วารุณีก้มหน้าขยี้ตา“แห้งมาก และก็คันเล็กน้อย น่าจะเพราะว่าวันนี้โดนควันไฟ”
ตอนที่คานอันนั้นตกลงมา ดวงตาของเธอถูกรมควัน จากนั้นมา ดวงตาก็ไม่สบายมาตลอด
แต่เพราะว่ามีเรื่องให้จัดการเยอะ ดังนั้นเลยไม่มีเวลาสนใจ ทนจนถึงตอนนี้
“ผมดูสิ”พงศกรยื่นมือออกไป
วารุณีคิดว่าเขาก็เป็นหมอ เลยยื่นหน้าเข้าไป
พงศกรเปิดตาของเธอมาดู พูดเสียงหม่น“ตาขาวเหลืองเล็กน้อย ส่วนล่างก็มีอาการแดง น่าจะเพราะว่าโดนควันจนอักเสบ ต้องไปตรวจจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะติดเชื้อและกระจกตาอักเสบได้ง่าย”
“หนักขนาดนี้เลยเหรอ?”วารุณีตกใจคำพูดของเขา
พงศกรปล่อยเธอ“รีบไปเถอะ แล้วรีบกลับมา”
“อือ อารัณกับไอริณก็ฝากคุณหน่อยนะ”วารุณีพยักหน้าแล้วก็กำชับอารัณกับไอริณ ออกจากห้องคนไข้ไปที่แผนกจักษุ
เพราะว่าดึกแล้ว ในแผนกจักษุเลยไม่มีคน วารุณีไปแล้วก็เลยได้ตรวจเลย
หลังจากหมอตรวจเสร็จ ก็พูดเหมือนกับพงศกร ดวงตาโดนควันจนอักเสบ ต้องหยอดยาหยอดตาหลายชนิด
วารุณีหยอดตาหยอดตาเสร็จ ก็ถือถุงเล็กๆที่ใส่ยาหยอดตาเตรียมกลับไปที่ห้องคนไข้
คิดไม่ถึงว่า พอออกมาจากประตูแผนกจักษุ ก็เจอนัทธีกับนวิยา
นัทธีประคองนวิยาเดินมาทางนี้ เดินมาใกล้ ทั้งสองก็เห็นวารุณี และก็ตกใจเล็กน้อย
“คุณวารุณี บังเอิญจัง!”นวิยาหยุดฝีเท้าลง ยิ้มและทักทายวารุณีก่อน
ถึงนัทธีจะไม่พูด แต่สายตากลับเอาแต่จ้องวารุณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองเห็นดวงตาของเธอแดงก่ำ และในมือเธอถือถุง ภายในใจก็หม่นลง คิ้วขมวดขึ้นมา
ดวงตาของเธอเป็นอะไร?
ที่จริงวารุณีจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นพวกเขา และออกไปจากพวกเขาเลย
แต่ไม่คิดว่าจะถูกนวิยาเรียกไว้ เลยได้แต่หยุดฝีเท้าลง ยิ้มตอบกลับนวิยาไปว่า“บังเอิญมากเลยค่ะ คุณนวิยา ประธานนัทธี สวัสดีตอนเย็นนะคะ”
แปลกใจ ตอนกลางวันในสายของนัทธี ไม่ได้บอกเหรอว่านวิยาเกิดเรื่องน่ะ?
ทำไมดูสีหน้าของนวิยาแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยล่ะ?
“สวัสดีตอนเย็นค่ะ”นวิยาไม่รู้ว่าวารุณีกำลังคิดอะไรอยู่ พยักหน้า แล้วถามอย่างแปลกใจ,“ดึกขนาดนี้แล้ว คุณวารุณียังอยู่ที่โรงพยาบาลอีกเหรอคะ คงไม่ใช่ว่ามาเยี่ยมคุณหมอพงศกรหรอกนะคะ?”
“ใช่ค่ะ ฉันมาเยี่ยมพงศกร”วารุณีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม พยายามเอาสายตามองไปที่นวิยา ไม่ไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างนวิยา
อย่างไรก็ตามเธอที่จงใจเมินใส่ ก็ถูกนัทธีเพ่งสายตาไป ลมหายใจรอบๆตัวต่ำลง สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีนัก
นวิยาตระหนักได้ สายตาก็เย็นชา แต่ใบหน้ากลับยังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยน“มิตรภาพของคุณวารุณีกับคุณหมอพงศกรทำให้คนอิจฉาจริงๆนะคะ คุณว่าไหมนัทธี?”
เธอมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ
ชายหนุ่มกลับไม่ได้หันมองเธอ สายตาที่ลึกซึ้งเอาแต่มองไปที่วารุณี“ตาของคุณเป็นอะไร?”
วารุณีทำเป็นไม่ได้ยิน มองนวิยาแล้วบอกลา“ดึกมาแล้ว คุณนวิยา ฉันควรไปแล้ว”
พูดไป เธอก็ยกเท้าขึ้นจะเดินผ่านทั้งสองคนไป
แต่ตอนที่วารุณีจะเดินผ่านนัทธี นัทธีกลับจับแขนของเธอไว้ ดึงเธอกลับมา สายตาจ้องเธออย่างเย็นชา ถามด้วยน้ำเสียงโมโห“ผมจะพูดอีกครั้ง ตาของคุณเป็นอะไร?”
ผู้หญิงคนนี้ เอาคำว่าอยู่ห่างเขาสามคำนี้ ปฏิบัติได้ดีโดยสิ้นเชิงเสียจริง!
ได้ยินคำถามของนัทธี ในที่สุดนวิยาก็ได้สติคืนมา วารุณีออกมาจากแผนกจักษุ รีบมองไปที่ตาของวารุณี แล้วพบว่าตาของเธอแดง รอยยิ้มที่เคยปรากฏบนใบหน้าของเธอ ก็หายไปในทันที
ส่วนวารุณีที่เผชิญหน้ากับคำถามของนัทธีสองครั้ง ก็ไม่สามารถแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินได้อีก แอบถอนหายใจ เขย่าถุงในมือตอบกลับว่า“ดวงตาถูกควันไฟ จึงอักเสบ”
“อะไรนะ อักเสบ?”ไม่รอให้นัทธีพูดต่อ จู่ๆอารมณ์ของนวิยาก็ดูใจร้อนขึ้นมา น้ำเสียงสูงขึ้น
วารุณีไม่รู้ว่าทำไมเธอมีปฏิกิริยาตอบกลับหนักมากแบบนี้ ตอบอือ“ค่ะ”
สีหน้านวิยาดูแย่มาก เธอผละออกจากการประคองของนัทธี เดินไปตรงหน้าวารุณีอย่างเซไปมา
จากนั้นภายใต้สายตาที่ดูสงสัยของวารุณี ก็ยื่นมือสองข้างออกไปจับหน้าของวารุณีไว้ ออกแรงบีบ ดวงตาเต็มไปด้วยความโมโห“วารุณี ฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่า ให้คุณดูแลดวงตาของคุณดีๆ ทำไมคุณถึงไม่ทำตาม ทำไมถึงให้ตาอักเสบได้ คุณรู้ไหมว่าถ้าตาอักเสบแล้ว ความสามารถในการมองเห็นก็จะลดลงด้วย?”
“ฉัน……ฉันทราบค่ะ”วารุณีมองสายตานวิยาที่ดูบ้าคลั่งเล็กน้อย ก็ตกใจ พยักหน้าตอบกลับอย่างตะลึง
นัทธีก็เป็นครั้งที่ที่เห็นนวิยาแบบนี้ หลังจากตะลึงสักพัก ก็ขมวดเอามือของนวิยาออกไปจากหน้าวารุณี แล้วประคองนวิยากลับมา
“นวิยา นี่คุณทำอะไรน่ะ?”นัทธีมองหน้าวารุณีที่ถูกบีบจนแดง แล้วจึงมองดวงตานวิยาที่แฝงไปด้วยความบ้าคลั่ง ใบหน้าหม่นลง ต่อว่าด้วยน้ำเสียงไม่ดีเป็นอย่างมาก
นวิยาได้ยินน้ำเสียงของเขา รูม่านตาก็หดลง แล้วจึงมีสติขึ้นมาทันที
หลังจากตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองทำอะไรลงไป ในใจเธอก็ตื่นตระหนก จากนั้นดึงมือของวารุณีมาอธิบายด้วยใบหน้ารู้สึกผิด“ขอโทษค่ะคุณวารุณี เมื่อกี๊ทำคุณตกใจใช่ไหมคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันแค่คิดถึงดวงตาของตัวเอง ก็เลย……”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็ปล่อยมือของวารุณี กุมหน้าร้องไห้ออกมา
วารุณีมองนวิยาที่ร้องไห้อย่างเสียใจ ก็รู้สึกแปลก
ตัวเองที่โดนกระทำถูกเธอทำจนตกใจและเจ็บยังไม่ร้องไห้เลย เธอกลับร้องไห้ขึ้นมา คนที่ไม่รู้ จะคิดได้ว่าตัวเองรังแกเธอ
วารุณีลูบแก้มแล้วละสายตา มองนัทธีที่อยู่ข้างๆ“ประธานนัทธี คำพูดของคุณนวิยาหมายถึงอะไรกันแน่ ตาของเธอเป็นอะไรคะ?”
“เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ในตอนนั้น กระจกตาของนวิยาจึงได้รับความเสียหาย”นัทธีเหลือบมองนวิยาที่ยังร้องไห้อยู่ ตอบกลับเสียงนิ่ง
“ที่แท้ก็แบบนี้”วารุณีพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที
ไม่น่าล่ะก่อนหน้านี้รู้สึกว่าดวงตาของนวิยาโฟกัสไม่ค่อยถูก เธอยังคิดว่าเป็นเพราะนวิยามีชีวิตชีวาเท่าไหร่
งั้นพูดแบบนี้ กระจกตาสำรองที่ครั้งที่แล้วพิชิตไปจองที่โรงพยาบาลรุ้งจรัสก็เพื่อจองให้นวิยาเหรอ?
“พอแล้ว ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”นัทธีเอามือนวิยาที่กุมหน้าลงมา
นวิยาหยุดร้องไห้ เงยดวงตาที่ร้องไห้จนแดงก่ำขึ้นมา“คุณวารุณี เพราะว่าฉันกำลังจะตาบอด ก็เลยฉันไม่ชอบคนพวกนั้นที่ไม่ถนอมดวงตาเป็นพิเศษ เพราะไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ทันที จึงทำพฤติกรรมเมื่อครู่ออกไป ขอโทษจริงๆนะคะ คุณให้อภัยฉันได้ไหม?”
เธอมองวารุณีอย่างสะอึกสะอื้น และน้ำตาบนใบหน้า ที่เห็นแล้วน่าสงสารจริงๆ
วารุณีมองสภาพของนวิยาแล้ว ก็ไม่คิดจะเอาความเรื่องเมื่อกี๊ ฝืนยิ้มที่มุมปากตอบไปว่า“อือ ฉันให้อภัยคุณ”
“ดีจัง คุณวารุณีคุณจิตใจดีจัง”แล้วนวิยาก็ยิ้มออกมาแทนน้ำตาที่ไหล
จิตใจดีเหรอ?
วารุณีเสยผม“ขอบคุณคุณนวิยาที่ชมนะคะ โอเคค่ะคุณนวิยาและประธานนัทธี ดึกมากแล้วจริงๆ ฉันควรไปได้แล้ว”
ครั้งนี้ นัทธีไม่ได้ห้ามเธออีก แต่มองส่งเธอเดินกะเผลกออกไปไกล แล้วจึงหันหน้ากลับมา
นวิยาก็หันหน้า“นัทธี เหมือนว่าขาของคุณวารุณีจะได้รับบาดเจ็บนะ?”
นัทธีละสายตาลงพูดอย่างนิ่งๆผมรู้แล้ว ไปเถอะ”
พูดจบ เขาก็ประคองนวิยาเข้าไปในแผนกจักษุอีกครั้ง
วารุณีกลับไปในห้องคนไข้ของพงศกร ตอนที่เข้าไป กลิ่นซุปไก่อันเข้มข้นก็ลอยเข้าจมูก ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล
“ปาจรีย์ ฝีมือทำอาหารของเธอก้าวหน้าแล้วนะ”วารุณีปิดประตูห้องคนไข้ ชื่นชมด้วยรอยยิ้ม
ปาจรีย์กำลังนั่งป้อนซุปพงศกรอยู่ข้างเตียง ได้ยินคำนี้ กำลังจะพูดอะไรออกมา ก็ถูกพงศกรตัดบท“วารุณี ทำไมคุณกลับมานานอย่างนี้?”