล่นแถวชายหาดไหม ?” โอหยางจวิ้นก็เสนอขึ้นมา
อันที่จริงแล้ว เขาก็ไม่เคยเดทแบบนี้มาก่อน การเดทในจินตนาการนั้นมันควรจะเป็นอย่างไรกันนะ ?
“ ค่ะ !” สือจินหว่านพยักหน้า และเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมกับโอหยางจวิ้น
ในระหว่างทาง โทรศัพท์ของเธอก็สั่นไม่หยุด ล้วนแต่เพื่อนในวงดนตรีที่ส่งข้อความมาถามเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เธอก็ตอบกลับไปเรียงกันไปตามลำดับ : “ สำเร็จแล้ว !”
ดังนั้นทุกคนก็เลยแสดงความยินดีกับเธอ
เมื่อโอหยางจวิ้นเห็นเธอกำลังส่งข้อความโดยที่ยิ้มหวานมากๆก็เลยอดที่จะถามไม่ได้ : “ หวันหว่าน กำลังคุยอะไรอยู่ ?”
“ เพื่อนของหนูถามว่าสารภาะรักสำเร็จหรือเปล่า หนูก็เลยถามผลลัพธ์ไป !” สือจินหว่านก็พูดว่า : “ ทุกคนบอกว่ารอให้ไปแจกขนมอยู่ !”
เมื่อพูดจบ เธอก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย แล้วนี่เธอ เป็นฝ่ายรุกมากเกินไปหรือเปล่า ? เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะชอบผู้หญิงที่สงบเสงี่ยมมากกว่า ?
ทันใดนั้นเธอก็พบว่า ตัวเองก็เริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ตัวเองได้รับเล็กน้อย
และในเวลานั้นเอง โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น สือจินหว่านก็เลื่อนเพื่อรับสาย : “ เฉียวซือ ?”
“ หวันหว่าน ” น้ำเสียงของเฉียวซือดูไม่ดีเล็กน้อย : “ นี่เธออยู่ไหน ?”
“ ฉันกับอาจวิ้นออกมาจากโรงเรียนแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางไปถนนคนเดิน !” สือจินหว่านก็พูดอย่างมีความสุข
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ที่เป็นเฉียวซือก็เงียบไปสองวินาที จากนั้นถึงจะเอ่ยปากพูดว่า : “ รู้แล้ว ”
เมื่อได้ยินเสียงตู๊ดตู๊ดในโทรศัพท์ สือจินหว่านก็รู้สึกงุนงง และพอกำลังจะเก็บโทรศัพท์ ก็มีข้อความเด้งเข้ามาหนึ่งข้อความ
เฉียวซือส่งมา : “ ฉันเห็นหมดแล้ว ”
“ อะไร ?” สือจินหว่านก็ถาม
“ เธอร้องเพลงให้เขาฟัง ฉันได้ยินแล้ว และเธอก็สารภาพรักกับเขาในป่า ฉันก็ได้ยินแล้วเหมือนกัน ” เฉียวซือก็พูดว่า : “ ที่แท้ เธอในตอนที่แช่ออนเซ็นไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขินอาย แต่เป็นเพราะหึงหวง ”
สือจินหว่านก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย : “ ขอโทษนะ เฉียวซือ ”
“ ไม่เป็นไรหรอก นอกจากเธอในตอนเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร เธอก็ไม่เคยสัญญาอะไรกับฉันอยู่แล้ว ” เขาตอบกลับมา : “ ในฐานะที่เป็นเพื่อนของเธอ ฉันขอให้เธอมีความสุขละกัน !”
โอหยางจวิ้นที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของสือจินหว่านดูไม่ดี ดังนั้นก็เลยพูดว่า : “ หวันหว่าน ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”
สือจินหว่านก็พูดอย่างซื่อตรง : “ เมื่อกี้เฉียวซือก็อยู่ แล้วเขาก็รู้หมดทุกอย่างแล้ว แต่ถึงอย่างไร เขาก็บอกว่าของให้พวกเรานั้นมีความสุขค่ะ ”
“ หวันหว่าน ทำไมหนูถึงไม่ชอบเฉียวซือละ ?” จู่ๆโอหยางจวิ้นก็นึกถึงคำถามนี้ขึ้นมา ในตอนนั้น เฉียวซือไม่ใช่ว่าไม่เคยสารภาพรักกับสือจินหว่านต่อหน้าเขา
สือจินหว่านก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่สามารถหาคำตอบได้ และจู่ๆก็นึกประโยคหนึ่งในบทพูดของนักแสดง ก็เลยอดไม่ได้ที่หลุดปากพูดออกมา : “ อาจจะเป็นว่าเพราะคุณอา ดังนั้นก็เลยทำให้ไม่เห็นความสว่างในตัวของคนอื่น ”
หัวใจของโอหยางจวิ้นก็เต้นเร็วมากยิ่งขึ้น ในขณะนี้ เขาเห็นใบหน้าด้านข้างของสาวน้อย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าอยากจูบเธอขึ้นมาเล็กน้อย
ทั้งสองขับรถไปยังลานจอดรถที่อยู่ใกล้กับถนนคนเดิน จากนั้นโอหยางจวิ้นก็เปิดประตูให้สือจินหว่าน เธอก็กระโดดลงมาในทันที แล้วเธอก็จับมือของเขา
ทุกสิ่งทุกอย่างในทั้งสองข้างนั้น มันไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่พวกเขามาเลยสักนิด แต่อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกแค่ว่ามันต่างไปเท่านั้น และดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเธอรู้สึกมีความสุข
เธอก็ก้มลงมองมือที่พวกเข้าจับไว้ด้วยกัน แล้วก็แอบขยับเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนมาสิบนิ้วเกาะเกี่ยวกันแน่น
ในขณะนั้น เธอรู้สึกหัวใจของเธอเต้นเร็วจนแทบจะพุ่งออกมาจากลำคออยู่แล้ว
ทันใดนั้น ก็มีหญิงสาวที่ขายดอกไม้อยู่ในลานกิจกรรมก็วิ่งมา จากนั้นก็ยื่นดอกกุหลาบหนึ่งดอกมาให้โอหยางจวิ้น : “ คุณอาคะ ซื้อสักดอกนะคะ แล้วก็เอาให้พี่สาวคนสวยคนนี้ !”
โอหยางจวิ้นก็หยิบเงินมาออกมาจากในกระเป๋า แล้วก็ซื้อมาหนึ่งดอก และยื่นให้สือจินหว่าน : “ หวันหว่าน นี่ให้หนู !”
เธอก็รับไปแล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นก็พูดกับหญิงสาวที่ขายดอกไม้ว่า : “ ห้ามเรียกเขาว่าคุณอาแล้วก็เรียกฉันว่าพี่สาวนะ เป็นเพราะเขาเป็นแฟนฉัน !”
หญิงสาวที่ขายดอกไม้ก็ถึงกลับตะลึง จากนั้นก็พูดชมเชยในทันที : “ ว้าว น่าอิจฉาจังเลย ! แฟนของพี่ทั้งสูงแล้วก็หล่อมากเลยค่ะ !”
สือจินหว่านก็ยักคิ้วแล้วพูดว่า : “ ขอบคุณนะ ! ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน !”