“คุณกำลังพูดอะไรน่ะ?” พิชญามีท่าทีเหมือนไม่เข้าใจ
วารุณีหรี่ตาลงมอง “ฉันพูดอะไรอยู่คุณก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจดี ถึงเรื่องนี้พี่บุษบาจะเป็นคนทำ แต่คนบงการนั้นก็คือคุณ คุณเป็นคนชี้นำพี่บุษบา”
เมื่อวานซืนหลังจากที่นัทธีเดินตรวจแผนกออกแบบแล้ว พิชญาก็กระแอมไปทางเธอ
ตอนนั้นเธอไม่เข้าใจท่าทีนั้น จนได้มาดูกล้องวงจรปิดเมื่อวาน เธอถึงจะเข้าใจว่าพิชญากำลังเรียกพี่บุษบาให้ออกไป
น่าจะเป็นตอนนั้น ที่พิชญาให้พี่บุษบามาลงมือกับแบบร่างของเธอ
“คุณบอกว่าฉันชี้แนะให้เธอทำงั้นเหรอ?คุณมีหลักฐานอะไร?” พิชญาทำเหมือนได้ฟังเรื่องตลกขบขัน ก่อนจะกอดอกพลางหัวเราะออกมา
วารุณีทัดผมที่หล่นลงมา จากนั้นก็พูดด้วยเสียเย็นชา “ฉันไม่มีหลักฐานจริงๆ เพราะฉะนั้นเมื่อครู่ที่คุณส่งสายตาให้พี่บุษบาน่ะ ฉันไม่ได้เปิดโปงคุณเลยนะ”
พิชญาซ่อนเอาไว้ได้ดี เลยไม่ลงมือเองเลยแม้แต่น้อย
นอกจากพี่บุษบาจะยอมรับด้วยตัวเอง แต่เมื่อพี่บุษบาได้ยินการลงโทษแบบนั้น เลยไม่ได้พูดเรื่องพิชญาไป ในสถานการณ์แบบนี้มีสองแบบ ถ้าไม่ใช่เอาประโยชน์ของพิชญามา ก็คือการถูกข่มขู่แล้วล่ะ
“ที่แท้คุณก็ไม่มีหลักฐาน ในเมื่อไม่มีหลักฐาน งั้นคุณก็ใส่ร้ายน่ะสิ มันคือการโจมตีใส่ร้ายกันชัดๆ เลยนะ ฉันสามารถฟ้องคุณได้เลยนะ วารุณี!” พิชญายิ้มขึ้นด้วยความร้ายกาจ
วารุณีมองเธอด้วยความไม่เกรงกลัว “ผู้จัดการพิชญาอยากจะฟ้องฉัน โทรแจ้งความเลย พอดีว่าพวกเราคงจะได้เปิดการดวลวาทะกันนะ เชิญพี่บุษบาไปด้วยสิ จากนั้นก็ถามพี่บุษบาในศาล ว่าได้รับการชี้นำจากคุณหรือเปล่า ผู้จัดการพิชญาคิดอย่างไร?”
พิชญาอารมณ์นิ่งไป เพราะคิดไม่ถึงเลยว่าเธออยากจะให้แจ้งความ
ในตอนนั้น พิชญาไม่มีทางลงดีๆแล้วล่ะ
วารุณีทำเหมือนไม่เห็นท่าทีหนักใจของเธอ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้น: “ว่ากันตามตรง ตอนที่ฉันเห็นว่าโครงร่างมันหายไป ฉันก็ควรแจ้งความ แต่ฉันไม่ทำแบบนั้น เพราะการแจ้งความจะทำให้บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปเสื่อมเสียได้ ถ้าผู้จัดการพิชญาแจ้งความคนที่ทำให้เสื่อมเสียก็ไม่ใช่ฉัน ดังนั้น……”
“ไปไกลๆ !” พิชญาชี้ไปทางประตู พลางตะโกนด้วยสีหน้าจริงจัง
จะให้วารุณีอยู่ที่นี่ต่อไป เธอจะต้องโกรธจนตายแน่นอน
เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวารุณีที่เคยเป็นคนแกล้งง่ายๆ เมื่อก่อน มาวันนี้กลับเปลี่ยนเป็นคนที่แตะต้องไม่ได้แล้ว
วารุณียิ้มขึ้นมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจความโกรธของพิชญา “ดูแล้วผู้จัดการพิชญาคงจะไม่ฟ้องฉันแล้ว ก็ได้ งั้นฉันไปก่อนนะ”
พูดไป เธอก็หันตัวเดินออกไป
หลังจากที่เดินออกจากห้องทำงานของพิชญา วารุณีก็หยุดเดิน ก่อนจะเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า หน้าจอโทรศัพท์ก็เปิดขึ้น แล้วก็กำลังเปิดหน้าจอที่อัดเสียงอยู่
ตอนแรกเธอจะจับผิดที่พิชญาชี้แนะพี่บุษบา แต่คิดไม่ถึงว่าพิชญาจะรอบคอบกว่าที่เธอคิด เธอเลยเก็บเสียงอะไรมาไม่ได้เลย
นอกจากนี้ตามที่เธอรู้จักพิชญา จะต้องมาทำอะไรกับเธออีกแน่นอน เธอจะต้องระวังตัวสักหน่อยแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ วารุณีก็กำหมัดแน่นเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วก็ปล่อยมือออกก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องทำงาน
หลังจากนั้นสามวัน
วารุณีเอารูปแบบโครงร่างที่วาดใหม่ไปที่ห้องทำงานของนัทธี
นัทธีดูเสร็จ ก็เปิดการประชุมระดับสูงอีกครั้งในทันที
ครั้งนี้ ท่ามกลางการยอมรับของเหล่าผู้บริหารระดับสูง เธอทำโครงการ ‘Bath fire rebirth’ ได้สำเร็จจนได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าของฝ่ายออกแบบ
พิชญาที่อยู่ในห้องประชุมด้วยก็โกรธจนตาแดง แต่กลับหยุดยั้งอะไรไม่ได้ เลยทำได้เพียงมองวารุณีรับคำชื่นชมจากผู้บริหารระดับสูง
วารุณีรู้สึกถึงความอิจฉาของพิชญาได้ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ ก่อนจะอธิบายการออกแบบของตัวเองอย่างค่อยๆ
เพียงไม่นาน การประชุมก็จบลง ก่อนที่ทุกคนจะค่อยๆ เดินจากไป
พิชญาลุกขึ้นมา ก่อนจะเดินมาหานัทธี แล้วก็เกาะแขนเขา “นัทธี คืนนี้ไปกินข้าวกับฉันได้ไหม?พ่อฉันไม่ได้เจอคุณนานแล้ว”
เธอตั้งใจเอา ‘พ่อฉัน’ มากระแทกน้ำเสียง ก่อนจะส่งสายตาให้วารุณี ก็เห็นท่าทีของวารุณีที่กำลังจัดแจงแบบร่างชะงักไป ในใจก็เต็มไปด้วยความพอใจ
ก่อนหน้านี้ วารุณีเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลศรีสุขคํา เธอเป็นเพียงลูกสาวนอกสมรส
วารุณีสามารถเรียกว่าพ่อได้เต็มปาก แต่เธอทำได้เพียงแอบเรียกเบาๆ
แต่ตอนนี้ วารุณีไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของตระกูลศรีสุขคําแล้ว เลยไม่สามารถเรียกว่าพ่อได้ แถมยังไม่สามารถพูดถึงความสัมพันธ์เกี่ยวกับตระกูลศรีสุขคําได้ เธอสุขใจเป็นอย่างมาก!
ท่าทีของพิชญา รวมไปถึงในใจเธอคิดอะไรอยู่นั้น นัทธีสามารถมองออกได้หมด เลยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ไม่ล่ะ คืนนี้ฉันมีธุระ”
เขารีบดึงแขนออก
พิชญาคว้าน้ำเหลว เพราะถูกปฏิเสธ หน้าแตกสลายไปในพริบตา “มีธุระอะไรเหรอ?รีบมากเลยเหรอ?ถ้าไม่รีบก็ไปที่บ้านของฉันก่อนก็ได้ คุณป้าทำกับข้าวเอาไว้เต็มเลย”
“วันครบรอบของคุณปู่ คุณว่ารีบไหมล่ะ?” นัทธีมองเธอเบาๆ
พิชญาอ้าปาก พูดอะไรไม่ออก ในใจก็แอบเสียใจกับขยานีเล็กน้อย
คนโง่นั่น เลือกวันไหนไม่เลือก ดันมาอยากให้นัทธีไปกินข้าวในวันครบรอบของคุณปู่บรรพต นี่มันไม่ได้ทำให้เธอถูกนัทธีด่าเหรอไง!
น่าโมโหเสียจริงๆ
ท่าทีพิชญาที่ไม่พอใจ ทำให้วารุณีอดขำไม่ได้ ขนาดเมื่อครู่ได้ยินพ่อของนางเอก ความสับสนในใจก็หายไปในทันที
นัทธีมองวารุณียิ้มเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ ประกายระยิบระยับในดวงตาก็หายไป แต่เพียงไม่นาน ก็กลับมามีความเศร้าใจเหมือนเดิม “แบบร่างสุดท้ายจะเสร็จเมื่อไหร่ ฉันให้มารุตช่วยจัดนางแบบให้”
“ประธานนัทธี ไม่รีบเอานางแบบหรอก หามาเมื่อไหร่ก็ได้ แบบร่างฉันเองก็ทำใกล้เสร็จแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือวัสดุผ้า” วารุณีจัดแจงแบบร่างเสร็จก็ลุกขึ้นมา
“เกิดปัญหาอะไรกับผ้าเหรอ?” นัทธีมีแววตาจริงจัง
“ปัญหาใหญ่นิดหน่อยน่ะ” วารุณีกดคอมพิวเตอร์ตรงหน้า จากนั้นก็หันหน้าจอไปหาเขา “ชุดแรกมีผ้าชั้นดีอยู่ในโกดังของบริษัท ส่วนอันที่สองเป็นแบบและจำนวนของผ้าที่Bath fire rebirthต้องการใช้ แต่พวกผ้าหลากหลายชนิดนี้ ไม่มีอยู่ในโกดังถึงสองส่วนสาม ต้องซื้อเพิ่มน่ะ”
นัทธีตั้งใจมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ “ซื้อเพิ่มนั้นไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ฉันว่าด้านหลังของแบบ ที่มีสัญลักษณ์สีอยู่นั้น มันหมายความว่าอย่างไรเหรอ?ต้องย้อมใหม่หรือเปล่า?”
“ใช่ เพราะมีสีมากมาย แต่จะเอาสีที่พวกเราต้องการทั้งหมดไม่ได้ ดังนั้นในตอนนี้ พวกเราเลยจะซื้อผ้าขาว แล้วมาย้อมด้วยตัวเอง” วารุณีพยักหน้าตอบ
พิชญายืนอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นสองคนนั้นเข้าใกล้ ก็เหมือนกับไม่มีใครจะมาแทรกกลางพวกเขาได้ ในใจก็รู้สึกถึงอันตรายขึ้นมา
แต่ความอันตรายนั้นมันเตือนเธอ ว่าไม่สามารถไล่วารุณีออกไปแล้วจะปลอดภัย ยังต้องคิดหาวิธีต่อไป เพื่อทำให้เกิดอะไรกับนัทธีสักหน่อย จะให้ดีก็ต้องทำก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป!
ถึงตอนนั้น ตำแหน่งคู่หมั้นของเธอ ก็จะมั่นคง และก็ไม่ต้องรู้สึกแย่เหมือนตอนนี้ ที่จะต้องมากังวลว่าจะมีคนมาแย่งไป
คิดไป พิชญาก็กัดฟัน จากนั้นก็หันตัวเดินออกจากห้องประชุมไป
การออกไปของเธอ วารุณีกับนัทธีเองก็เห็น แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้สนใจ เลยคุยกันเรื่องผ้าต่อไป
“ฉันว่าข้างบนนี้ ต้องย้อมผ้าใหม่อีกมาก” นัทธีใช้นิ้วยาวๆ ชี้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
วารุณีตอบเล็กน้อย “ใช่เลย ดังนั้นประธานนัทธี ฉันต้องการห้องย้อมสี”
“คุณย้อมเป็นไหม?” นัทธียังไม่ต้องตอบทันที แต่ถามกลับมา