นวิยาสวมชุดคนไข้สีขาวฟ้า โบกมือยิ้มให้วารุณี“คุณวารุณี สวัสดีตอนกลางคืนค่ะ”
“สวัสดีตอนกลางคืนค่ะ”วารุณียิ้มกลับไป จากนั้นจึงถาม“คุณนวิยามีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ฉันได้ยินพิชิตบอกว่าคุณหมอพงศกรประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็เลยมาดูสักหน่อย ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่รบกวนคุณหมอพงศกรใช่ไหมคะ?”นวิยามองไปด้านหลังของเธอ
“ไม่ค่ะ พงศกรยังไม่ฟื้นเลยค่ะ คุณนวิยาเข้ามาสิคะ”วารุณีปล่อยที่จับประตูออก หันข้างเปิดทางให้นวิยา
นวิยาพยักหน้า พูดขอบคุณแล้วเข้าไป
วารุณีปิดประตู ตามอยู่หลังเธอ
นวิยาไปที่ข้างเตียงเลย ส่วนวารุณีไปกดน้ำที่เครื่องกดน้ำตรงมุมห้อง
กดน้ำเสร็จ วารุณีก็กลับมาที่ข้างกายนวิยา เอาแก้วน้ำที่ใช้ครั้งเดียวยื่นให้เธอ“คุณนวิยาเชิญค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”นวิยารีบรับไว้ด้วยรอยยิ้ม แต่สายตา กลับมีประกายรังเกียจแวบเข้ามาอย่างรวดเร็ว
วารุณีไม่เห็น ก็ส่ายมือ“ไม่ต้องเกรงใจค่ะ เชิญคุณนวิยานั่งเถอะค่ะ”
“โอเคค่ะ”นวิยาตอบรับไป เอาแก้วน้ำวางไว้ข้างๆแล้วนั่งลง ไม่มีความคิดว่าจะดื่มน้ำอย่างชัดเจน
วารุณีก็ไม่คิดมาก แค่คิดว่าเธอไม่กระหาย ไม่ดื่มก็ปกติ
“คุณวารุณี คุณหมอพงศกรไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”นวิยามองพงศกรที่หน้าซีดขาว เจาะสายน้ำเกลืออยู่บนเตียงแล้วถามขึ้นมา
วารุณีส่ายหน้า“ไม่ค่ะ แค่ต้องนอนพักเดือนสองเดือน”
“งั้นดูเหมือนว่าต่อไปคุณหมอพงศกร ก็จะหมดหนทางรับหน้าที่เป็นหมอประจำตัวของฉันได้แล้วสินะคะ”นวิยาถอนหายใจ บนใบหน้าที่ดูป่วยซีดเซียวนั้น แสดงความสูญเสียออกมา
วารุณีก็ดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลง“คุณนวิยาชอบให้พงศกรรักษาอาการป่วยมากเหรอคะ?”
“ก็ประมาณนั้นค่ะ เขามีเทคนิครักษาที่ดีมาก ช่วงนั้นที่ฉันเพิ่งฟื้นมาก็ปวดศีรษะได้ทุกวัน แต่พอตั้งแต่เขาผ่าตัดให้ฉัน ฉันก็ไม่เจ็บปวดศีรษะอีกต่อไปค่ะ ฉันเดินได้ไวขนาดนี้ ก็เป็นเพราะคุณงามความดีของเขาเลย นอกจากนี้ เขาก็เป็นพันธมิตรที่ดีมากด้วย”
นวิยาดึงผ้าห่มให้พงศกร
วารุณีมองการเคลื่อนไหวของเธอ แล้วคิ้วก็ขมวดลง“พันธมิตร?คุณนวิยา คุณมีความร่วมมือกับพงศกร?”
“ใช่ค่ะ”นวิยาพยักหน้า
วารุณีก็ยิ่งแปลกใจ กัดริมฝีปาก“ฉันถามได้ไหมคะว่าความร่วมมืออะไร?”
พวกเขาคนหนึ่งเป็นหมอ อีกคนเป็นคนไข้
เธอจินตนาการไม่ได้จริงๆว่า พวกเขาจะร่วมมืออะไรกันได้
สายตานวิยามีประกายแวบเข้ามา ใบหน้าดูลำบากใจเล็กน้อย“กลัวว่าคงไม่ได้ค่ะ นี่เป็นความลับของฉันกับคุณหมอพงศกร แต่ว่าต่อไปคุณวารุณีก็จะรู้เองค่ะ ถึงตอนนั้นคุณจะต้องตกใจ และก็จะได้รู้จักกับคุณหมอพงศกรที่ไม่เหมือนเดิม”
“อ้อ?”วารุณีเลิกคิ้ว รู้สึกว่าคำพูดของเธอมีอะไรแฝงไว้ และยังใช้น้ำเสียงแปลกๆอีก
ภาพลวงตาเหรอ?
วารุณีก้มหน้าลงอย่างครุ่นคิด
นวิยาเห็นจู่ๆเธอก็ซึมลงไป ยกมุมปากขึ้น เอาหน้าเข้าไปใกล้“คุณวารุณีกำลังคิดอะไรอยู่คะ?”
วารุณีได้สติคืนมา ก็เห็นใบหน้าใหญ่ๆของนวิยาเข้ามาในสายตา ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ตัวสั่น แป๊บหนึ่งถึงจะฟื้นคืนกลับมาได้ ฝืนยิ้มตอบไปว่า“ไม่มีอะไรค่ะ”
“โอเคค่ะ คุณวารุณีไม่ยอมพูดงั้นก็ช่าง ดึกมากแล้ว ฉันก็ควรกลับไปได้แล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวพิชิตมาตรวจห้องเห็นว่าฉันไม่อยู่ จะโดนด่าได้ค่ะ”นวิยายิ้มอย่างทุกข์ใจ จับขอบเตียงแล้วยืนขึ้นมา
วารุณีก็ลุกขึ้นตาม“เดี๋ยวฉันไปส่งคุณ”
นวิยาไม่ปฏิเสธ
วารุณีส่งเธอด้านนอกประตู
เธอจับกำแพง ค่อยๆเดินไปข้างหน้าช้าๆ
เดินไปได้สองสามก้าว จู่ๆวารุณีก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เรียกเธอไว้“คุณนวิยา”
นวิยาได้ยิน ก็หันหน้าไปมองเธอ“คุณวารุณียังมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
วารุณีกำฝ่ามือไว้“คือแบบนี้ค่ะ เมื่อวานฉันใช้โทรศัพท์ของประธานนัทธี คุยโทรศัพท์ไปครั้งหนึ่งกับคุณใช่ไหมคะ ฉัน……”
“ฉันรู้ว่าคุณจะพูดอะไร”นวิยาตัดบทเธอด้วยรอยยิ้ม“นัทธีเคยอธิบายกับฉันแล้ว วางใจเถอะค่ะ ฉันไม่ติดใจเอาความแล้ว”
ได้ยิน วารุณีก็โล่งอก ในใจก็สบายใจขึ้นมา
แต่แป๊บเดียว รอยยิ้มที่ใบหน้านวิยากลับเก็บไปอย่างรวดเร็ว เสียงไม่อ่อนโยนขนาดนั้น“แต่ว่าคุณวารุณี คนเราควรจะสำเหนียกตัวเอง ในเมื่อคุณรู้ว่าสถานการณ์ของฉันกับนัทธี ก็ควรจะรักษาระยะห่างกับนัทธี ถึงฉันจะนิสัยอ่อนโยน แต่ฉันก็อิจฉาเป็น ดังนั้น……”
เธอหรี่ตาลง“ฉันก็รับประกันไม่ได้ว่า ฉันจะทำอะไรคุณวารุณีอีกไหมถ้าฉันหึง ดังนั้นคุณวารุณี ฉันหวังว่าต่อไปจะไม่เข้าใกล้นัทธีอีก เข้าใจไหม?”
วารุณีตะลึงสักพัก จากนั้นก็อ้าปาก รีบอธิบาย“คุณนวิยาเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่เคยเข้าใกล้ประธานนัทธีเองเลยนะคะ”
“ฉันรู้ว่าคุณไม่ แต่คุณมักจะอยู่กับนัทธี ไม่ใช่เรื่องจริงหรือไง?”นวิยาเพ่งมองเธอ เหมือนว่าจะดูอะไรได้จากใบหน้าเธอ
ภายใต้สายตาแบบนี้ของนวิยา วารุณีก็รู้สึกจุก จู่ๆก็พูดอะไรไม่ออก
เพราะว่าเธอไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ช่วงนี้เธอกับนัทธีเข้าใกล้กันมากจริงๆ
ถึงแม้ทุกครั้งจะเป็นการเจอโดยบังเอิญ แต่พอได้เจอแล้ว ก็ยากที่จะเลี่ยงให้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันได้
นวิยาเห็นวารุณีก้มหน้าลงอย่างสำนึกตัวเอง ก็ละสายตาออกไปเบาๆ“คุณวารุณี ในเมื่อคุณคิดว่าฉันพูดเป็นเรื่องจริง งั้นคุณก็กรุณาทำตามที่ฉันเพิ่งพูดไป อนาคตจะได้ไม่ต้องเสียใจ”
พูดคำนี้จบ เธอก็หันกลับไป จับกำแพงไว้แล้วเดินที่ลิฟต์ต่อ
วารุณีเม้มริมฝีปากมองแผ่นหลังของเธอ สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก
คำพูดสุดท้ายของเธอเป็นการข่มขู่?หรือว่าเตือน?
บางทีอาจจะทั้งสองอย่าง!
วารุณีละสายตาลง ในใจรู้ดีว่า ไม่ว่าจะแบบไหน ตัวเองก็ควรอยู่ให้ห่างจากนัทธีหน่อยจริงๆ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ตัวเองจะพูดแบบนี้ทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำได้จริงๆเสียที ยืนหยัดได้ไม่นานก็ถูกทำลายลง
แต่ครั้งนี้ เธอพูดอะไรก็ต้องทำให้ได้แล้ว จะปล่อยมันไปไม่ได้อีกแล้ว พิชญาคนเดียวก็เพียงพอที่เธอจะรับมือแล้ว
ถ้ามีนวิยามาอีกคน งั้นชีวิตต่อไปของเธอ ก็คงจินตนาการได้ว่าจะอันตรายมากแค่ไหน
วารุณีถอนหายใจยาว ปิดประตูห้องคนไข้แล้วกลับไป
ในขณะเดียวกัน ประตูห้องน้ำก็เปิดออก อารัณจูงไอริณที่สะลึมสะลือออกมาจากด้านใน
วารุณีเข้ามา อุ้มไอริณขึ้นมา ตบหลังเธอเบาๆ กล่อมให้เธอหลับ
อารัณยืนอยู่ตรงหน้าวารุณี เงยหน้าเล็กๆขึ้นมามองเธอ“หม่ามี๊ คุณน้าเมื่อกี๊ไปยังครับ?”
“ไปแล้ว”วารุณีก้มหน้าลงมองเขา มองเห็นความไม่พอใจบนใบหน้าเขา ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างทนไม่ไหว“ลูกรัก ลูกไม่ชอบคุณน้าเมื่อกี๊เหรอ?”
อารัณย่นจมูกลง“อือ ไม่ชอบครับ”
“ทำไมล่ะ?”วารุณีวางไอริณที่หลับแล้วบนโซฟา
อารัณปีนขึ้นบนเก้าอี้แล้วนั่งลง“ไม่รู้ แต่ยังไงผมก็ไม่ชอบ”
“โอเค”เห็นเขาบอกสาเหตุไม่ได้ วารุณีก็ไม่ถามอะไรอีก
ไม่ชอบก็ไม่ชอบ
ยังไงเด็กน้อยก็ไม่ได้เจอนวิยาอีก
“ลูกรัก ง่วงเหรอ?”วารุณีหยิบผ้าห่มผืนหนึ่งมา ห่มให้ไอริณ ก็ไม่ลืมที่จะหันไปถามอารัณ
อารัณส่ายหัวเล็กๆ สื่อว่าไม่ง่วง
วารุณีก็ไม่สนเขาอีก หยิบโทรศัพท์ออกมานั่งลงข้างไอริณ เปิดอินเทอร์เน็ต
ผ่านไปประมาณสองชั่วโมง ปาจรีย์ก็ถือถุงเล็กถุงใหญ่กลับมา
วารุณีเก็บโทรศัพท์ ช่วยเธอวางถุงเล็กถุงใหญ่พวกนั้นลง
ทำพวกนี้เสร็จ วารุณีก็เตรียมพาลูกทั้งสองคนกลับไป ยังไงตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ลูกทั้งสองคนต้องนอน
“อ่ะ ให้เธอ”ปาจรีย์ยื่นกุญแจรถให้วารุณี