เด็ก ?
เด็กอะไร ?
มือที่จะผลักประตูของพิชญาหยุดลงโดยไม่รู้ตัว ในหัวสมองคิดไปถึงเด็กคนหนึ่งที่หน้าตาละม้ายคล้ายนัทธี ในใจก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา
ในห้องทำงาน นัทธียังคงพลิกดูเอกสารที่อยู่ในมือ ดวงตาก็สะดุ้งเล็กน้อย “เขายังมีน้องสาวอีกคน ? ”
“ใช่ครับ พวกเขาเป็นแฝดคนละฝา พี่ชายชื่ออารัณ น้องสาวชื่อไอริณ ตอนนี้เข้าเรียนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลซันไชน์ ”มารุตตอบ
ฟังมาถึงตรงนี้ พิชญาก็หน้าถอดสี
พี่ชายกับน้องสาว แล้วยังนามสกุลศรีสุขคํา เห็นได้ชัดว่านั่นหมายถึงเด็กสองคนที่อยู่กับวารุณี
ไม่คิดว่านัทธีจะเคยเห็นเด็กหนึ่งในสองคนแล้ว อีกทั้งยังเกิดความสงสัย ด้วยนิสัยของเขา หากสงสัยอะไรแล้วก็จะสืบค้นจนได้เรื่อง หากพบว่าเด็กทั้งสองคนเป็นลูกของเขาจริงๆ งั้นเรื่องที่เธอโกหกเมื่อครั้งก่อนก็คงจะปิดไม่มิดแล้ว
ถึงตอนนั้น เขาคงไม่ปล่อยเธอไว้แน่
ทำยังไงดี ?
สีหน้าของพิชญาซีดเผือด ในใจหวาดกลัวอย่างที่สุด
ในตอนนี้เอง นัทธีที่อยู่ในห้องทำงานก็จ้องมองไปยังเอกสารของเด็กทั้งสองคน ดวงตากะพริบวูบไหวไปมาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ผ่านไปสักพัก เขาวางเอกสารลงแล้วพูดเสียงเข้มว่า“ ให้โรงเรียนอนุบาลซันไชน์จัดการตรวจร่างกาย ก่อนเลิกงาน เก็บตัวอย่างเลือดของเด็กสองคนนั้นมา”
“ท่านประธานคุณต้องการตรวจดีเอ็นเอของเด็กสองคนนั้น ? ” มารุตถาม
นัทธีไม่ปริปากพูดอะไร
มารุตพยักหน้า “ผมทราบแล้วครับ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าตึกๆๆดังใกล้เข้ามา พิชญาที่อยู่นอกห้องก็หันซ้ายมองขวา และเห็นห้องทำงานที่อยู่ข้างๆของเลขา จึงได้เปิดประตูเข้าไปแล้วหลบซ่อนตัวเอาไว้
เลขาที่อยู่ด้านในเห็นเธอบุกเข้ามา ต่างก็พากันตกใจ
“ผู้จัดการพิชญา คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ ?” เลขาธิการถามเธอด้วยรอยยิ้ม
พิชญาไม่ได้สนใจ เธอแนบตัวไปกับประตูแล้วมองส่องผ่านตาแมวดูภาพภายนอก เมื่อเห็นว่าร่างของมารุตได้หายเข้าไปในลิฟต์แล้ว จึงได้เปิดประตูออกมา
ยังดี ที่ไม่ถูกจับได้
พิชญาตบไปที่หน้าอกตัวเอง แต่วินาทีต่อมา สีหน้าของเธอก็มืดมน
นัทธีต้องการตรวจดีเอ็นเอลูกของวารุณี เพื่อยืนยันว่าใช่ลูกของเขาหรือเปล่า แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง !
ไม่ว่าจะเพราะอยากที่จะกดวารุณีอยู่ภายใต้อำนาจ หรือเพราะตำแหน่งคุณภรรยาของนัทธีในอนาคตเธอต้องหยุดยั้งมันเอาไว้
“โรงเรียนอนุบาลซันไชน์……”
เมื่อคิดถึงสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อครู่ พิชญาก็ยิ้มร้าย ในใจมีแผนขึ้นมา
ตอนบ่าย วารุณีทำงานเสร็จก็มองดูเวลา เห็นว่าใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว ก็รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ไปรับลูกที่โรงเรียนอนุบาล
ในตอนนี้โรงเรียนอนุบาลนั้นเลิกเรียนไปนานแล้ว และนักเรียนต่างก็ทยอยกันกลับจนเกือบหมดแล้ว มีเพียงส่วนน้อยที่ยังอยู่ในโรงเรียน รอพ่อแม่เลิกงานแล้วมารับกลับบ้าน
เมื่อวารุณีมาถึง ก็เห็นอารัณกับไอริณสองพี่น้องกำลังเล่นตัวต่อไม้อยู่ในห้องเรียน
ไอริณผู้เป็นน้องเมื่อเห็นเธอ ก็โยนตัวต่อไม้ในมือทิ้งแล้วกระโจนเข้าอ้อมแขนเธอ ร้องไห้แต่ทว่าไร้เสียงสะอื้น
เมื่อวารุณีได้ยินก็ปวดใจยิ่งนัก ลูบหลังลูกสาวเบาๆแล้วพูดปลอบ จากนั้นหันมองไปยังลูกชาย “ลูกรัก น้องเป็นอะไร ?”
อารัณผู้เป็นพี่ถอนหายใจราวกับผู้ใหญ่ พูดอย่างจนใจไปว่า“ โดนฉีดยา”
“ ฉีดยา ?”
“ครับ ทางโรงเรียนได้ตรวจสุขภาพเมื่อตอนบ่าย ทุกคนโดนฉีดยาแล้วก็เจาะเลือด”อารัณถกแขนเสื้อขึ้น ให้วารุณีดูแขนที่มีรอยจุดแดงๆ
วารุณีถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
เธอคิดว่าถูกเด็กคนอื่นรังแกเสียอีก
เธอตกใจกลัวไปหมด !
“พอแล้วนะลูก ไม่ร้องไห้แล้วนะ หม่ามี๊เป่าให้ เป่าแล้วก็ไม่เจ็บแล้วนะ ”วารุณีปลอบลูกสาว
“ได้ หม่ามี๊เป่า”ไอริณร้องไห้กระซิกแล้วยกแขนป้อมๆให้เธอเป่า
วารุณีก้มศีรษะลงแล้วเป่าไปสองสามที แต่ก็ไม่ลืมลูกชายคนโต หันไปกวักมือเรียกลูกชาย “อารัณก็มาด้วย หม่ามี๊เป่าให้ ”
“ผมไม่เจ็บสักหน่อย”แม้อารัณจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ยื่นแขนมาตรงหน้าของวารุณี
วารุณีมองไปที่เขาแวบหนึ่ง ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ไม่รู้ว่าความปากกับใจไม่ตรงกันและหยิ่งทะนงตนแบบนี้ไปเรียนรู้มาจากใครกัน
หลังจากที่เป่ารอยเข็มฉีดยาบนแขนของเด็กทั้งสองคนแล้ว วารุณีก็พาเด็กทั้งสองคนออกจากโรงเรียนอนุบาล
ด้านนอกของโรงเรียนอนุบาลมีรถคันหนึ่งที่ไม่โดดเด่นเท่าไร ชายคนหนึ่งมองดูทิศทางที่สามแม่ลูกเดินไป หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรออก “ท่านประธานครับ เด็กสองคนนั้นถูกคนเป็นแม่มารับกลับไปแล้วครับ ”
“อืม”นัทธีตอบกลับด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง จากนั้นก็วางสายไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ถามว่าแม่ของเด็กสองคนนั้นเป็นใคร
ที่เขาสนใจ มีเพียงเด็กสองคนนั้นเท่านั้น ส่วนแม่ของเด็กนั้น เขาแทบไม่สนใจเลย
“ท่านประธานครับ ผลตรวจออกมาแล้วครับ”ในตอนนี้เอง มารุตได้ถือซองใส่เอกสารเดินเข้ามาในห้องทำงาน
นัทธีหรี่ตาลง “เป็นยังไง?”
มารุตส่ายหน้า แล้วยื่นซองเอกสารนั้นให้กับเขา “พวกเขาไม่ใช่ลูกของคุณครับ”