วารุณีพยักหน้ารับ “ยังจะพูดอีก หม่ามี๊ตกใจแทบแย่ หนูจะกล้ามากเกินไปแล้ว”
อารัณบิดร่างกะเปี๊ยกเล็กน้อย พร้อมหัวเราะอย่างสะใจ “ช่วยไม่ได้ อยากให้พวกเขาได้เห็นดี หนูก็ต้องทำแบบนี้ ใครใช้ให้พวกนั้นรังแกแม่ก่อนล่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น วารุณีรู้สึกซาบซึ้งจับใจ “หนูนี่นะ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจไหม? เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของหม่ามี๊ เด็กตัวเล็กๆ อย่างหนู ขอให้มีความสุขก็พอแล้ว”
“ในเมื่อหม่ามี๊ไม่มีความสุข แล้วหนูจะมีความสุขได้ยังไงกันล่ะ” อารัณส่ายหน้า ด้วยทีท่าที่จริงจัง
ไอรินอมอมยิ้มเอาไว้ในปาก พร้อมพยักหน้าตามด้วยเช่นเดียวกัน “นั่นสิ นั่นสิ”
การปกป้องของเด็กทั้งสอง ทำให้วารุณีรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
เธอรู้สึกขอบคุณนัทธีจริงๆ จากใจ ที่มอบเด็กทั้งสองคนนี้ให้กับเธอ
เมื่อคิดได้อย่างนั้น วารุณีคว้าเด็กทั้งสองเข้ามากอด ใช้หน้าผากถูไถกับแก้มนุ่มนิ่มของทั้งคู่ ทำให้เด็กทั้งสองหัวเราะลั่นอย่างมีความสุข
“หม่ามี๊ มีคนโทรมา” อารัณกล่าวเตือนกะทันหัน
ที่สุดวารุณีปล่อยเด็กทั้งสอง คว้าโทรศัพท์แนบที่ใบหู “คุณแม่คะ”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนของวรยาแล่นเข้ามา “วารุณี ไม่ยุ่งใช่ไหม?”
“เปล่านี่ เพิ่งไปรับเด็กๆ หลังจากเลิกเรียน มานี่เร็วเข้า มาทักทายคุณยายหน่อย” วารุณียื่นโทรศัพท์ให้กับเด็กทั้งสอง
เด็กทั้งสองรวมตัวกัน ประสานเสียงใส่โทรศัพท์เรียกคุณยายอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำให้คุณยายหัวเราะกว้างจนปากฉีกถึงใบหู
หลังจากนั้น วารุณีคว้าเอาโทรศัพท์กลับมา “คุณแม่คะ โทรหาหนูมีอะไรรึเปล่า?”
“อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่เมื่อคืนนี้สุภัทรติดต่อฉันมากะทันหันน่ะ” วรยาหุบรอยยิ้มลง พร้อมกับกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่รังเกียจเล็กน้อย
วารุณีขมวดคิ้วอย่างสงสัย “แม่ แล้วเขาว่ายังไง?”
ห่างหายไปเจ็ดปี สุภัทรติดต่อหามารดาของเธอกะทันหัน ไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน
เป็นไปตามคาด วรยากล่าวอย่างเย็นชา “เขาสั่งให้ฉันพาลูกออกไป อย่าให้ขายขี้หน้าคนอื่นในจังหวัดจันทร์ ที่ไปอ่อยคู่หมั้นของพิชญา”
“แม่คะ หนูไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวของฉันไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน เพราะงั้นฉันก็เลยไม่ได้ตอบอะไรเขา แล้วอีกอย่าง แววตาของคนอย่างสุภัทร หาจะคนดีๆ ให้กับพิชญาได้ที่ไหนกัน” วรยาประเมินค่าของสุภัทรด้วยความต่ำต้อย
เมื่อได้ยินอย่างนั้นวารุณีกระตุกมุมปาก “แม่คะ คราวนี้แม่คาดเดาผิดแล้ว คู่หมั้นของพิชญา คือนัทธี”
วารุณีเสียงต่ำ “วารุณี นัทธีที่แกว่า คือคนของตระกูลไชยรัตน์คนนั้นใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ” วารุณีพยักหน้ารับ
วรยาเด้งกายลุกขึ้นตบโต๊ะเสียงดัง ทำให้ศรัณย์ที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยสะดุ้งโหยง “ทำไมเขาถึงได้กลายเป็นคู่หมั้นของพิชญาไปได้ เขาเป็นคู่หมั้นของเธอนี่นา!”
ประโยคดังกล่าวทำให้วารุณีต้องเม้มริมฝีปากแดงแน่น “แม่คะ หนูอยากจะถามท่านสักหน่อย ทำไมทีแรกคุณปู่บรรพตถึงได้ให้หนูหมั้นกับนัทธี แต่หนูกลับไม่รู้อะไรเลย?”
หากไม่ใช่เพราะการประชุมเมื่อเช้านี้ ที่คุณชลธีพูดออกมา จนถึงตอนนี้เธอก็ยังเหมือนอยู่ในกะลา
เมื่อวรยาได้ยินคำถามของวารุณี เธอนิ่งไปอยู่หลายวินาที ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เรื่องมีอยู่ว่า ตอนคุณปู่บรรพตแกล้มป่วยอยู่ข้างนอกเมื่อนานมาแล้ว ฉันเองที่เป็นคนพาแกไปส่งที่โรงพยาบาล เมื่อแกได้สติ แกเลยให้คำสัตย์กับแม่ ว่าจะให้หนูกับนัทธีหมั้นกัน แต่…..”
“แต่อะไรคะ?” วารุณีกำโทรศัพท์แน่นอย่างไม่รู้ตัว
วรยากล่าวตอบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “เพียงแต่ฉันยังไม่ทันได้บอกแก สุภัทรก็มาหย่ากับฉันเสียก่อน อันที่จริงฉันจะพาหนูสองพี่น้องไปที่ตระกูลไชยรัตน์เพื่อไปหานัทธี แต่ถูกบ้านใหญ่ของตระกูลไชยรัตน์ขัดขวางเอาไว้ บอกว่าไม่มีทางยอมรับในการหมั้นในครั้งนี้ แม่ก็เลยไม่ได้บอกหนู”
“เป็นแบบนี้นี่เอง” วารุณีก้มหน้าลงพร้อมกับพึมพำเสียงแผ่ว ในใจของเธอไม่รู้ว่าผิดหวังหรือรู้สึกยังไงกันแน่ ที่แน่ๆ เธอรู้สึกไม่ดี
เธอไม่เคยคิดมาก่อน ว่าในอดีตเธอและนัทธีจะเป็นคู่หมั้นกัน หากเธอรู้แต่แรก ไม่แน่คนที่อยู่ข้างกายเขาในตอนนี้ อาจไม่ใช่พิชญา แต่ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว นั่นอาจไม่ใช่เรื่องดีอะไร
เพราะในใจนัทธีมีคนที่รักอยู่แล้ว ต่อให้เธอและเขาจะเป็นคู่หมั้นกันก็ไปได้ไม่ไกลอยู่ดี ยังไงซะเขาก็เลือกที่ยกเลิกการหมั้นหมายกับเธอเพราะคนที่เขารัก เพราะงั้นเป็นแบบตอนนี้ดีที่สุดแล้ว เขาคอยปกป้องคนที่เขารัก ส่วนเธอก็คอยดูแลเด็กๆ ทั้งสองของตนเอง โดยที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน
เมื่อคิดได้อย่างนั้น วารุณีหันไปส่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนให้กับเด็กทั้งสอง
แม้ว่าเด็กทั้งสองจะไม่รู้ว่าเธอยิ้มอะไรกันแน่ แต่ก็ยิ้มตอบให้กับเธอด้วยการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
หลังจากนั้น วารุณีเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่บริษัท ศรีสุขคำ เพื่อให้วรยามีความสุขบ้าง
เมื่อวรยาได้ยินเรื่องราว เธอดีใจมากอย่างที่คาดเอาไว้ พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่าเวรกรรมตอบสนองสุภัทร
วารุณีปิดหน้าด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สุดท้ายเธอก็ไม่ได้บอกกับเธอ ว่าเวรกรรมที่ตอบสนองสุภัทรก็คืออารัณ
เวลาผ่านไป หลังจากนั้นหลายวัน
วารุณีได้รับข่าวว่าสามารถรักษาบริษัท ศรีสุขคำ กรุ๊ปเอาไว้ได้แล้ว
ได้ข่าวว่าสุภัทรขายสินทรัพย์ในชื่อของเขาทั้งหมด กับหุ้นส่วนหนึ่ง ถึงได้รวบรวมเงินสดจนเพียงพอที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้น ทำให้บริษัทสามารถเดินหน้าต่อไปได้
ไม่พูดไม่ได้เลย ว่าแผนการนี้สุภัทรกล้าหาญใช้ได้เลย เหมือนกับในอดีตที่เขาขับไล่แม่และเธอสองพี่น้องไม่ผิดเพี้ยน
“คุณวารุณี” เสียงเคาะประตูดังขึ้นกะทันหัน จนหยุดความคิดฟุ้งซ่านของวารุณี “แผนกตัดเย็บบอกว่าเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เรียกให้คุณไปตรวจดูสักหน่อย หากมีปัญหา พวกเขาจะได้แก้ไข”
วารุณีพยักหน้ารับ “โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เธอกล่าว พร้อมกับปิดคอมพิวเตอร์ลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะคว้ากระเป๋าในชั้นวางออกเดินทาง
เมื่อมาถึงหน้าลิฟต์ ประตูลิฟต์พลันเปิดออก นิรุตติ์พบเธอเข้า เขาดันแว่นตาด้วยความประหลาดใจ “อ้าว บังเอิญจังเลยนะ!”
“ผู้อำนวยการนิรุตติ์” วารุณีคำนับเล็กน้อย ทักทายเขาอย่างขอไปที
นิรุตติ์เดินออกมาจากลิฟต์ “พอดีเลย ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
วารุณีกำลังจะเดินเข้าไปในลิฟต์ เมื่อได้ยินอย่างนั้น จึงลดฝีเท้าข้างหนึ่งที่กำลังจะก้าวเข้าไปในลิฟต์ลง พร้อมกับจับจ้องเขาอย่างประหลาดใจ “มีธุระกับฉันหรือคะ?”
นิรุตติ์หยิบการ์ดในมือออกมาหมุนไปมา “อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดผม ผมหวังว่าคุณจะมา อย่าปฏิเสธผม ไม่อย่างนั้นผมจะบอกนัทธี ว่าเด็กสองคนนั้นของเธอเป็นลูกของเขา”
“นี่คุณ…..” วารุณีรูม่านตาขยายในทันที พลันจับจ้องเขาอย่างตระหนก ผ่านไปนานกว่าที่จะตั้งสติปรับน้ำเสียงของตนเองได้ “นี่คุณรู้ได้ยังไง?”
นิรุตติ์เล่นการ์ดเชิญในมือ พร้อมหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ถ้าอยากจะรู้จริงๆ ก็ไม่ยากหรอก แค่สืบหาก็รู้แล้ว ยังไงเสียลูกของเธอก็หน้าตาเหมือนกับนัทธีออกซะขนาดนั้น เธอยังไม่รู้สินะ อันที่จริงทีแรกนัทธีเองก็เคยสงสัยเหมือนกันนั่นแหละ”
“อะไรนะ?” วารุณีสีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความตระหนก
เรื่องนี้ เธอไม่รู้จริงๆ นั่นแหละ!
“นัทธีเห็นลูกของเธอแวบแรก เขาก็สงสัยแล้วว่าเป็นลูกของเขาหรือเปล่า หรือแม้แต่ตรวจดีเอ็นเอด้วยนะ แต่น่าเสียดาย ที่ถูกพิชญาพบเข้าเสียก่อน พิชญาเลยแอบสับเปลี่ยนตัวอย่างเลือดของเด็กทั้งสองของเธอ เพราะงั้นผลลัพธ์ที่นัทธีได้เห็นจึงเปลี่ยนไป” นิรุตติ์กล่าวอีกครั้ง
วารุณีโล่งอก เธอรู้สึกขอบคุณพิชญาขึ้นมากะทันหัน
ไม่เช่นนั้นตอนนี้เด็กสองคนนั้น ต้องถูกนัทธีพาไปแล้วเป็นแน่
“ผมยังรู้อีกด้วยนะ ว่าคุณไม่ต้องการที่จะให้นัทธีรู้เรื่อง ว่าเด็กสองคนนั้นของเธอเป็นลูกของเขา” นิรุตติ์เดินวนรอบกายวารุณี
ลูกตาของวารุณีกรอกไปตามการเคลื่อนไหวของเขา “หลังจากนั้น คุณก็ข่มขู่ฉัน หากฉันไม่ไปร่วมงานวันเกิดของคุณ คุณก็จะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับนัทธีงั้นเหรอ?”
นิรุตติ์พยักหน้ารับ “คุณพูดไม่ผิดหรอก ผมหมายความว่าอย่างนั้นนั่นแหละ”
“ทำไม?” วารุณีแหงนหน้าขึ้นจับจ้องชายหนุ่ม “ทำไมจะต้องเป็นฉัน? ในตัวฉันมีอะไรกันแน่ ที่คู่ควรให้คุณคอยจับตามองฉันแบบนี้?”
คำถามนี้ของเธอ เธอคิดไม่ตกมาตลอด
“ผมเคยบอกไปแล้วนี่ ว่าผมชอบคุณ คุณเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจที่สุด เท่าที่ผมเคยเจอมา!” นิรุตติ์เข้าใกล้เธอ คว้าเส้นผมที่ประปรายบริเวณใบหูของเธอพันเล่นกับนิ้วมือของตนเอง