แต่ตอนที่เขายังไม่ทันแตะโดนไอริณ ก็ถูกอารัณปัดออก“อย่าแตะต้องน้องสาวผม”
“โหย หนุ่มน้อยนี่นิสัยเจ้าอารมณ์จริงๆ นะ”นิรุตติ์มองมือที่ตัวเองถูกตี ไม่ได้โกรธ กลับกันยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุข“หนุ่มน้อย หนูรู้ไหมว่าลุงคือใคร?”
“ไม่รู้ และก็ไม่อยากรู้ด้วย!”อารัณกอดไอริณ พูดอย่างเย็นชา
นิรุตติ์มองใบหน้าเขาที่เหมือนกับนัทธี ก็ดันแว่น
จริงๆ เลย ใบหน้านี้ไม่ว่าจะมองยังไง ก็ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบ
สาวน้อยคนนี้ต่างหากที่ทำให้เขาชอบมากกว่า
“สาวน้อย หนูเพิ่งเรียกลุงว่าอาใช่ไหม?”สายตานิรุตติ์มีประกายออกมา ยิ้มให้ไอริณอย่างอ่อนโยน
วารุณีตระหนักถึงอะไรได้ สีหน้าหม่นลง“ผู้อำนวยการนิรุตติ์ คุณจะทำอะไร?”
นิรุตติ์ไม่สนเธอ สายตายังคงมองไปที่ไอริณ
ไอริณพยักหน้าจากจิตใต้สำนึก ตอบด้วยเสียงบางเบา
มุมปากนิรุตติ์ยกขึ้น“สาวน้อย หนูเรียกผิดแล้ว ลุงไม่ใช่อาหนู หนูควรเรียกลุงว่าลุง ลุงคือพี่ชายของพ่อพวกหนู”
“อะไรนะคะ?”
“ผู้อำนวยการนิรุตติ์!”
อารัณพูดพร้อมกับวารุณี
ที่ไม่เหมือนกันคือ อารัณตกใจ ส่วนวารุณีนั้นตื่นตระหนก
เขาจะทำอะไร คงไม่ใช่ว่าเขาจะพูดถึงตัวตนของเด็กสองคนนี้ออกมาหรอกนะ?
วารุณีถือตะเกียบในมือแล้วยืนขึ้นมา จ้องนิรุตติ์ด้วยอารมณ์ร้อนรน
นิรุตติ์ทำเป็นมองไม่เห็น เอาสายตามองไปที่อารัณ
อารัณปล่อยไอริณ กำฝ่ามือเล็กๆ มองไปที่เขา“คุณคือลุงของพวกเราจริงๆ เหรอ?”
“จริงๆ สิ”นิรุตติ์แกว่งแขนขึ้นมา
ร่างเล็กๆ ของอารัณสั่นเล็กน้อย“งั้นลุงบอกพวกเรามา พ่อของพวกเราเป็นใครกันแน่?”
“อารัณ!”วารุณีขมวดคิ้วแน่น
อารัณมองเธอ แต่สุดท้าย ก็ยังไม่ทำลายความคิดที่อยากรู้พ่อตัวเองลง
มีแค่ไอริณที่ตอนนี้ยังไม่ค่อยได้สติคืนมา กำลังติดอยู่กับคำว่าลุงว่าหมายถึงอะไรกันแน่
“บอกพวกหนูน่ะได้ แต่หม่ามี๊พวกหนูดูเหมือนว่าไม่อยากให้ลุงพูดน่ะสิ”นิรุตติ์ส่ายนิ้วมือ แกล้งทำเป็นพูดอย่างเสียใจ
วารุณีจ้องเขาอย่างโมโห ไม่เข้าใจว่าคนๆ นี้กำลังคิดอะไรอยู่
มาหลอกล่อความแปลกใจของเด็กสองคนก่อน จากนั้นก็ไม่พูดตรงๆ นี่มันคนบ้าชัดๆ !
“หม่ามี๊……”อารัณมองไปที่วารุณีอย่างมีความหวัง หวังว่าวารุณีจะเห็นด้วย
วารุณีทำใจแข็งหันหน้าไป ไม่มองเขา
สายตาอารัณก็หม่นลง
นิรุตติ์ยักไหล่“หนุ่มน้อย ดูเหมือนแม่หนูจะยังไม่เห็นด้วยนะ งั้นก็ช่างมันเถอะ”
พูดจบ เธอก็แตะหัวของอารัณ แล้วหลังจากเผยรอยยิ้มที่มีความหมายให้วารุณีแล้ว ก็หันกลับออกไป
เพราะว่าการปรากฏตัวของนิรุตติ์ ทำให้อาการของสามคนแม่ลูกในมื้ออาหารนี้ ไม่มีบรรยากาศเหมือนในตอนแรกแล้ว นอกจากไอริณแล้ว วารุณีกับอารัณก็ไม่มีอารมณ์กินข้าวต่อไปอีก
อารัณก้มหน้าเล็กๆ ลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ผ่านไปสักพัก เขาก็เงยหน้าขึ้น มองวารุณีอย่างจริงจัง“หม่ามี๊ พ่อพวกเรานามสกุลไชยรัตน์ใช่ไหม?”
เขาจำได้ว่า เมื่อครู่หม่ามี๊เรียกคนนั้นว่าผู้อำนวยการนิรุตติ์
คนนั้นเป็นพี่ชายของพ่อ งั้นพ่อก็น่าจะนามสกุลไชยรัตน์ด้วย
อย่างที่คาดไว้ วารุณีพยักหน้ายอมรับ
ในที่สุดอารัณก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย“ดีจัง ในที่สุดผมก็รู้จักพ่อมานิดหน่อยแล้ว ไม่ใช่ว่าอะไรก็ไม่รู้เลย”
ได้ยินคำนี้,วารุณีเกือบจะน้ำตาไหล รีบปิดปากไว้ สายตาที่มองลูกทั้งสอง เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด“ขอโทษนะลูกรัก……”
“ไม่เป็นไรครับ ในเมื่อหม่ามี๊ไม่อยากให้พวกเรารู้ งั้นก็ช่างมันครับ”อารัณเล่นช้อนไปมา เหมือนคิดขึ้นได้ จึงปลอบเธอ
ในใจวารุณีก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น กำลังจะพูดอะไรนั้น ไอริณก็สะอึก“หม่ามี๊ ไอริณอยากฉี่”
“หม่ามี๊พาหนูไปเอง อารัณลูกก็นั่งอยู่ตรงนี้อย่าไปไหนนะเข้าใจไหม?”วารุณีลุกขึ้นแล้วกำชับ
อารัณพยักหน้าตอบรับไป
วารุณีจึงพาไอริณไปห้องน้ำอย่างสบายใจ
จากนั้นเธอจึงพาไอริณกลับมา แล้วตรงที่นั่งก็ไม่มีร่างของอารัณอยู่
“หม่ามี๊ พี่ล่ะคะ?”ไอริณเอนหัวถาม
วารุณีไม่ตอบ ขมวดคิ้วมองซ้ายมองขวา หลังจากแน่ใจว่าไม่เห็นอารัณ ในใจก็เริ่มวิตกกังวล อุ้มไอริณขึ้นมาแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์ร้านอาหาร
“ขอโทษนะคะพวกคุณเห็นลูกชายฉันไหม เด็กที่นั่งตรงนั้นข้างหน้าต่างน่ะค่ะ”วารุณีชี้ไปที่โต๊ะอาหารตรงข้าม สอบถามด้วยสายตากังวลใจ
พนักงานแคชเชียร์หน้าเคาน์เตอร์พยักหน้า“เห็นค่ะ เหมือนว่าเขาจะถูกคนพาไป”
พอได้ยิน วารุณีก็ใจเต้น กำฝ่ามืออย่างโมโห“ถูกคนพาไปทำไมพวกคุณถึงไม่ไปห้ามคะ?”
พนักงานแคชเชียร์หน้าซีดขาว ที่ถูกร่างสั่นๆ ของเธอตวาดใส่“ฉัน……ฉันเห็นเด็กคนนั้นตามคนนั้นไปไม่ขัดขืน คิดว่าเป็นคนรู้จัก ก็เลยไม่ได้สน ……”
“คุณ……”วารุณีโกรธอย่างมาก แต่ไม่อาจกล่าวโทษอีกฝ่ายได้
เพราะว่าอีกฝ่ายก็บอกแล้ว ตอนที่อารัณถูกคนพาไป ไม่ได้ขัดขืน คนทั่วไปก็มักจะคิดว่าเป็นคนรู้จัก อีกอย่างอีกฝ่ายก็เป็นแค่พนักงานร้านอาหาร ทำอะไรได้นั้นก็มีข้อจำกัด
ดังนั้นถ้าอยากจะโทษจริงๆ ก็ควรโทษตัวเอง ทำไมตอนนั้นไม่พาอารัณไปด้วยกัน ถึงทิ้งอารัณอยู่ตรงนี้คนเดียวได้!
นึกถึงตรงนี้ วารุณีก็บีบแรงที่มือมากขึ้น ไอริณก็มีสีหน้าซีดขาว“หม่ามี๊ เจ็บ……”
วารุณีได้สติคืนมา ก็รีบคลายมือออก“ขอโทษนะลูก หม่ามี๊เป็นห่วงพี่มากไป”
ไอริณส่ายหน้า,“หนูไม่เป็นไรค่ะ หม่ามี๊ พี่ไปไหนกันแน่คะ?”
วารุณีตอบไม่ได้ หลังจากกัดริมฝีปาก ก็ถามแคชเชียร์อีกครั้งว่า“ขอโทษนะคะ คนที่พาเด็กคนนั้นไป เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงคะ?”
“ผู้ชายค่ะ”
“ผู้ชาย……”วารุณีคิดอย่างถี่ถ้วน จากนั้นในหัวก็มีร่างหนึ่งแวบเข้ามา
หรือจะเป็นนิรุตติ์?
คิดไป วารุณีก็ลากไอริณเดินขึ้นไปที่ห้องส่วนตัวชั้นบน เธอจำได้ว่าตอนที่นิรุตติ์ไป ก็ไปที่ชั้นบน
วารุณีไม่รู้ว่านิรุตติ์อยู่ห้องส่วนตัวห้องไหน แต่จำได้ว่านิรุตติ์บอกว่าตัวเองมาหาลูกค้ารายใหญ่ คิดดูแล้วห้องส่วนตัวจะต้องไม่เล็กแน่
ดังนั้นวารุณีเลยไปหาที่ห้องส่วนตัวขนาดใหญ่ หลังจากหาห้องส่วนตัวสี่ห้าห้องแล้ว ในที่สุดก็เจอ
วารุณีก็ไม่เคาะประตู ผลักประตูของห้องส่วนตัว ตะโกนเสียงดัง“นิรุตติ์!”
คนในห้องส่วนตัวต่างเงียบลง สายตาจำนวนมากต่างมองไปที่เธอ ในนั้นยังมีนัทธี
วารุณีก็มองเห็นเขา สายตามีความตกใจออกมา ไม่รู้ว่าเขามาเมื่อไหร่
แต่เธอก็ไม่สนใจไปคิด แป๊บเดียวก็เอาสายตาจากนัทธี ย้ายไปที่นิรุตติ์ที่อยู่ข้างๆ เขา แล้วโบกมือให้“คุณออกมานี่หน่อย ฉันมีเรื่องต้องคุยกับฉัน!”
พูดจบเธอก็โค้งคำนับขอโทษคนอื่นๆ ในห้องส่วนตัวแล้วหันกลับออกไป
นิรุตติ์เลิกคิ้วขึ้น
นัทธีหรี่ตาลง
ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่ หรือว่ามาหานิรุตติ์?
ในห้องส่วนตัวก็มีคนสนใจ“ผู้อำนวยการนิรุตติ์ ดูไม่ออกเลยนะ โชคดีจริงๆ เลยได้สาวสวยขนาดนี้ ถึงกับมาหาถึงที่ รูปร่างหน้าตาเมื่อกี๊ ถือว่าเป็นของดีจริงๆ สายตาของผู้อำนวยการนิรุตติ์นี่ไม่เลวเลยนะ!”
นัทธีได้ยินคำนี้ สีหน้าหมองหม่นลงทันที มือที่ถือแก้วไวน์อยู่นั้น ก็ออกแรงมากขึ้น
นิรุตติ์เห็นแล้ว แว่นตาก็สะท้อนแสง“ที่ไหนกันล่ะครับ คุณชมเกินไปแล้ว โอเค ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ไปเถอะๆ ”ทุกคนโบกมือ
หลังจากนิรุตติ์แอบส่งสายตายั่วยุให้นัทธีเสร็จ ก็ลุกขึ้นออกไปจากห้องส่วนตัว
เขาออกไป คนในห้องส่วนตัวก็ถกเถียงกันมากขึ้น ก็มีคนเริ่มพูดถึงนิรุตติ์กับวารุณีไม่ดีแล้วจริงๆ
นัทธีฟังต่อไปไม่ไหว ความเยือกเย็นแพร่ออกไปรอบๆ ตัว วางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะอย่างออกแรง แล้วก็ออกไปจากห้องส่วนตัว