“คนที่ใกล้ตาย?”ดวงตาวารุณีเบิกขึ้นมาเล็กน้อย
นัทธีตอบอือ“นวิยาพูดเอง อายุขัยของคนนั้น อาจจะอยู่ในสองสามเดือนนี้”
ได้ยิน สายตาวารุณีค่อยๆคืนกลับไปเหมือนทีแรก สุดท้ายหัวใจที่พองโต ก็คืนกลับไปที่เดิม
อายุขัยอีกสองสามเดือน งั้นก็น่าจะเป็นคนที่ป่วยหนัก
ดูเหมือน ทำให้เธอเข้าใจผิดจริงๆ
คิดไป วารุณีจึงก้มหน้าลงอย่างอึดอัด“ขอโทษนะประธานนัทธี ที่เข้าใจคุณนวิยาผิด”
“ไม่เป็นไร ปฏิกิริยาของนวิยาในตอนนั้น ทำให้คนคิดมากได้ง่ายจริงๆ ผมก็เหมือนกัน”สายตานัทธีมองไปที่เธอ สื่อว่าเธอไม่ต้องขอโทษ
วารุณีเงยหน้าขึ้น“ในเมื่อเป็นการเข้าใจผิด งั้นพวกเราไม่ต้องพูดถึงแล้ว ประธานนัทธี ไปก่อนนะคะ”
พูดจบ เธอก็จับมือของลูกสองคน เข้าไปในลิฟต์
นัทธีก็ตามเข้าไป
วารุณีมองเห็น คิ้วก็ขมวด
นัทธีเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเธอ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเธอคิดอะไรอยู่ สายตาหม่นลง พูดว่า“ผมก็ต้องลง”
ความหมายก็คือ หรือว่าเธอยังจะไล่คนที่จะลงไปด้วยกันให้ออกไปอีก?
วารุณีฟังออก แน่นอนว่าไม่ทำแบบนั้น แต่เธอแกล้งทำเป็นเขาไม่อยู่ก็ได้
ดังนั้นวารุณีจูงมือลูกทั้งสองคน จงใจเว้นระยะห่างเล็กน้อยกับนัทธี จากนั้นมองหน้าจอที่แสดงบนลิฟต์ เมินใส่นัทธีโดยสิ้นเชิง
นัทธีก็รู้จุดนี้ ในใจไม่พอใจอย่างมาก อยากจะสารภาพกับเธอจริงๆ ว่าในใจเขาก็มีเธออยู่ เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้
แต่ไม่ได้ คนที่จะฆ่าเธอ ยังหาไม่เจอเลย
ถ้าเขาแสดงความในใจออกมา เธอกับลูกทั้งสองคน ก็จะยิ่งอันตราย
คิดแบบนี้ นัทธีก็หรี่ตาลงอย่างเย็นชา มือที่สอดไว้ในกระเป๋ากางเกง ก็กำแน่นขึ้นมา
ทั้งสองคนไม่พูดกัน ในลิฟต์เงียบมาก มีแค่เสียงลมหายใจบางๆที่พอจะได้ยิน บรรยากาศหดหู่จนเด็กทั้งสองคนประหม่าตาม
จนกระทั่งไปถึงชั้นแล้วเสียงลิฟต์ดังขึ้น ประตูเปิดออก วารุณีจูงลูกสองคนออกไป ลูกทั้งสองก็โล่งอก ผ่อนคลายลง
“เป็นอะไรไปเหรอ?”วารุณีเห็นปฏิกิริยาของลูกทั้งสอง ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย
ลูกสองคนส่ายหน้าไปมา“ไม่มีอะไร หม่ามี๊ พวกเรากลับกันเถอะ”
“อือ กลับบ้าน”วารุณีลูบหัวของพวกเขา พาพวกเขามาที่หน้ารถ ให้พวกเขาขึ้นรถก่อน
พอพวกเขาเข้าไปแล้ว วารุณีจึงเปิดประตูรถที่นั่งคนขับ แต่กลับไม่รีบเข้าไป แล้วหันหน้าไปมอง
ไม่เห็นร่างของนัทธีออกมา ไม่รู้ว่าเขาไปไหน ทั้งๆที่ลงมาด้วยกัน
แต่วารุณีก็ไม่คิดมาก แป๊บเดียวก็ละสายตากลับ ก้มเอวนั่งเข้าไปในรถ ขับรถออกไป
จนรถของเธอออกไปไกล ตอนที่เห็นแค่ไฟท้ายรถ ในที่สุดนัทธีก็เดินออกมาจากประตูใหญ่โรงพยาบาล ในมือถือโทรศัพท์ไว้ ค่อยๆ เอาขึ้นมาแนบหู“เร่งทำการสืบสวน ผมจะให้คุณหาตัวฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังให้เจอ ภายในหนึ่งสัปดาห์”
เขาไม่อยากค่อยๆสืบต่อไปแล้ว
ตอนนี้วารุณีห่างเหินจากเขาแล้วจริงๆ ถ้ายังค่อยๆสืบต่อไปอีก ความรู้สึกของเธอก็จะเบาบางลง
“แต่ว่าประธาน ระดับความยากจะสูงไปไหนครับ เมื่อก่อนพวกเราสืบมาตั้งนานแล้ว ก็ยังหาไม่ได้ตอนนี้หนึ่งสัปดาห์……”มารุตลำบากใจมาก
ริมฝีปากบางๆของนัทธีเม้มแน่น“คุณไปหาคุณปู่บุญชัยได้”
มารุตตาเบิกกว้าง“ประธานนัทธี คุณจะให้ตระกูลมานะโชติมาช่วยเหรอ?”
นัทธีพยักหน้า“ตอนนั้นคุณปู่บุญชัยเป็นหนี้บุญคุณคุณปู่ คุณไปหาเขา เขาต้องช่วยแน่”
“ผมเข้าใจแล้ว มีการสนับสนุนของนายท่านบุญชัยจะต้องหาคนนั้นเจอแน่”มารุตกุมมืออย่างตื่นเต้น
ถึงแม้อิทธิพลของประธานจะใหญ่มาก แต่กลับมีข้อจำกัดอยู่มาก ไม่สามารถสืบหาคนๆหนึ่งได้อย่างลึกซึ้ง ไม่อย่างนั้นจะทำให้เบื้องบนไม่พอใจ
แต่แค่คนที่อยู่เบื้องบนอนุญาต ข้อจำกัดนี้ ก็จะไม่มีแล้ว
โทรศัพท์เสร็จ นัทธีก็ค่อยๆวางโทรศัพท์ลง สุดท้ายจึงมองเส้นทางที่วารุณีขับรถออกไป แล้วจึงหันกลับเข้าไปในโรงพยาบาลอีกครั้ง
พริบตาเดียว ก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
สัปดาห์นี้ วารุณียุ่งจนตัวเป็นเกลียว อยู่สตูดิโอกับโรงงานเพียงแค่สองที่ แม้แต่โรงพยาบาลก็ไม่มีเวลาไป
ไม่ง่ายเลยที่จะทำเสร็จ การแข่งขันชิงโควตาที่สมาคม ในที่สุดก็ได้สิบสี่อันดับสุดท้าย รวมกับเธอและพิชญาในฐานะมือวางอันดับต้นๆเป็นสิบหกอันดับ และในที่สุดก็ถึงการแข่งขันรอบคัดเลือกแปดคนสุดท้าย
การแข่งขันวันนี้ ปาจรีย์ยังเข็นพงศกร ออกมาจากโรงพยาบาลโดยเฉพาะ เพื่อมาเชียร์วารุณี
“วารุณี สู้ๆนะ!”ปาจรีย์ยืนอยู่หลังรถเข็นพงศกร โบกมือให้วารุณี
พงศกรก็ให้กำลังใจด้วยรอยยิ้ม“วารุณี ผมเชื่อว่าคุณจะต้องได้โควตาสุดท้ายมาแน่”
“ขอบคุณนะ ฉันจะตั้งใจอย่างดี”วารุณีพยักหน้าอย่างประทับใจจากนั้นเดินไปที่อาคารสมาคมอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม ภายใต้การสนับสนุนของทั้งสองคน
เดินไปถึงหน้าประตู ก็ชนเข้ากับพิชญาที่เข้ามาจากอีกด้าน
ทั้งสองต่างตกตะลึง
แต่วารุณีได้สติคืนมาก่อน เหลือบมองพิชญานิ่งๆ ไม่คิดจะสนใจเธอ เตรียมจะเข้าไป
อย่างไรก็ตามพิชญากลับเรียกวารุณีไว้“หยุด!”
วารุณีหยุดฝีเท้าลง ก้มหน้ามองพิชญาบนรถเข็น“มีอะไรหรือเปล่า?”
“ฉันเป็นผู้บาดเจ็บ เธอน่าจะให้ฉันเข้าไปก่อนนะ!”พิชญาเงยคางขึ้น พูดด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง
วารุณีกระตุกมุมปากอย่างหมดคำพูด“พิชญา เธอนี่จะแข่งกับฉันไปซะทุกอย่างเลยนะ ตอนนี้แม้แต่ลำดับเข้าประตูก็ยังแย่ง นับวันเธอขะยิ่งแย่ขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ”
“แล้วทำไม แค่ทำให้เธอไม่มีความสุขได้ ฉันก็ดีใจแล้ว”พิชญายิ้มให้เธออย่างภูมิใจ
ใบหน้าเล็กๆของวารุณีหม่นลง“เหรอ งั้นถ้าฉันบอกว่า ฉันไม่ให้เธอเข้าไปก่อนล่ะ?”
“เธอก็ลองดูสิ รอบๆนี้มีแต่นักข่าว เพื่อที่จะดูความคืบหน้าของการแข่งขัน พวกเขาต่างซุ่มอยู่ที่นี่ทุกวัน ถ้าถ่ายรูปดีไซเนอร์ผู้เป็นประธานที่สง่างามของBath fire rebirthได้ว่า ไม่ยอมแม้แต่คนบาดเจ็บคนหนึ่ง เธอว่าเธอจะถูกชาวเน็ตด่าเละเทะขนาดไหน?”พิชญาพูดแล้วยิ้มอย่างเย็นชา
ริมฝีปากแดงๆของวารุณีเม้มเข้า“ที่แท้ก็แบบนี้เอง เธออยากใช้ความเห็นของประชาชนทำให้ฉันต้องยอมถอย”
“ใช่ ชาวเน็ตไม่รู้ความสัมพันธ์ของพวกเรา และก็ยิ่งไม่รู้ว่าพวกเราไม่ถูกกัน พวกเขาเชื่อแค่สิ่งที่พวกเขาเห็น ดังนั้นทำไมฉันต้องไม่ใช้ด้วยล่ะ”พิชญาผายแขนออก
วารุณีกลับต้องยอมรับว่า ที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง
ชาวเน็ต ไม่เคยไปตามหาความจริงของเรื่อง ดีแต่แสดงความเห็นโดยที่ไม่รู้อะไรเลย
ถ้าวันนี้เธอไม่ให้พิชญาเข้าไปก่อนจริงๆ เธอจะต้องถูกชาวเน็ตด่าอย่างแรงแน่ ว่าไม่เคารพคนเจ็บ ทำตัวหยิ่งยโสอะไรพวกนั้น รุนแรงขึ้นมา ก็ยังส่งผลกระทบไม่ดีต่อสมาคม ทำให้สมาคมไม่พอใจได้
“ได้ ฉันจะให้เธอเข้าไปก่อน”วารุณีถอยไปก้าวหนึ่งแล้วยิ้มอย่างเย็นชา หลีกทางตรงหน้าประตู
พิชญาปรับทิศทางของรถเข็น แต่ไม่ได้รีบเข้าไป เงยหน้าทำเสียงฮึดฮัดใส่เธอ“ถ้าไม่ใช่ว่ากลัวเรื่องราวใหญ่โต ฉันจะถูกสมาคมตักเตือนได้ ฉันอยากให้นักข่าวถ่ายภาพที่เธอไม่ยอมคนบาดเจ็บ ให้ชาวเน็ตด่าเธอจริงๆ”
พูดจบ พิชญาจึงควบคุมรถเข็นเข้าไป
วารุณีมองแผ่นหลังของเธอ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ
แม้แต่เข้าประตูไปยังต้องแย่ง ดูเหมือนว่าเข้าไปก่อนก็จำได้ทีหนึ่งซะอย่างนั้น น่าตลกจริงๆ
ส่ายหน้าอย่างทำอะไรไม่ได้ วารุณีถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้า หลังจากปรับสภาพจิตใจแล้ว จึงยกเท้าขึ้น เข้าไปในอาคาร เดินไปตรงสนามแข่ง
ที่จริงแล้วสถานที่ก็คือห้องประชุมของสมาคม เพราะว่ารวมทั้งหมดแล้วมีแค่สิบหกคนที่แข่งขัน ดังนั้นสมาคมจึงออกจากสถานที่แข่งที่ใช้การแข่งขันโดยเฉพาะ มาจัดที่ห้องประชุม
และเพื่อมั่นใจในความเป็นธรรมของรอบชิงชนะเลิศ สมาคมยังเชิญสื่อด้านแฟชั่นหลายสำนัก มาทำการถ่ายทอดสดกระบวนการแข่งขันครั้งนี้ด้วย
หลังจากวารุณีรู้ แววตามีความสดใสแวบเข้ามา มองไปที่พิชญา