“คืนพรุ่งนี้”ปาจรีย์มองเวลาที่แจ้งแล้วตอบไป
วารุณีท่องสามคำนี้ในใจ มือที่ถือโทรศัพท์ไว้กำแน่น สุดท้ายก็กัดริมฝีปากตัดสินใจ“ฉันเข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันจะซื้อตั๋วเครื่องบินกลับ”
“โอเค ถึงตอนนั้นฉันจะไปรับเธอที่สนามบิน”
วารุณีตอบอือ ตอบรับไปด้วยรอยยิ้ม
คุยเสร็จ เธอก็ค่อยๆวางโทรศัพท์ลง ไปดูพงศกรที่อยู่ในห้องคนไข้ หลังจากพูดขอโทษเงียบๆแล้ว ก็หันกลับออกไป
พอเกิดเรื่องครั้งที่แล้ว ในใจเธอก็รู้สึกโกรธเขาเล็กน้อย และพอเขาฟื้นมา เธอก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าอย่างไรกับเขา
ดังนั้นเธอตัดสินใจ ยังไม่ต้องไปเจอชั่วคราวดีกว่า รอให้พอลืมเรื่องได้แล้วค่อยว่ากัน จะได้ไม่ต้องอึดอัดมากด้วย
คิดไป วารุณีก็ไปที่เคาน์เตอร์แล้วจัดหาพยาบาลรับจ้างให้พงศกรเสร็จ ก็ไปบอกลาคุณออสติน
พอคุณออสตินรู้ว่าเธอจะไป ก็ยังตั้งใจส่งรถคันหนึ่งไปส่งเธอที่สนามบิน พร้อมช่วยเธอซื้อตั๋วเครื่องบินกลับประเทศด้วย บอกว่าเป็นการขอบคุณที่เธอช่วยเป็นเพื่อนเจ้าสาว ดังนั้นวารุณีเลยไม่ได้รู้สึกกดดันทางใจอะไรนัก
กลับไปถึงประเทศ ในประเทศก็หกโมงเช้าพอดี
ปาจรีย์ขับรถมาที่สนามบิน เห็นแล้วก็ถลาเข้ากอดวารุณี พอกอดเสร็จ ตาก็มองไปที่หลังเธอ
วารุณีรู้ว่าเธอกำลังหาอะไร จึงยกมือขึ้นเขกหัวเธอเบาๆ“พอแล้ว อย่ามองเลย พงศกรไม่ได้กลับมาด้วย”
ได้ยิน สายตาปาจรีย์ก็หม่นลงทันที รอยยิ้มที่ใบหน้าก็จางลงไปไม่น้อย“ทำไมเขาไม่กลับมากับเธอล่ะ?เพราะรู้ว่าฉันจะมารับเธอเหรอ?”
“ไม่ใช่ เขามีเรื่องที่ต่างประเทศนิดหน่อย”วารุณีตอบกลับด้วยแววตาเป็นประกาย
เธอไม่คิดจะบอกปาจรีย์ ว่าพงศกรเป็นเพราะสาเหตุสุขภาพ เลยไม่ได้กลับมาด้วย
ไม่งั้นปาจรีย์จะต้องรีบไปหาพงศกรที่ต่างประเทศทันทีแน่ และพงศกรก็ไม่ได้อยากเจอปาจรีย์นัก ถึงตอนนั้นที่เจ็บจะเป็นปาจรีย์เอง
“เหรอ งั้นก็ดี แค่ไม่ได้หลบฉันก็พอ”ความผิดหวังของปาจรีย์หายไป ใบหน้ามีรอยยิ้มที่สดใสอีกครั้ง
วารุณีถอนหายใจข้างในใจ อยากถามมากว่าระหว่างเธอกับพงศกร เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพงศกรถึงได้คอยหลบหลีกเธอขนาดนี้
แต่สุดท้าย ก็ทำลายความคิดนี้ลงไป
“โอเคปาจรีย์ พวกเราไปกันเถอะ กลับไปโรงพยาบาลก่อน ฉันคิดถึงลูกแล้ว”วารุณีจับที่ลากของกระเป๋าที่อยู่ข้างตัว แล้วเปลี่ยนหัวเรื่อง
ปาจรีย์พยักหน้า ช่วยเธอถือกระเป๋า จากนั้นขับรถไปส่งเธอที่โรงพยาบาล
หลังจากส่งวารุณีที่โรงพยาบาลแล้ว ปาจรีย์ก็ไป ที่สตูดิโอยังมีงานกองใหญ่ รอเธอไปจัดการอยู่
วารุณีลากกระเป๋าลากไปคนเดียว ถือกระเป๋ามาที่ห้องคนไข้
ตอนนี้วรยาไปส่งไอริณที่โรงเรียนอนุบาลแล้ว ในห้องคนไข้จึงมีแค่อารัณคนเดียว และพยาบาลรับจ้างก็ไปซื้อข้าว
วารุณีบิดประตูห้องคนไข้แล้วเดินเข้าไป อารัณกำลังนั่งก้มหน้าลงดูการ์ตูนอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงเปิดประตู เขาเงยหน้าอย่างระวังตัว มองเห็นคนที่เข้ามาคือวารุณี ดวงตาก็เป็นประกายทันที
“หม่ามี๊!”อารัณเปิดผ้าห่มด้วยมือข้างเดียว กระโดดลงจากเตียงทันที ก้าวเท้าเล็กๆวิ่งไปตรงหน้าวารุณี เงยหน้าเล็กๆมองไปที่แม่อย่างดีใจ“หม่ามี๊หม่ามี๊กลับมาแล้ว!”
“เด็กคนนี้นี่ ทำไมไม่สวมรองเท้า”วารุณีทิ้งกระเป๋าลาก ก้มเอวอุ้มลูกชายขึ้นมา เดินไปที่เตียงคนไข้
หลังจากวางลูกชายลงบนเตียงแล้ว วารุณีก็ยื่นนิ้วมือชี้หน้าผากของลูกชาย“แล้วก็นะ ทำไมกระโดดลงมาเลยล่ะ ถ้าล้มจะทำอย่างไร?”
อารัณแลบลิ้นออกมา“ขอโทษครับหม่ามี๊ ผมเห็นหม่ามี๊แล้วดีใจไปหน่อย ต่อไปผมไม่ทำแล้วครับ!”
เพื่อพิสูจน์ว่าที่ตัวเองพูดเป็นความจริง เขาจึงยกนิ้วสั้นๆขึ้นมาสามนิ้ว ทำท่าเป็นสาบาน
วารุณีตลกกับที่เขาเล่นแบบนี้ ความโมโหก็หายใจ สองมือจับหน้าของเจ้าเด็กตัวน้อยแล้วถูไถไปมา“ลูกนี่นะ!”
“หม่ามี๊ เจ็บ!”ปากเล็กๆของอารัณถูกจับก็ทำปากมุ่ยขึ้นมา
วารุณีร็สึกถึงความน่ารัก จึงก้มหน้าจุ๊บไปที่หน้าเขาหลายที
อารัณถูกจุ๊บจนหัวเราะอย่างคิกคัก
ตอนนี้เอง พยาบาลรับจ้างก็กลับมา ในมือถือปิ่นโตเก็บความร้อนอันหนึ่ง
มองเห็นวารุณี พยาบาลรับจ้างตกใจเล็กน้อย“คุณวารุณี”
“พี่กิรณา สองสามวันนี้ลำบากพี่แล้วนะคะ”วารุณีพยักหน้ายิ้มให้เธอ
พยาบาลรับจ้างส่ายมือ“ไม่เลยๆ คุณวารุณีกินข้าวหรือยังคะ?”
“ฉันกินบนเครื่องบินแล้วค่ะ”วารุณีปล่อยหน้าเล็กๆของอารัณแล้วตอบ
อารัณได้รับอิสระ ก็เข้าไปในผ้าห่มทันที
พยาบาลรับจ้างวางโต๊ะกินข้าวบนเตียงเขาลงมา จากนั้นหยิบอาหารเช้าจากปิ่นโตเก็บความร้อนมาวางด้านบนอีกครั้ง ให้เขากินข้าว
อารัณหยิบช้อนขึ้นมาแล้ว ก็เริ่มกินอย่างเชื่อฟัง โดยไม่ให้ใครต้องเป็นห่วง
วารุณีนั่งอยู่ข้างๆ มองเขากินด้วยสายตาเอาอกเอาใจ แล้วก็ใช้ทิชชูเช็ดน้ำมันที่มุมปากให้เขา
“คุณวารุณี ดื่มน้ำหน่อยนะคะ”พยาบาลเทน้ำแก้วหนึ่งให้วารุณี
วารุณีวางทิชชูลงแล้วรับแก้วน้ำมา“ขอบคุณค่ะพี่กิรณา”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก”พยาบาลรับจ้างยิ้มให้ จากนั้นจึงพูดว่า“คุณวารุณี ตอนที่ฉันเพิ่งกลับมา เห็นแพทย์เจ้าของไข้ของอารัณ คุณหมอบอกว่าอารัณออกจากโรงพยาบาลได้แล้วค่ะ ที่จริงฉันจะรอให้คุณหญิงวรยามา แล้วบอกคุณหญิงวรยา ตอนนี้คุณกลับมาแล้ว ฉันเลยมาบอกคุณค่ะ”
“ฉันเข้าใจแล้ว งั้นตอนนี้ฉันจะไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้อารัณค่ะ”วารุณีเอาแก้วน้ำวางไว้ด้านข้าง
อารัณได้ยินว่าตัวเองจะได้ออกจากโรงพยาบาล ก็ตบโต๊ะอย่างดีใจ“ดีจัง ในที่สุดก็ได้กลับบ้านแล้ว”
วารุณีก็รู้ว่าเด็กคนนี้อยู่โรงพยาบาลจนเบื่อ ยื่นมือไปบิดจมูกของเขา แล้วหยิบแฟ้มประวัติคนไข้ของเขาออกไป
หลังจากทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเสร็จ วารุณีมองเวลา และเตรียมกลับไปห้องคนไข้
ตอนที่เธอเพิ่งจะเดินเข้าไปในลิฟต์ ในลิฟต์ก็มีร่างที่สวมชุดกาวน์สีขาวออกมา แล้วชนเธอเข้าไปเต็มๆ
วารุณีไม่ทันระวัง ถูกชนจนถอยหลังไปหลายก้าวถึงจะยืนอย่างมั่นคงได้ เอกสารต่างๆในมือก็ตกไปที่ฟื้น
คนนั้นก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ถูกชนจนถอยหลังไปสองก้าว แว่นตาตกไปที่พื้น
คนนั้นรีบก้มเอวลงไปเก็บแว่นตาขึ้นมา เช็ดอย่างลวกๆแล้วสวมเข้าไป จากนั้นโค้งคำนับขอโทษวารุณี“ขอโทษครับๆ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
วารุณีกำลังย่อตัวที่พื้นไปเก็บเอกสาร ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเงยขึ้นมอง ใบหน้ามีความตกใจออกมา“คุณหมอพิชิต?”
พิชิตก็คิดไม่ถึงว่าที่ชนกับตัวเองจะเป็นวารุณี จึงขยับแว่นตาแล้วหัวเราะ“คุณเอง บังเอิญจริงๆ”
“บังเอิญมากค่ะ ทำไมคุณหมอพิชิตถึงอยู่นี่ได้ล่ะคะ?”วารุณียืนขึ้นมา มองเขาสวมเสื้อกาวน์สีขาวของโรงพยาบาลอื่น ถามอย่างแปลกใจ
พิชิตเอามือก่ายหน้าผาก“ผมมาจองกระจกตาล่วงหน้าที่นี่ครับ”
“กระจกตา?”วารุณีกะพริบตา
พิชิตยกมือขึ้นออกด้านข้าง“ใช่ครับ คนไข้คนหนึ่งที่ดื้อ จะลูกถ่ายกระจกตาที่ตัวเธอเองหาให้ได้ แต่ไม่ยอมพูดว่าเจ้าของกระจกตาเป็นใคร หมดหนทาง ผมได้แต่จองกระจกตาสำรองล่วงหน้าไว้กับโรงพยาบาลอื่น ถ้ากระจกตาที่เธอชอบถูกคนอื่นใช้ไป เธอจะได้มีทางเลือกอื่น”
“นั่นก็ดื้อจังเลยนะคะ แต่ว่ากระจกตาก็เป็นแค่ชั้นใสๆชั้นหนึ่งเท่านั้น ทุกคนก็เหมือนกันหมด คนไข้คนนั้นที่คุณพูด ทำไมถึงต้องจู้จี้ด้วยนะ?”วารุณีเสยผมขึ้นไป ดูไม่ค่อยเข้าใจ
พิชิตถอนหายใจอย่างปวดหัว“ใครจะไปรู้ล่ะว่าเธอคิดอย่างไร ไม่พูดถึงเธอแล้ว แล้วทำไมคุณวารุณีถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับ?”
“ลูกชายฉันอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ค่ะ”วารุณีชูเอกสารในมือแล้วตอบ
ตบหน้าผาก“อ้อ ผมนึกออกแล้ว ผมเคยได้ยินมารุตบอกว่า ลูกชายคุณประสบอุบัติเหตุ เขาไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”วารุณีส่ายหน้า
พิชิตยิ้มโชว์ฟันขาว“งั้นก็ยินดีด้วยจริงๆนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”วารุณีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ยอมรับการแสดงความยินดีจากเขา จากนั้นก็ขอตัวลาก่อน
เธอออกไป พิชิตก็มองเห็นด้านหลังตำแหน่งที่เธอเพิ่งยืน ทิ้งเอกสารใบหนึ่งไว้