ดูเหมือนว่าเธอ ไม่เคยบอกขนาดตัวของตนเอง
หรือว่า เขาเดาด้วยสายตา?
เมื่อคิดแบบนี้ หน้าของวารุณีก็แดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิม ภายในใจของเธอมีความรู้สึกดีเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรขนาดตัวของตนเอง ถูกผู้ชายคนหนึ่งรู้อย่างชัดเจน ย่อมต้องประหม่าไม่มากก็น้อย
แต่เธอก็ไม่ได้กระมิดกระเมี้ยนนานจนเกินไป เมื่อเห็นว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว วารุณีรีบวางชุดราตรีลงแล้วเดินไปอาบน้ำ เตรียมที่จะไปร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้
หลังจากเธออาบน้ำและแต่งหน้าเสร็จ ฟ้ามืดแล้ว
วารุณีคว้ากระเป๋าถือ ใส่รองเท้าส้นสูงเดินออกมาจากห้องสูท เดินไปที่ห้องของนัทธี ขณะที่เธอกำลังจะเคาะประตู จู่ๆ ประตูก็เปิดออก
นัทธีสวมชุดสูทที่ดูทางการกว่าปกติ ปรากฏตัวตรงหน้าเธอ
“ประธานนัทธี” วารุณีร้องเรียกเขา
นัทธีมองวารุณีที่แต่งหน้าได้อย่างสวยงาม หลังจากนัยน์ตาของเขาฉายแสงตกตะลึง แววตาของเขาก็หม่นหมองลง “ชุดนี้เหมาะกับคุณมาก!”
ได้ยินคำชมของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว วารุณีตกใจเล็กน้อย และรู้สึกเขินอาย แต่มุมปากของเธอกลับยกขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ภายในใจของเธอรู้สึกชุ่มฉ่ำ “จริงเหรอคะ?”
“อื้ม” นัทธีพยักหน้าเบาๆ ถือว่าตอบ
ตอนเลือกชุดราตรี เขามองปราดเดียวก็เลือกชุดนี้ รู้สึกว่าเหมาะกับวารุณีมาก
ตอนนี้เป็นไปตามที่เขาคิดจริงๆ
วารุณีจับติ่งหู “คืนนี้ประธานนัทธีก็หล่อมากเหมือนกันค่ะ!”
เธอไม่ได้ย้อนชื่นชมเขาเพราะความเกรงใจ เขาหน้าตาดีอยู่แล้ว แต่งเนื้อแต่งตัวนิดหน่อย ก็ยิ่งหล่ออย่างไร้ที่ติ รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยออร่าสูงสง่า
อารัณโตขึ้น ก็คงจะไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่
คิดถึงตรงนี้ วารุณีอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มคาดหวัง
ตอนแรกนัทธีอารมณ์ดีเพราะคำพูดของเธอ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ รวมถึงแววตาของเธอตอนที่มองเขา บรรยากาศรอบตัวก็เย็นยะเยือกทันที
เธอกำลังมองใครผ่านเขา?
นิรุตติ์เหรอ?
สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของนัทธี วารุณีดึงสติกลับมาอย่างมีไหวพริบ ถามด้วยความไม่เข้าใจ “ประธานนัทธี คุณเป็นอะไรไปคะ?”
“ผมไม่ได้เป็นอะไร” นัทธีเดินผ่านเธอด้วยสีหน้าเยือกเย็น เดินไปที่ลิฟต์
วารุณีมองดูแผ่นหลังของเขา เอียงศีรษะด้วยความงุนงง
เขาโมโหอะไรเนี่ย?
เหมือนเธอก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขาไม่พอใจหนิ?
ไม่เข้าใจ วารุณีถอนหายใจด้วยความจนปัญญา แล้ววิ่งตามไป
งานเลี้ยงจัดขึ้นที่แฟชั่นฮอลล์ คนที่มาร่วมงานไม่ได้มีแค่นักวิจารณ์ด้านแฟชั่นที่มีชื่อเสียง แต่ยังมีนักออกแบบมากมาย
นอกจากนี้นักออกแบบบางคน ยังนำผลงานของตนมาด้วย กำลังแสดงผลงานในงานเลี้ยง
วารุณีมองผลงานออกแบบเหล่านั้นด้วยความอิจฉา อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก “รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ฉันเอางานของตัวเองมาด้วยก็ดี”
นัทธีได้ยินคำพูดนี้ หันไปมองเธอ “แฟชั่นโชว์‘Bath fire rebirth’ เป็นเวทีที่จะทำให้คุณมีชื่อเสียง ที่นี่เล็กเกินไป ไม่มีความจำเป็น”
“ประธานนัทธีเชื่อใจในตัวฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” วารุณีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ผมเชื่อใจในผลงานของคุณ” นัทธีหยิบไวน์สองแก้ว จากถาดของบริกรที่เดินผ่าน แล้วยื่นอีกแก้วหนึ่งให้เธอ “ไปกันเถอะ ไปเชิญนักวิจารณ์”
“ค่ะ” วารุณีพยักหน้า คล้องแขนเขา เดินไปหานักวิจารณ์ที่มีชื่อเสียงพร้อมกับเขา
เดินรอบหนึ่ง ทั้งสองเชิญนักวิจารณ์ระดับโลกที่มีชื่อเสียงได้ประมาณสิบกว่าคน
ตัวเลขนี้ นักวิจารณ์มีมากเกินกว่าที่แฟชั่นโชว์ทั่วไปต้องการแล้ว
ดังนั้นเวลาที่เหลือต่อจากนี้ ทั้งสองจึงไม่ได้เชิญใครอีก แต่ถือแก้วไวน์เตรียมจะไปพัก
แต่ในเวลานี้เอง จู่ๆ แผ่นดินก็ไหวอย่างแรง
วารุณีใส่รองเท้าส้นสูงทำให้ยืนไม่มั่นคง กำลังจะล้มลงไปบนพื้น
ม่านตาของนัทธีหดเล็ก ทิ้งแก้วไวน์ในมืออย่างไม่แม้แต่จะคิด ยื่นมือไปจับมือของเธอ ใช้แรงเล็กน้อย ดึงตัวเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น แผ่นดินไหวเหรอคะ?” มองดูโต๊ะเก้าอี้รอบๆ ที่เคลื่อนไหวไม่หยุด รองถึงเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้น และเสียงของตกแตกบนพื้น วารุณีตกใจจนหน้าซีดขาว
ถึงแม้นัทธีจะไม่อาการหนักเท่าเธอ แต่สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึม “อื้ม ประเทศนี้ชอบเกิดแผ่นดินไหวอยู่แล้ว เกิดแผ่นดินไหวบ่อย แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเรามาถึงก็จะได้เจอกับแผ่นดินไหวเลย”
“แล้วตอนนี้พวกเราควรทำยังไงคะ? ตึกจะถล่มรึเปล่า?” เสียงของวารุณีสั่นเทาเล็กน้อย
เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว
“อาคารสร้างด้วยความมั่นคง ไม่ถล่มง่ายๆ ไหวสักพักก็ไม่เป็นอะไรแล้ว!” มือข้างหนึ่งของนัทธีโอบเอวของเธอเอาไว้ อีกข้างหนึ่งจับโต๊ะ ตอบเธอพร้อมกับพยายามยืนให้มั่นคง
ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ น้ำเสียงนิ่งสงบมาก เหมือนว่าแผ่นดินไหวเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย อย่างแปลกพิลึก ความกลัวที่อยู่ภายในใจของวารุณีหายไปมาก
เธอซบอยู่ในอ้อมกอดของเขาเงียบๆ ดมกลิ่นมิ้นต์หอมอ่อนๆ จากบนตัวเขา อดไม่ได้ที่จะหลับตาลง
ก่อนหน้านี้เธอคิดมาโดยตลอด ทำไมตัวของเขาถึงมีกลิ่นหอมที่คุ้นเคย
ที่แท้เป็นเพราะคืนวันนั้นเมื่อห้าปีก่อน เธอเคยได้กลิ่นนี้
แผ่นดินยังคงไหวไม่หยุด ไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไหร่
นัทธีขมวดคิ้วเป็นปมมองดูรอบๆ อยากจะหาทางโล่งๆ แล้วพาวารุณีออกไป
ในเวลานี้เอง เขาได้ยินเสียงแตกหักดังขึ้นเหนือศีรษะ
นัทธีเงยหน้าขึ้น มองเพดาน โคมไฟคริสทัลขนาดใหญ่ สั่นเพราะแผ่นดินไหว ตอนนี้เหลือเพียงสายไฟเส้นเล็กๆ เท่านั้นที่ตรึงโคมไฟเอาไว้
สายไฟเหล่านั้นเป็นเส้นตรง เห็นได้ชัดว่าการที่จะให้รับน้ำหนักโคมไฟคริสทัลขนาดใหญ่แบบนี้ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เป็นจริงตามที่คาด วินาทีต่อมา สายไฟเหล่านั้นเกิดเสียงดังขึ้น ฉีกขาดต่อๆ กัน โคมไฟคริสทัลขนาดใหญ่ตกลงมา
ม่านตาของนัทธีหดเล็ก รีบผลักวารุณีออกไป
วารุณีไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตัวของเธอก็ล้มลงบนพื้นที่อยู่ไม่ไกลแล้ว เจ็บจนเธอสูดลมหายใจเข้า
ทางด้านนัทธีเพราะผลักเธอ ทำให้เขาหลบไม่ทัน ถูกโคมไฟคริสทัลตกลงมากระแทก
ภาพนี้ ทำให้วารุณีตกใจอย่างมาก สมองของเธอว่างเปล่า นานครู่หนึ่งกว่าเธอจะดึงสติกลับมา รีบคลานไปหานัทธี ร้องตะโกนด้วยดวงตาทั้งสองข้างที่แดงก่ำ “ประธานนัทธี ประธานนัทธี?”
นัทธีไม่ตอบ เขาอยู่ใต้โคมไฟคริสทัล หลับตาแน่น สีหน้าซีดขาว ร่างกายสั่นเทา เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส
วารุณีรีบถอดรองเท้าส้นสูงแล้วยืนขึ้น ยกโคมไฟคริสทัลที่อยู่บนหลังของเขา อยากจะช่วยเขาออกมา
แต่โคมไฟคริสทัลใหญ่มาก เธอยกไม่ขึ้น ในทางกลับกันมือของเธอถูกบาดจนเป็นแผล
เธอร้องไห้ด้วยความเป็นกังวล “ประธานนัทธีอดทนเอาไว้นะคะ ฉันจะไปตามคนมาช่วย!”
ขณะพูด เธอปล่อยโคมไฟคริสตัลแล้วกำลังจะไป
แต่วินาทีที่เธอหมุนตัวไปด้านหลัง นัทธีกระอักเลือด หมดสติไปแล้ว
ตอนที่เขาตื่นมา วันเวลาล่วงเลยไปกว่าสองวัน
องดูห้องที่ขาวสะอาด เขารู้แล้วว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน กำลังจะดันตัวขึ้นนั่ง แต่แค่ขยับ ก็โดนแผนบนตัว ทำให้เขาเจ็บจนอุทาน
วารุณีได้ยินเสียง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความดีใจ รีบวางเหยือกน้ำในมือลง มาที่เตียงของเขา “ประธานนัทธี คุณตื่นแล้ว”
มารุตที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงระเบียงรีบวางสายแล้วเดินเข้ามา ร้องเรียกด้วยความดีใจ “ท่านประธาน”
นัทธีขยับคอแล้วมองทั้งสอง ขานอื้มด้วยเสียงที่อิดโรยเล็กน้อย “ฉันเป็นอะไรไป?”
วารุณีกำลังจะตอบ มารุตรีบพูดขึ้นก่อน “แผ่นหลังของท่านประธานได้รับการกระแทกอย่างแรง ทำให้อวัยวะภายในบาดเจ็บ นอกเหนือจากนี้ กระดูกซี่โครงหักสองท่าน หนึ่งในนั้นเกือบแทงเข้าไปที่หัวใจ!
พูดถึงตรงนี้ เขาหันไปมองวารุณีด้วยความโมโห
วารุณีรู้ว่านัทธีบาดเจ็บสาหัส เพราะช่วยเธอ ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษนะคะประธานนัทธี……”
“ตอนนี้พูดขอโทษจะมีประโยชน์อะไร?” มารุตตำหนิเสียงเยือกเย็น “ยังไม่รีบตามหมอมาอีก?”
“ค่ะ ฉันรีบไปเดี๋ยวนี้!”วารุณีวิ่งออกไปจากห้องผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
หลังจากเธอไป มารุตหยิบสำลีขึ้นมาแล้วชุบน้ำ เช็ดขอบปากนัทธี พร้อมกับบ่น “ท่านประธานครับ เธอเป็นผู้หญิงของคุณนิรุตติ์ ทำไมท่านประธานต้องช่วยเธอด้วย? ท่านประธานรู้ไหมครับ ท่านประธานเกือบเอาชีวิตไม่รอด!”