“ใช่” วารุณีพยักหน้า
ปวิชอายอย่างมาก อยากที่จะหนีไปทันที
ในอดีตที่ผ่านมา เขามักจะแอบอ้างฐานะของสุภัทรในการจีบสาว แทบไม่เคยมีปัญหาเลย
คิดไม่ถึงครั้งนี้กลับมาเจอเข้ากับลูกสาวของสุภัทร
ดูท่าทางที่ละอายใจของปวิช หัวใจของขยานีก็หล่นวูบ รู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา
หรือว่าเขาได้บอกความสัมพันธ์ของพวกเขาไปแล้ว?
ทันใดนั้น หน้าของขยานีซีดเผือดไปหมดแล้ว รู้สึกเหมือนจะหน้ามืด
แต่เธอได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หยิกฝ่ามือของตัวเอง ถึงสามารถฝืนไม่ให้ตัวเองเป็นลมล้มพับไป ถามอย่างลองเชิญ “เมื่อกี้พวกเธอกำลังคุยอะไรกันอยู่?”
“คุณน้าขยานีถามคำถามนี้ได้พอดีเลย วารุณีเหลือบมองไปปวิชที่อยู่ข้างหลังของเธอ น้องชายจากแดนไกลของคุณกำลังแอบอ้างฐานะของพ่อ”
“อะไรนะ?” ขยานีอึ้งไปทันที “แอบอ้างฐานะของพ่อเธอ?”
“ใช่ค่ะ” วารุณีพยักหน้า ชี้ไปที่ปวิชแล้วฟ้อง “ไม่เพียงเท่านี้ เขายังได้ให้นามบัตรกับฉันด้วย อยากจะชวนฉันไปดื่มกาแฟด้วย!” วารุณีเอานามบัตรใส่มือของขยานี
ขยานีมองนามบัตร โล่งอกไปทันที ความกระสับกระส่ายในใจ จึงได้สงบลงมา
ดูแล้วปวิชไม่ได้พูดความสัมพันธ์ของพวกเขาออกไป
อย่างไรก็ตาม เขากลับกล้าอาศัยตอนที่เธอไม่อยู่ ไปจีบผู้หญิงคนอื่น!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ขยานีก็โกรธอย่างมาก มองปวิชที่อยู่ข้างหลังอย่างดุดัน ยื่นมือไปทางปวิช “เอาออกมา”
“อะ……….อะไร? ปวิชถามอย่างสงสัย
วารุณีกลอกตาไปหนึ่งที แล้วกล่าว “คุณน้าขยานี้ขอนามบัตรที่เหลือกับคุณไง คุณสามารถหยิบมันออกมาอย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าต้องพิมพ์ไว้เยอะพอสมควร ไม่เช่นนั้นหากเห็นผู้หญิงสวยๆก็น่าจะไม่พอแจก!”
พูดจบ เธอก็มองขยานีอย่างมีความสนใจ
ตามที่คาดการณ์ไว้ ใบหน้าของขยานีถึงกับกระตุกแล้ว สายตาที่จ้องมองปวิช ราวกับจะฉีกเนื้อฉีกหนัง
ปวิชก็กลัวขยานีที่เป็นแบบนี้ ไม่กล้าขัดขืนเธอ รีบหยิบกล่องนามบัตรออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
ขยานีเห็นนามบัตรในกล่อง เหลือเพียงเศษหนึ่งส่วนสาม แววตาก็เริ่มแดง หน้าอกกระพือขึ้นลงอย่างรุนแรง
สำเร็จในการสร้างช่องว่างให้กับเขาสองคน วารุณีก็ยกมุมปากขึ้น แอบยิ้มในใจ “แต่ปากกลับพูดอย่างกังวล คุณน้าขยานี นามบัตรหนึ่งร้อยใบเหลือเพียงประมาณสามสิบกว่าใบ เห็นได้ชัดว่าน้องชายของคุณน้า อยู่ข้างนอกใช้ชื่อของพ่อในการหาผลประโยชน์ จีบผู้หญิงไปไม่น้อยเลยนะ ไม่ได้แล้ว เรื่องนี้มีผลกระทบต่อชื่อเสียงของคุณพ่ออย่างรุนแรง ฉันต้องบอกคุณพ่อ”
ขยานีกับปวิชได้ยินเธอพูดว่าจะบอกเรื่องนี้กับสุภัทร ก็รีบห้ามเธอทันที
“วารุณีจ๋า นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่มีอะไรน่าพูดกับคุณสุภัทรหรอก น้าสั่งสอนเขาก็พอแล้ว” ขณะที่พูด ขยานีก็ตบปวิชไปสองที
เธอไม่มีทางที่จะยอมให้วารุณีไปฟ้อง
สุภัทรรู้แต่แรกแล้วว่าเธอไม่มีญาติ จู่ๆหากรู้ว่าเธอมีน้องชายโผล่มาจากแดนไกลหนึ่งคน ต้องสืบเรื่องนี้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นก็จะปิดไม่มิดแล้ว ดังนั้นเธอจำเป็นต้องหยุดวารุณี
วารุณีวางโทรศัพท์ลง “ไม่บอกคุณพ่อก็ได้ แต่คุณต้องให้อะไรดีๆกับฉันหน่อยนะ”
“อะไร?” สมองของขยานีนิ่งไปทันที ตอบสนองไม่ค่อยจะทัน
วารุณีมองไปที่กระเป๋าของเขา “คุณน้าขยานี คุณน้าก็รู้ว่า ความสัมพันธ์ฉันกับพ่อไม่ดี แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังเป็นพ่อของฉัน ฉันซึ่งเป็นลูกสาวก็ควรจะปกป้องเขา แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรมันก็มีข้อยกเว้น ขอเพียงมีผลประโยชน์ แล้วฉันก็สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นนะ”
ตอนนี้ขยานีเข้าใจแล้ว สบถอย่างดูถูกเล็กน้อย “พูดมาเถอะ เธออยากได้อะไร?”
“สิ่งที่ฉันต้องการง่ายมาก ก็คือฉันเพิ่งซื้อโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเล็กๆมาโรงงานหนึ่ง แต่ยังไม่มีเงินซื้อเครื่องจักร ก็เลย…” วารุณีทำท่านับเงิน
ขยานียิ้มเยาะ “สองแสนพอมั้ย?”
“สองแสนเหรอ” วารุณีทำท่าครุ่นคิด สุดท้ายส่ายหัว “เกรงว่าจะไม่ได้ สองแสนซื้อเครื่องจักรได้แค่สองเครื่องเอง ในแผนงานของฉันคือห้าสิบเครื่อง ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่พอ”
“ห้าสิบเครื่อง?” ขยานีจะบ้าแล้ว “เธอคงไม่ใช่ต้องการห้าล้านหรอกมั้ง?”
“ไม่ได้เหรอ?” วารุณีกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา จากนั้นก็ชี้ไปทางปวิช “ฉันได้ยินหมดแล้ว คุณน้าขยานีพาเขามาซื้อรถ เขาจะเอารถเบนท์ลีย์ เบนท์ลีย์ต่ำสุดก็ต้องสามล้าน เมื่อกี้คุณได้ไปขอเงินพ่อมาแล้ว ตอนที่คุณเดินกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าได้เงินมาแล้ว”
“เธอ………” ขยานีถูกคำพูดของเธอทำให้จนพูดไม่ออก
เธอคิดไม่ถึง เรื่องนี้ก็ถูกยัยเด็กวารุณีรู้เข้าแล้ว
“ห้าล้านไม่ได้ หนึ่งล้าน!” ขยานีชูนิ้วชี้ขึ้น
วารุณีแบมือยักไหล่ “น้อยเกินไปแล้ว เพิ่มอีกหน่อย สี่ล้านห้าแสน”
ขยานีคำราม “วารุณี ฉันขอเตือนเธออย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก”
“ฉันไม่ได้จะเอาศอกนะ ฉันแค่หารือกับคุณน้า หากคุณน้าขยานีไม่เต็มใจก็ช่างเถอะ” วารุณีถอนหายใจ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
หางตาของขยานีกระตุก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับความโกรธไว้ในใจ แล้วชูมือขึ้นอีกสองนิ้ว “สามล้าน นี่คือจำนวนที่ฉันได้แล้ว หากเธอไม่เอาอีก งั้นก็แล้วแต่เธอ”
“คุณน้าขยานี อย่าทำแบบนี้สิคะ แม้ว่าสามล้านจะน้อยไปหน่อย แต่ฉันยังไม่ได้ปฏิเสธเลย” วารุณีหยิบกระดาษปากกาออกมาจากกระเป๋าตัวเอง เขียนเลขที่บัญชีของตัวเอง แล้วยื่นไปให้กับขยานี “งั้นก็รบกวนคุณน้าขยานีแล้วนะคะ”
ขยานีรับกระดาษมาด้วยสีหน้าที่ดูแย่มาก
วารุณียิ้มๆแล้วดึงมือกลับ “เอาล่ะ งั้นฉันไม่รบกวนพวกคุณน้าแล้ว ฉันไปดูรถก่อนว่าล้างไปถึงไหนแล้ว”
พูดจบ เธอก็โบกมือ เดินจากไปอย่างพอใจ
ปวิชร้อนใจอย่างมาก “ขยานี เราเอาเงินให้เธอแล้ว แล้วรถของผมล่ะ?”
“รถอะไรอีก นายควรที่จะไปคิดดูว่าจะอธิบายเรื่องนามบัตรกับฉันยังไง” ขยานีจ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง โกรธจนจะระเบิดแล้ว
เธอใช้เหตุผลว่าจะร่วมลงทุนกับเหล่าคุณหญิงคุณนายเปิดร้านเสริมความงาม จึงได้เงินมาจากสุภัทรห้าล้านบาท ในเวลาสั้นๆก็ถูกวารุณีเอาไปแล้วเศษสองส่วนสาม ช่างซวยเหลือเกิน
อย่างไรก็ตามเงินของเธอ ไม่ใช่ว่าจะเอาไปได้ง่ายๆแบบนี้!
ขยานีกำกระดาษที่อยู่ในมือแน่นๆ มองไปยังทิศทางที่วารุณีเดินจากไป แววตาก็ฉายความดุร้าย
วารุณีขับรถออกไปจากร้าน4S โทรศัพท์ก็ได้รับข้อความเงินเข้า
คิดไม่ถึง ขยานีจะโอนเงินมาเร็วขนาดนี้ เธอยังนึกว่าขยานีคงต้องยืดเวลาออกไปสักพักถึงจะยอมโอนมา แบบนี้ก็ดี เธอจะไม่ได้ต้องไปทวง
วารุณีอ่านข้อความแล้ว ก็ได้โยนโทรศัพท์ไปเบาะด้านข้าง
เดิมเขาคิดว่ารอให้โรงงานสร้างเสร็จก่อน แล้วค่อยไปทำเรื่องกู้เงินซื้อเครื่องจักรที่ธนาคาร
คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้ขยานีจะนำเงินมามอบให้เธอกับมือ หากเธอไม่รีดไถสักก้อน ยังรู้สึกผิดต่อเองเลย
ขณะที่คิด วารุณีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ไม่นานนัก ก็ได้มาถึงบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป
วารุณีไปเคาะประตูห้องของนัทธี ประธานนัทธี “รถของคุณล้างเสร็จแล้ว นี่ค่ะกุญแจ”
วารุณีวางกุญแจรถบนโต๊ะทำงานของเขา
นัทธีเหลือบมองไปแวบหนึ่ง หยิบขึ้นมาแล้วโยนเข้าไปในลิ้นชัก “คุณมาได้พอดีเลย กรรมการที่เราเชิญมาทั้งหมด วันนี้ได้มาครบกันแล้ว ดังนั้นคืนนี้มีเลี้ยงต้อนรับพวกเขา คุณก็ไปด้วยนะ”
“ได้ค่ะ” วารุณีพยักตอบรับ
นัทธีโบกมือ “ไม่มีอะไรแล้ว”
“งั้นฉันขอตัวก่อน” วารุณีหันกาย เดินไปทางประตู
เมื่อมาถึงหน้าประตูลิฟต์ วารุณีกำลังจะกดลิฟต์ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ร่างที่ถือไม้เท้าก็ได้ก้าวออกมาจากในลิฟต์ เมื่อเห็นวารุณี ตาที่เรียวยาวเหมือนสุนัขหมาป่า จู่ๆก็มีแสงที่คมกริบปรากฏขึ้น “วารุณี!”
สีหน้าของวารุณีเปลี่ยนไปเล็กน้อยพร้อมกับถอยหลังไปหนึ่งก้าว มองเขาอย่างระมัดระวัง “ผู้อำนวยการนิรุตติ์”
วันนี้มันเรื่องอะไรกัน ขยานีออกจากโรงพยาบาลไม่พอ ทำไมคุณนิรุตติ์ก็ออกมาด้วย
ไม่ใช่บอกว่าจะนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลาสองเดือนเหรอ?
ราวกับว่าเดาออกว่าวารุณีกำลังคิดอะไรอยู่ นิรุตติ์ก็เดินเข้ามาหนึ่งก้าว ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ทำไม เห็นฉันที่เป็นแบบนี้ประหลาดใจมากเลยเหรอ? อาการบาดเจ็บของฉัน ต้องขอบคุณคุณที่เป็นคนมอบให้นะ!”