นัทธีค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก็ส่องประกายเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งที่พื้น
หลังจากที่เห็นว่าคนนี้คือวารุณี เขาก็ไม่มีท่าทีระแวงอีกแล้ว “คุณเองเหรอ?”
“ฉันเอง” วารุณีพยุงเขาขึ้นมา “ประธานนัทธีมานอนเมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?”
ชั้นนี้มีที่พักเพียงสองห้อง หนึ่งในนั้นเป็นบ้านของเธอกับเด็กทั้งสองคน ส่วนอีกห้องไม่มีใครอยู่
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอไม่ได้นอน เขาคงจะนอนตรงนั้นทั้งคืนเลยล่ะ
“ฉันพักที่นี่” นัทธีสะบัดหัวที่มึนงง ก่อนจะตอบด้วยเสียงแหบแห้ง
วารุณีอึ้งไป “พักที่นี่งั้นเหรอ?อีกฝั่งน่ะเหรอ?”
เธอชี้ไปที่ประตูทางซ้านมือด้วยความไม่มั่นใจ
นัทธีตอบ ก่อนจะหยิบบัตรเปิดประตูยื่นให้เธอ “ช่วยหน่อยนะ ฉันมึนหัว”
“โอเค” จากนั้นก็กดความตกใจลง แล้ววารุณีก็รีบรับบัตรเปิดประตูมา
ติ๊ง ประตูเปิดออกแล้ว!
ไฟในห้องพักสว่างขึ้น
วารุณีพยุงนัทธีเข้าไป ก่อนจะวางเขาลงบนโซฟา จากนั้นก็ลุกไปมองห้องพักของเขาสักหน่อย
คอนโดนี้มันใหญ่กว่าของเธอมาก แต่ก็ตกแต่งง่ายๆ นอกจากเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นแล้ว ก็ไม่มีอะไรเลย มันว่างเปล่าเป็นอย่างมาก
“คอนโดนี้ประธานนัทธีเพิ่งซื้อเหรอ?” วารุณีผลุบสายตาลงพลางถาม
“เปล่า” นัทธีนวดขมับ “ซื้อเอาไว้นานแล้ว แต่ไม่ได้มาอยู่เลย”
“คืนนี้ประธานนัทธีมาที่นี่ได้อย่างไร?” วารุณีสงสัยมาก
นัทธีหยุดมือเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าลง พลางปกปิดความเศร้าในแววตาลง
คำถามของเธอนั้น อันที่จริงเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม เขามีอสังหาริมทรัพย์มากมาย จะไปพักที่ไหนก็ได้
แต่ตอนที่เขาตัดสินใจนั้น ในหัวกลับมีแต่ใบหน้าของสามคนแม่ลูก จากนั้นเขาเลยหักรถกลับมา
เมื่อเห็นนัทธีไม่ตอบสักที วารุณีก็คิดว่าตัวเองไม่ควรถาม เลยกระแอมเพื่อเปลี่ยนเรื่องพูด “คือว่า ประธานนัทธี ฉันช่วยทำซุปสร่างเมาให้คุณดีกว่า”
เมื่อพูดจบ เธอก็ออกไปจากห้องพักของเขา
แต่เมื่อเธอทำซุปเสร็จแล้วกลับมา นัทธีก็นอนหลับอยู่บนโซฟาแล้ว
ดูเหมือนจะไม่ต้องการแล้วล่ะ!
วารุณีก้มหน้ามองซุปสร่างเมาในมือ จากนั้น เธอก็เอาซุปสร่างเมาวางบนโต๊ะน้ำชา แล้วก็ไปหาผ้าห่มในห้องมาห่มให้นัทธี ก่อนจะเตรียมกลับไปนอน
แต่เพียงแค่หันไป ก็ถูกดึงมือเอาไว้
วารุณีคิดว่านัทธีตื่นแล้ว เลยรีบหันกลับมามอง ก็พบว่าเขาไม่ได้ตื่น แต่น่าจะฝันอะไรสักอย่าง เลยดึงมือเธอเอาไว้
“ประธานนัทธี ปล่อยได้ไหม?” วารุณีเอนตัวลง ก่อนจะบอกข้างหูของนัทธี
นัทธียังไม่ทันทำอะไร ไม่เหมือนตอนที่เรียกก็ตื่น
วารุณีทำอะไรไม่ได้ เลยดึงมือของนัทธีออก พลางอยากจะดึงมือออกมาเอง
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ยิ่งเธอใช้แรงมากเท่าไหร่ นัทธีก็ยิ่งจับแรงขึ้น
สุดท้ายวารุณีก็ยอมแพ้ แล้วก็มองผู้ชายที่อยู่บนโซฟาด้วยความปวดหัวเล็กน้อย
นี่จะไม่ให้เธอกลับไปจริงๆ ใช่ไหม?
ทันใดนั้น โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น
วารุณีถอนหายใจยาวๆ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อเห็นหน้าจอ เธอก็ยิ้มเล็กน้อย “แม่”
“วารุณี ลูกนอนแล้วเหรอ?” ปลายสายนั้น มีเสียงอ่อนหวานของผู้หญิงดังขึ้นมา
วารุณีหันไปมองนัทธีเล็กน้อย “ยังเลย”
พอถูกเขาดึงเอาไว้ เธอเลยกลับบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงการจะไปนอนเลย
“ยังไม่นอนก็ดี กลัวว่าจะไปปลุกลูกตื่นน่ะ” วรยายิ้มขึ้นเล็กน้อย
วารุณีนั่งลงข้างๆ นัทธี “แม่ ดึกขนาดนี้แล้วโทรมาหาหนูทำไมล่ะ?”
“ก็ไม่มีอะไร แค่อยากบอกคุณ ว่าฉันจะกลับประเทศเดือนหน้านะ จะไปไหว้ตายายของลูกสักหน่อย” วรยาตอบ
วารุณีเข้าใจ “ได้สิ เดี๋ยวหนูไปรับแม่ที่สนามบิน”
“โอเค” วรยาพยักหน้า “งั้นลูกนอนเถอะ แม่ไม่รบกวนแล้ว”
“อือ” วารุณีตอบรับ
เมื่อคุยจบ วารุณีก็เก็บโทรศัพท์ จากนั้นก็มองผู้ชายคนนี้ด้วยความทำอะไรไม่ได้ พลางลังเลว่าจะปลุกเขาดีไหม
ในตอนนี้เอง ริมฝีปากบางๆ ของนัทธีก็ขยับเล็กน้อย เหมือนกำลังพูดอะไรอยู่
วารุณีได้ยินไม่ชัด เลยเข้าไปใกล้ปากเขา “ประธานนัทธี คุณกำลังพูดอะไรเหรอ?”
“แม่……” นัทธีจับมือของวารุณีแรงขึ้น ก่อนจะพูดด้วยความขอร้อง “อย่าไปเลย ฉันจะเชื่อฟังคุณปู่ คุณอย่าไปเลย……”
แม่เหรอ?
วารุณีอึ้งไป ทำไมคิดไม่ถึงเลย ว่านัทธีที่นอนอยู่จะเรียกแม่ขึ้นมา
เมื่อพูดขึ้น พ่อแม่ของนัทธีเหมือนจะเสียตั้งแต่เขาเด็กๆ แล้ว
แต่เสียได้อย่างไรนั้นไม่มีใครรู้ ตระกูลไชยรัตน์เองก็ไม่ได้เปิดเผยออกมา มันเลยเป็นความลับต่อไปเรื่อยๆ
“โอเค ฉันไม่ไปๆ” วารุณีตบมือนัทธีเบาๆ เหมือนกล่อมเด็ก
เธอเองก็เป็นแม่คน เมื่อเห็นเขาบ่นถึงแม่แบบนี้ เธอเลยหวั่นใจ เลยลบความคิดที่อยากจะปลุกเขาให้ตื่น
หรือบางที ในตอนนี้เขาอาจจะกำลังฝันว่ากำลังเจอคุณแม่อยู่ก็ได้
อาจจะเพราะได้ยินเสียงของวารุณี นัทธีเลยค่อยๆ ใจเย็นลง แต่มือที่จับวารุณีนั้น ก็ยังไม่ปล่อยเหมือนเดิม
แถมเมื่อเธอขยับเล็กน้อย เขาก็รีบกำมือแน่น เหมือนกลัวว่าเธอจะจากไป
วารุณีเองก็ทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น แต่หาวมาเนิ่นนาน ก็รอจนนัทธีปล่อยมือไม่ได้ สุดท้ายเลยทนไม่ไหว ก่อนจะนอนฟุบอยู่ข้างโซฟานั้น
เมื่อตื่นมาในวันที่สอง วารุณีกลับพบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของนัทธี เลยรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
แต่เพียงไม่นาน เธอก็สงบสติลง ก่อนจะพยายามลุกออกจากอ้อมกอดของเขา และพยายามไม่ให้เกิดเสียงเลย เพราะกลัวว่าเขาจะตื่น และอธิบายอะไรไม่ถูก
“เห้อ……” ในที่สุดก็ลงมาที่พื้นได้ วารุณีตบหน้าอกตัวเองพลางถอนหายใจ ก่อนจะใส่รองเท้าแตะแล้วเดินออกไป
แต่เธอเดินจากไปได้ไม่นาน นัทธีก็ตื่นขึ้น
เขาพยุงตัวขึ้นมาด้วยความงัวเงียไม่หาย เมื่อเห็นผ้าห่มสีชมพูที่กองอยู่กับพื้น แววตาก็ล้ำลึกขึ้นมาทันที
แต่เพียงไม่นาน เขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะเก็บผ้าห่มขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
เมื่อเขาอาบน้ำเสร็จ ก็เห็นว่าโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะน้ำชานั้นมันสั่นไม่หยุด
นัทธีเช็ดผม พลางหยิบโทรศัพท์มาแนบหู “มีอะไรเหรอ?”
“ประธาน คุณพูดถูก หลุมศพของคุณปู่บรรพตน่ะ นิรุตติ์ต้องการมันจริงๆ ด้วย” มารุตรายงาน
นัทธีหรี่ตาลง “เพื่ออะไรงั้นเหรอ?”
“จากที่คนที่ฉันให้ไปสืบรายงานมานั้น ใต้ดินน่าจะมีแร่คริสทัลอยู่น่ะ”
“เหมืองแร่คริสทัลงั้นเหรอ?” นัทธีหยุดการกระทำลง จากนั้นก็หัวเราะเสียงเย็นชา “แบบนี้นี่เอง คุณจัดคนไปจับตาดูพวกเขาให้ดี ถ้าพวกเขากล้าคิดที่จะมาทำอะไรกับหลุมศพของปู่อีก ก็ตัดมือได้เลย!”
เขาไม่มีทางยอมให้ใครมาแตะต้องหลุมศพของปู่แน่นอน!
“เข้าใจแล้ว!” มารุตยืดตัวขึ้น
นัทธีวางผ้าขนหนูในมือลง “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“มีอีกเรื่อง แต่ฉันไม่กล้ามั่นใจ” มารุตพูดขึ้นอย่างสงสัย “คนของพวกเราที่จับตามองนิรุตติ์อยู่บอก ว่าช่วงนี้ติดตามนิรุตติ์ไม่ได้ ฉันเดาว่าเขาอาจจะกลับประเทศไปแล้ว แต่ซ่อนตัวอยู่”
“งั้นก็ไปหาออกมาให้ได้!” นัทธีมีประกายออกมาจากแววตา
“ได้!” มารุตตอบรับ
เมื่อคุยเสร็จ นัทธีก็เอาผ้าห่มบนโซฟาขึ้นมา ก่อนจะเดินไปทางห้องพักตรงข้าม
วารุณีกำลังล้างหน้าให้ไอริณ ก็ได้ยินเสียงกริ่งประตู จากนั้นเลยจะโกนออกจากห้องน้ำไป “อารัณ หม่ามี๊ไปไม่ได้ คุณช่วยไปเปิดประตูให้หน่อย”
“โอเค” อารัณวางรูบิคลงบนโซฟา ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ทางเข้าหน้าประตู
ประตูเปิดออก เขาเงยหน้ามองผู้ชายด้านนอก ก่อนจะอ้าปากค้างตกใจเป็นอย่างมาก “คุณอานัทธี คุณอาเป็นอะไรเหรอ?”