“ไม่เป็นไรค่ะ”วารุณียิ้ม ลุกขึ้นจากขาของเขา“เมื่อกี๊ขอบคุณประธานนัทธีที่ดึงฉันไว้นะคะ ไม่งั้นฉันก็ชนแล้ว”
“คนที่ขับรถน่ะมีปัญหา คุณไม่ต้องขอบคุณหรอก”นัทธีเปิดหน้าต่างรถเล็กน้อย
วารุณีลูบแก้มที่ชนจนเจ็บเมื่อกี๊“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คุณก็ช่วยฉันไว้ เดี๋ยววันไหนฉันเลี้ยงข้าวคุณนะคะ?”
“กินข้าว?”นัทธีเลิกคิ้ว
วารุณีตอบอือ“ขอบคุณที่คุณเพิ่งช่วยฉัน รวมทั้งเรื่องที่ให้ฉันยืมเงิน”
นัทธีหัวเราะเบาๆ“โอเค”
“งั้นก็ตามนี้นะคะ รอช่วงนี้ฉันว่างก่อน แล้วฉันจะโทรหาประธานนัทธี”วารุณีทำท่าโทรศัพท์
นัทธีพยักหน้าเบาๆ“ได้”
แป๊บเดียว ก็ถึงที่หมายของวารุณี
เธอลงจากรถ โบกมือให้นัทธี หลังจากบอกลา ก็หันกลับเดินไปที่อาคารออฟฟิศ
กลับไปที่สตูดิโอ วารุณีไปดูอารัณที่ห้องทำงานของตัวเองก่อน
ตอนนี้อารัณกำลังนอนหลับบนโซฟา บนตัวมีผ้าห่มผืนหนึ่งคลุมไว้ ผ้าห่มผืนนั้นเลื่อนลงตามท้องเล็กๆของเขา ปากกำลังขมุบขมิบ ไม่รู้ว่าฝันหวานอะไร น่ารักมาก
วารุณีก้มหน้าลงอย่างทนไม่ไหว จูบไปที่หน้าผากของอารัณ หลังจากยิ้มอย่างอบอุ่น ก็เอาผ้าห่มดึงขึ้นไปให้เขา ลูบหน้าเล็กๆของเขา แล้วจึงวางกระเป๋าที่ไหล่ลง ไปห้องข้างๆ
วารุณีเพิ่งเปิดประตูของห้องทำงานข้างๆ ก็ได้ยินเสียงของแตก
เธอตกใจ เท้าที่ก้าวออกไป อดไม่ได้ที่จะชักกลับคืน
“ปาจรีย์ นี่เธอทำอะไร?”วารุณีมองแก้วชาที่แตกที่พื้น ขมวดคิ้วถาม
ปาจรีย์ได้ยินเสียงของเธอ ก็ยืนขึ้นมาจากเก้าอี้ทำงาน พยายามระงับอารมณ์โกรธ ตอบกลับด้วย“วารุณี เธอกลับมาแล้วเหรอ”
วารุณีพยักหน้าเดินเข้าไป“นี่เธอเป็นอะไรไป ใครทำเธอ?”
“ก็เรื่องผ้าแหละ”ปาจรีย์กุมหน้าผากไว้
วารุณีหยิบไม้กวาดจากมุมห้องขึ้นมา มองเศษแก้วที่พื้นไป ก็พูดไปด้วยว่า“เรื่องผ้า ก็ส่งข้อความไปให้เธอแล้ว ให้เธอหาโรงงานผ้าใหม่หาหรือยัง?”
“ฉันรู้แล้ว ฉันหาแล้ว แล้วยังไปจองผ้าเองด้วย จากนั้นตอนที่กลับมา ฉันก็ไปโรงงานผ้าที่ร่วมมือกับพวกเรา เธอเดาสิเป็นไง?”
ปาจรีย์กำฝ่ามือด้วยความโมโห“ผู้จัดการของพวกเขา จู่ๆก็มัดผ้าไว้ไม่ให้พวกเรา!เครื่องจักรพังอะไรกันล่ะ โกหกทั้งนั้น!”
ได้ยิน วารุณีก็หยุดการกระทำในมือ สายตาเย็นชาขึ้นมา
อย่างที่ตัวเองคาดไว้เลย
ไม่โรงงานผ้าไม่ให้ผ้าเอง ก็คงเอาผ้าของพวกเธอไปให้เจ้าอื่น
“พวกเขาได้บอกไหม สาเหตุที่ทำแบบนี้?”วารุณีเม้มปาก
ปาจรีย์ส่ายหน้า“ไม่ พวกเขาแค่บอกว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาให้ผ้า รอถึงวันสุดท้ายของสิ้นเดือน พวกเขาค่อยส่งมาให้พวกเรา”
“เหอะ ค้างไว้วันส่งผ้าวันสุดท้ายคงเอาผ้าให้พวกเรา นี่มันไม่อยากให้พวกเราผลิตผ้าชัดๆ”วารุณีกำด้ามไม้กวาดไว้แน่น น้ำเสียงเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง
ปาจรีย์กลับไปนั่งบนเก้าอี้“ไม่ใช่เหรอไง แต่พวกเราก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ เพราะว่าพวกเขาทำแบบนี้ ก็ไม่ได้ผิดกฎสัญญา โกรธจะตายอยู่แล้ว แล้วเมื่อกี๊ยังโทรมาเตือนฉันอีกว่า อย่าไปเร่งพวกเขาอีก เร่งก็ไม่ได้ ห่า นี่มันบ้าอะไร!”
เธอตบโต๊ะด้วยความโกรธ
วารุณีเก็บเศษแก้วเสร็จ ก็เอาไม้กวาดเก็บไปที่มุมห้อง“พวกเรากลับประเทศมาก็ร่วมมือกับโรงงานผ้านี้ หนึ่งเดือนกว่านี้ ก็ส่งผ้าตรงเวลาทุกครั้ง ยกเว้นครั้งนี้ที่มีผ้าแต่ไม่ให้ ท่าทีเย่อหยิ่งมาก เห็นได้ชัดเจนว่ามีคนสั่งให้โรงงานผ้าพุ่งเป้าหมายมาที่เรา”
ได้ยินคำนี้ ปาจรีย์ก็ตะลึงงันไปหมด“ใครเหรอ?คงไม่ใช่พิชญาหรอกนะ?”
วารุณีส่ายหน้า“ไม่รู้ เป็นไปได้ที่จะเป็นเธอ และก็เป็นไปได้ที่จะเป็นเป้าหมายจากสตูดิโออื่น ช่วงนี้สตูดิโอพวกเราพัฒนาไปไกลมาก”
“เธอพูดแบบนี้ก็ถูก หลังจากผ่านBath fire rebirth สตูดิโอของพวกเราก็มีออเดอร์เพิ่มขึ้นหลายเท่า แย่งงานของสตูดิโออื่นไปเยอะ ก็เป็นไปได้ที่พวกเขาจะพุ่งเป้ามาที่พวกเราจริงๆ”ปาจรีย์ลูบคางแล้วพูด
วารุณีถอนหายใจ ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งนั่งลงไป“แต่ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลจากไหน พวกเราก็ต้องป้องกันไว้ อีกอย่างโรงงานผ้าที่พวกเราร่วมมือนี้ รอสิ้นเดือนพวกเขาส่งผ้ามา ค่อยยุติสัญญาละกัน”
“แน่นอน”ปาจรีย์ไม่มีข้อคัดค้าน
วารุณียื่นบัตรแบล็คการ์ดนัทธีไปให้“เธอไปจ่ายบิลผ้าที่เพิ่งจองไว้ดีกว่า จากนั้นรีบขนผ้ากลับมา จะได้ไม่มีข้อผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นอีก”
“โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ แล้วก็จะได้แอบส่งสายลับไปที่พิชญากับสตูดิโอพวกนั้นด้วย ดูว่าใครกันแน่ที่พุ่งเป้าหมายมาที่เรา รอฉันแน่ใจก่อนเถอะ ไม่ปล่อยเขาไว้แน่ ไม่งั้นอย่ามาเรียกฉันว่าปาจรีย์!”ปาจรีย์หยิบบัตรไป สะพายกระเป๋าออกไป
วารุณีหัวเราะ และก็ไม่ได้อยู่ในห้องทำงานของเธอนานนัก หยิบข้อมูลฉบับหนึ่งจากโต๊ะทำงานแล้วออกไป
วันถัดมา กินข้าวเช้าเสร็จ วรยาต้องกลับต่างประเทศแล้ว
วันนี้เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ วารุณีทิ้งเด็กสองคนไว้ที่อพาร์ทเม้นท์ ส่วนตัวเองไปส่งวรยาที่สนามบิน ตอนที่เพิ่งออกมาจากอาคารอพาร์ทเม้นท์ สองแม่ลูกก็เห็นเบนซ์คันหนึ่งจอดหน้าประตู
บนประตูรถเบนซ์มีชายคนหนึ่งพิงอยู่ ชายหนุ่มสวมชุดลำลองสบายๆอย่างธรรมดา ใส่แว่นกรอบทอง ใบหน้ามีรอยยิ้มที่อบอุ่น เหมือนคุณชายที่แสนอ่อนโยนจากภาพวาด
“พงศกร คุณมาได้ไงเนี่ย?”วรยามองพงศกรอย่างแปลกใจ
พงศกรมองไปที่วารุณีก่อน พยักหน้าเล็กน้อยให้วารุณีแล้ว จึงตอบวรยาไปว่า“รู้ว่าวันนี้คุณป้าจะไป ก็เลยตั้งใจมาส่งคุณป้าครับ”
“ที่แท้ก็แบบนี้ งั้นก็ดี จะได้ไม่ต้องเรียกรถ”วรยาเอามืออุดปากหัวเราะ
พงศกรเปิดประตูรถ ทำท่าเชิญ“ขึ้นรถเถอะครับคุณป้า”
“โอเคๆๆ”วรยาพยักหน้าไปมาแล้วดึงวารุณีขึ้นรถ
พงศกรช่วยสองแม่ลูกปิดประตูรถ เอากระเป๋าเก็บไปที่ท้ายรถ แล้วค่อยขึ้นไปนั่งที่นั่งคนขับ ขับรถไปสนามบิน
หนี่งชั่วโมงถัดมา ก็ถึงสนามบิน
วรยารับบอร์ดดิ้งพาสมาไม่นาน ก็มีประกาศแจ้งว่าไปตรวจตั๋วขึ้นเครื่องได้แล้ว
วารุณีส่งวรยาไปที่หน้าทางเข้าตรวจตั๋ว“แม่ ถึงต่างประเทศแล้วโทรหาฉันนะ”
“แม่รู้แล้ว วางใจเถอะ รอน้องชายลูกดีขึ้น แม่ค่อยกลับมาอีก”วรยารับด้ามจับกระเป๋าเดินทางที่พงศกรยื่นมาแล้วพูด
“คุณป้ายังมีอะไรที่ยังไม่ทำไหมครับ?”พงศกรยืนอยู่ข้างวารุณีพูดด้วยเสียงอบอุ่น
วรยาหัวเราะตอบว่า“ไม่มีแล้ว เดิมทีกลับมาครั้งนี้ ว่าจะกลับมาบ้านเกิดสักหน่อย ซ่อมแซมบ้านเก่า แต่อารัณกับวารุณีเกิดเรื่องติดๆกัน ป้าเลยไม่มีเวลากลับไป ได้แต่ครั้งหน้าแล้วแหละ”
“ขอโทษนะแม่”วารุณียกมุมปากขึ้นอย่างรู้สึกแย่
วรยาปล่อยที่จับกระเป๋าเดินทางลง มือสองข้างลูบหน้าของเธอ“เด็กโง่ ขอโทษอะไรกันล่ะ โอเค แม่ไปแล้ว วารุณี ดูแลลูกสองคนดีๆนะ”
“อือ”วารุณีพยักหน้า
วรยาเอามือลง ลากกระเป๋าเดินทางต่อแถวเข้าที่ตรวจตั๋ว
แป๊บเดียว ร่างของเธอก็ลดลงไปตามแถว หายไปไม่เห็นอีก
“ตอนนี้คุณป้าน่าจะขึ้นเครื่องบินแล้ว วารุณี พวกเราไปกันเถอะ”พงศกรหันไปมองผู้หญิงข้างๆ
วารุณีตอบรับ ตามหลังเขาออกจากสนามบิน
“แล้วจะไปไหนต่อ?”ขึ้นรถมา พงศกรรัดเข็มขัดนิรภัยไป ก็มองไปที่วารุณีที่รัดเข็มขัดนิรภัยเหมือนกัน ตรงที่นั่งข้างคนขับ
หลังจากวารุณีรัดเข็มขัดนิรภัยแล้ว ก็ยกข้อมมือมาดูนาฬิกา“กลับอพาร์ทเม้นท์เถอะ อารัณกับไอริณยังรออยู่นะ”
“โอเค”พงศกรสตาร์ทรถ
บนถนน จู่ๆวารุณีก็คิดอะไรขึ้นได้ หันหน้าไปมองเขา“ใช่สิพงศกร คุณกลับมาเมื่อไหร่เหรอ?”