เมื่อได้ยินแบบนี้ วารุณีก็ยิ้มขึ้นมา
นิรุตติ์หน้าบึ้งทันที “คุณยิ้มอะไร? “
วารุณีมองเขา “ก็ต้องหัวเราะคำพูดของผู้อำนวยการนิรุตติ์สิคะ คุณบอกว่าที่คุณบาดเจ็บเพราะฉันเป็นคนมอบให้ แต่ว่าฉันมองแล้วล้วนเป็นเพราะคนหาเรื่องใส่ตัวเอง หากไม่ใช่เพราะคุณคิดไม่ซื่อกับฉัน ประธานนัทธีก็ไม่มีทางที่จะลงมือทำร้ายคุณ!”
“ดังนั้นคุณหมายความว่าผมสมควรโดน?” นิรุตติ์หรี่ตาลง
วารุณีเม้มริมฝีปากสีแดง “หรือว่าไม่ใช่?”
นิรุตติ์ก้มหน้าลง หัวเราะอย่างเซ็งๆไปหนึ่งที
จากนั้น จู่ๆเขาก็โยนไม้เท้าทิ้งไปหนึ่งอัน ยื่นมือผลักไปที่ไหล่ของวารุณีหนึ่งที ผลักเธอเข้าไปแนบกับกำแพง
วารุณีที่ไม่ทันตั้งตัวหลังชนกำแพงจนรู้สึกเจ็บ พูดด้วยอาการที่ตกใจ “คุณจะทำอะไร?”
นิรุตติ์ไม่ได้ตอบ ก้าวเท้าเดินมาตรงหน้าของเธอ และได้โยนไม้เท้าอีกอันทิ้งไป ภายใต้การหลบของเธอ ได้เอามือไปจับไหล่ทั้งสองข้างของเธออย่างรวดเร็ว ขังเธอไว้ระหว่างกำแพงกับร่างของเขา
วารุณีตะลึงไปครู่หนึ่ง สักพักเธอจึงรู้สึกตัวว่าตัวเองนั้นถูกถังไว้ในกำแพง โกรธจนใบหน้าแดง “ปล่อยฉัน!”
นิรุตติ์ไม่ขยับตัว
วารุณีกำหมัดแน่น เตรียมตัวที่จะผลักเขาออกไป
แต่เวลานี้ น้ำเสียงที่ดุร้ายของนิรุตติ์ก็ดังขึ้นที่ข้างหู ผมขอเตือนให้คุณอย่าขยับ ตอนนี้ผมเป็นผู้บาดเจ็บ คุณแค่ผลักผมก็ล้มแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นอาการผมหนักกว่าเดิม มันต้องเป็นความรับผิดชอบทั้งหมดของคุณ ผมไม่ต้องการให้ชดใช้ด้วยเงิน แต่จะให้ชดใช้ด้วยการมาดูแลผม
“คุณ…….” วารุณียกมือขึ้น มือก็ได้ถูกแช่แข็งอยู่กลางอากาศแบบนั้น
นิรุตติ์เห็นเธอแบบนี้ แสร้งถอนหายใจด้วยความเสียใจ “คุณไม่ผลักผมแล้วเหรอ ที่จริงแล้วผมอยากให้คุณผลักผมจังเลย…”
“พอได้แล้ว!” วารุณีตะโกนด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดี มองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่โกรธเคือง “คุณต้องการอะไรกันแน่ เลิกตอแยฉันได้มั้ย?”
แว่นตาของนิรุตติ์สะท้อนแสง “อยากให้ผมเลิกตอแยคุณมันก็ได้ ก่อนอื่นคุณต้องช่วยผมเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไร?” วารุณีตัวเกร็งขึ้นมาทันที แววตาแสดงได้เห็นถึงความระมัดระวังตัว
ความรู้สึกบอกกับเธอ สิ่งที่เขาจะให้เธอทำนั้น ต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน
นิรุตติ์หัวเราะเสียงต่ำไปสองที กำลังจะเอ่ยปาก ไม่ไกลนักประตูห้องของผู้ช่วยก็ถูกเปิดออก มารุตเดินออกมาจากข้างใน
วารุณีเกิดความดีใจ รีบตะโกนเสียงสูง “ผู้ช่วยมารุต!”
มารุตได้ยินเสียงของเธอ หันหน้ามามอง เห็นท่าของเธอกับนิรุตติ์ อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง “ผู้อำนวยการนิรุตติ์ คุณวารุณี พวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่?”
“ไม่มีอะไร ผมกับวารุณีไม่ได้เจอกันหลายวัน กำลังรื้อฟื้นความหลังกันน่ะ” นิรุตติ์ก็ม้วนผมของวารุณีเล่น “ใช่มั้ย วารุณี?”
วารุณีแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินกับคำพูดของเขาที่แฝงไปด้วยคำเตือน ส่ายหน้าให้กับมารุต “ ไม่ได้เป็นแบบนั้น ฉันบังเอิญเจอเข้ากับผู้อำนวยการนิรุตติ์ เขาไม่ให้ฉันไป คุณผู้ช่วย คุณมาช่วยฉันดึงตัวผู้อำนวยการนิรุตติ์ออกหน่อยเถอะ เขาเป็นผู้บาดเจ็บ ฉันไม่กล้าแตะต้องตัวเขา!”
สีหน้าของนิรุตติ์จมดิ่งลงไปทันที มองวารุณีอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ผู้หญิงคนนี้ ถึงกับกล้าต่อต้านฉัน
เธอไม่กลัวว่าเขาจะพูดความลับของเธอออกมาเหรอ?
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” ทางมารุตก็ได้เดินเข้ามา และได้เก็บไม้เท้าที่อยู่บนพื้นยื่นให้กับนิรุตติ์ “ผู้อำนวยการนิรุตติ์ ตอแยผู้หญิงในสถานที่ทำงาน แบบนี้มันก็จะไม่ดีต่อตัวคุณนะ หากท่านประธานรู้เรื่องเข้า คุณก็จะลำบาก ดังนั้นคุณยังไม่ปล่อยคุณวารุณีอีกเหรอ?”
นิรุตติ์มองเขาด้วยสายตาที่ดุร้าย แล้วก็มองวารุณี สุดท้ายก็รับไม้เท้ามาอยู่ดี ปล่อยตัววารุณีออก
วารุณีได้ความอิสระคืนมา ก็รีบหลบไปให้ไกล
นิรุตติ์มองเธอที่หลบใส่เขาเหมือนกับหลบภัยน้ำท่วมและสัตว์ป่า มุมปากก็ยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันสายตาไปทางมารุต ยิ้มเยาะแล้วกล่าว “นายมันปรากฏตัวได้ทันเวลาจริงๆนะ”
มารุตยิ้มเล็กน้อย “ที่ไหนกัน ผมก็แค่บังเอิญที่ประธานนัทธีเรียกผมเข้าไปหา อย่างไรก็ตามที่ผู้อำนวยการมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ คิดว่าก็คงจะมาหาท่านประธานเหมือนกัน พวกเราเข้าไปพร้อมกันเป็นไง?”
เขาได้ทำท่าเรียนเชิญ ไม่ให้โอกาสนิรุตติ์ในการปฏิเสธ
นิรุตติ์มีหรือจะไม่เข้าใจ ก็ไม่ได้โกรธ ยิ้มให้กับวารุณีด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง “คุณวารุณี ดูท่าวันนี้เราจะคุยกันไม่ได้แล้ว ครั้งหน้าค่อยคุยกันนะ”
พูดจบ เขาก็เดินกะโผลกกะเผลกไปที่ห้องท่านประธาน ภายใต้สายตาที่มองอย่างหนักใจของวารุณี
จนกระทั่งหลังของเขาลับตาไปในห้องทำงานของท่านประธาน เธอจึงได้ถอนสายตากลับมา ขอบคุณมารุตอย่างจริงใจ “ขอบคุณมากผู้ช่วยมารุต”
“ไม่เป็นไร สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องออกมือช่วยเหลืออยู่แล้ว” มารุตยกมือห้าม แสดงให้รู้ว่าไม่ต้องขอบคุณ
ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอเป็นผู้หญิงของท่านประธาน เขาก็ต้องปกป้องเธอ
ต่อให้เธอเป็นเพียงพนักงานทั่วไป เขาในฐานะพนักงานระดับสูง ก็ต้องออกโรงช่วย
“เอาล่ะ ผมไม่คุยกับคุณแล้ว ท่านประทานยังรอผมอยู่” เก็บอารมณ์ความคิด มารุตมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ
หลังจากที่เขาไปแล้ว วารุณีก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมนานนัก กดลิฟต์แล้วกลับไปที่แผนกออกแบบ
ทันทีที่เธอนั่งลง สีหน้าของเธอก็มีความรู้สึกกังวลหลายอย่าง
คำพูดประโยชน์สุดท้ายของนิรุตติ์ เห็นได้ชัดว่ากำลังจะบอกเธอ เรื่องของเรายังไม่จบ เขายังจะหาโอกาสมาหาเธอ สิ่งที่ไม่รู้คือนานแค่ไหน
ถูกสายตาที่อันตรายแบบนั้นจ้องมอง ความรู้สึกมันไม่ดีเลย
คิดถึงจุดนี้ วารุณีรู้สึกปวดหัวอย่างมาก ไม่มีแม้กระทั่งอารมณ์ที่จะทำงานแล้ว
เมื่อถึงช่วงเย็น นัทธีก็โทรศัพท์มา “งานเสร็จหรือยัง?”
วารุณีนวดขมับไปสองสามที จึงได้พยายามรวบรวมสมาธิตอบ “เสร็จแล้วค่ะ”
“อืม มาที่ลานจอดรถ ผมรอคุณอยู่ที่รถ” พูดจบ นัทธีก็วางสายไปเลย
วารุณีวางโทรศัพท์ตั้งโต๊ะลง ก็จัดระเบียบโต๊ะทำงานอย่างรวดเร็ว หยิบกระเป๋าแล้วออกไป
เมื่อมาถึงลานจอดรถ วารุณียังเดินไปไม่ถึงหน้ารถของนัทธี ประตูรถเบาะหลังก็ถูกเปิดออกแล้ว
วารุณียิ้มๆ รีบเร่งฝีเท้า กึ่งวิ่งเข้าไป “ประธานนัทธี ทำให้คุณต้องรอนานแล้ว”
“ไม่หรอก ขึ้นรถเถอะ” นัทธีวางนิตยสารในมือลง ตอบอย่างเรียบเฉย
วารุณีขึ้นมาบนรถ ทักทายกับมารุตที่ขับรถ หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความหาปาจรีย์ ให้เธอไปช่วยรับลูกทั้งสองคนหน่อย
จนกระทั่งข้อความถูกส่งสำเร็จ วารุณีก็ได้ยินเสียงพูดของนัทธี “มารุตได้บอกกับผมแล้ว ช่วงเช้าเรื่องที่นิรุตติ์มาตอแยคุณ”
วารุณีกะพริบตา “แล้วประธานนัทธี……….”
รู้ว่าเธอจะพูดอะไร ริมฝีปากบางของนัทธีก็ได้พูดขัดเธอ “ผมได้ออกคำสั่งให้นิรุตติ์ไปประจำที่บริษัทย่อยในตำแหน่งประธาน ไม่นานก็จะไป อีกอย่างหากไม่ได้รับอนุญาตจากผม เขาจะไม่สามารถเข้ามาที่บริษัท คุณสามารถวางใจได้แล้ว”
“เหรอคะ” วารุณียิ้มแล้ว “ขอบคุณค่ะ ประธานนัทธี”
นัทธีตอบรับเบาๆไปหนึ่งที ก็ไม่ได้พูดจาอีกเลย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็ได้มาถึงโรงแรมแล้ว
ทั้งสองคนเดินลงจากรถ เดินตามพนักงานไปยังห้องวีไอพี
หลังจากเข้าไปในห้องวีไอพี กรรมการก็มากันเกือบจะครบแล้ว
นัทธีพาวารุณีนั่งลง หลังจากทักทายทุกคนแล้ว ก็ให้เสิร์ฟอาหารเลย
ไม่นานนัก พนักงานเสิร์ฟก็ได้เข็นอาหารเข้ามาทีละคน ได้เสิร์ฟอาหารรสเลิศทีละจานลงบนโต๊ะ
แต่เวลานี้ พนักงานเสิร์ฟที่ยืนอยู่ข้างกายของวารุณีมือลื่นไปหนึ่งที น้ำขลุกขลิกที่อยู่ในจานก็หกออกมา กำลังจะหกมาโดนแขนของวารุณี
ถูกนัทธีเห็นเข้า ม่านตาก็หดลง รีบคว้าตัวของวารุณีเข้ามา ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดของเขา
วารุณียังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พิงอยู่ในอ้อมอกของเข้าอย่างตกตะลึง
คนอื่นๆบนโต๊ะอาหารก็เกิดความงุนงง
จนกระทั่งพนักงานเสิร์ฟกล่าวขอโทษด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว พวกเขาจึงได้รู้ว่าถือจานไม่มั่นคง เกือบจะลวกวารุณีแล้ว
“เอาล่ะ เธอไปได้แล้ว” นัทธีดูออกว่าพนักงานคนนี้ไม่ได้ตั้งใจ ด้วยสาเหตุนี้ก็เลยไม่ได้กล่าวโทษเขา เพียงแต่ได้ให้เขาออกไปด้วยความไม่พอใจ
พนักงานเสิร์ฟขอบคุณอย่างซาบซึ้งแล้วก็ออกไป
นัทธีปล่อยวารุณีออก “ไม่เป็นนะ?”