ปาจรีย์กระโดดลงจากรถ แม้แต่ประตูรถก็ยังไม่ทันปิด คว้าแขนของวารุณีไว้ ถามสถานการณ์เรื่องผ้า
วารุณีบอกเธออย่างเสียใจ ผ้าไม่มีแล้ว
ปาจรีย์กำฝ่ามืออย่างไม่อาจรับได้“ไม่มีแล้ว?”
“อือ”วารุณีพยักหน้า
“นั่นมันผ้าเป็นล้านเลยนะ!”ปาจรีย์ตะโกนอย่างใจร้อน จู่ๆก็วิ่งไปที่โกดัง เหมือนไม่เชื่อที่เธอพูด จะต้องเห็นกับตาให้ได้ถึงจะยอม
วารุณีเห็นฉากแบบนี้ ตกใจไปหมด รีบตะโกนเสียงดัง“ปาจรีย์ เธอทำอะไร รีบกลับมา!”
ปาจรีย์ทำเหมือนไม่ได้ยิน หยุดอยู่หน้าโกดัง มองไฟไหม้ตรงหน้าอย่างใจสลาย
ไฟไหม้นี้ ได้กลืนกินผ้าทั้งหมดที่อยู่ในนั้น ซึ่งนั่นเป็นผ้าที่เธอไปมาตั้งหลายโรงงานผ้าจึงได้มันมา
และยังมีผ้าบางอย่างที่ราคาแพงมาก ซึ่งก็มีน้อยมากด้วย เธอดื่มเหล้าจนแสบท้องถึงทำให้ผู้บริหารระดับสูงของโรงงานผ้าขายผ้าให้เธอได้ ตอนนี้ที่เธอลงทุนทำไปหมดได้จบสิ้นลงแล้ว ทำให้เธอไม่อาจรับได้!
เห็นปาจรีย์ไม่ฟัง วารุณีจึงกัดริมฝีปากและกระทืบเท้า วิ่งเข้าไป อยากดึงเธอกลับมา
ถึงโกดังจะสร้างจากอิฐ แต่เพื่อรับประกันว่าจะมีอากาศถ่ายเท ให้ผ้าไม่อับชื้น หลายๆแห่งเลยใช้ไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงหลังคา แทบจะสร้างด้วยไม้หมด ไฟแรงขนาดนี้ ไม้ที่หลังคาล้มลงมาได้ทุกเมื่อ อันตรายเป็นอย่างมาก
และปาจรีย์ก็ยืนอยู่ใกล้มาก ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่ถูกไม้ที่หล่นลงมาทับจนบาดเจ็บ
วารุณีมาด้านข้างของปาจรีย์ มองดวงตาแดงก่ำของเธอ ในใจไม่สบอารมณ์อย่างมาก
แต่ไม่สบอารมณ์แค่ไหน ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะปลอบ วารุณีดึงมือของปาจรีย์“ปาจรีย์ พวกเราไปกันก่อนโอเคไหม?”
ปาจรีย์หันไปมองเธอโดยน้ำตานองหน้า ในน้ำเสียงนั้นไม่อาจควบคุมความเศร้าได้“วารุณี เธอว่าทำไมกัน ทำไมพวกเราต้องเจอเรื่องแบบนี้ทุกครั้ง?”
“นี่……”วารุณีกำลังจะพูด จู่ๆก็ได้ยินเสียงกึก เงยหน้าขึ้นมอง
เห็นคานอันหนึ่งในโกดังหักออกกะทันหัน แล้วกำลังจะตกแนวทแยงลงไป
ส่วนพวกเธอ ก็ยืนอยู่ตรงทแยงมุมนั้นพอดี
“อันตราย!”รูม่านตาวารุณีหดลง ไม่คิดอะไรมาก รีบผลักปาจรีย์ออกไป
ปาจรีย์ถูกผลักไปที่พื้นไม่ไกลนัก ล้มจนส่งเสียงออกมา
แต่เธอไม่สนแขนตัวเองที่ถูกถูจนถลอก รีบยืนขึ้นมาจากพื้นมองไปที่วารุณี
เห็นคานอันนั้นจะหล่นใส่หัววารุณี สีหน้าเปลี่ยนไป รีบตะโกนไปว่า“วารุณี หลบเร็ว!”
วารุณีอยากหลบ แต่เธอหลบไม่ได้ เท้าของเธอแพลง ตอนที่เพิ่งผลักปาจรีย์ออกไป ตอนนี้จึงรู้สึกปวดใจ อย่าว่าแต่หลบ แค่ขยับยังขยับไม่ได้
ได้แต่มองคานที่ใกล้ตัวเองเรื่อยๆ ใกล้จนหน้าของเธอรู้สึกถึงอุณหภูมิสูงที่แผดเผา และควันหนาทึบที่เข้ามา
วารุณีตาแดงเจ็บไปหมดเพราะควันหนาๆนั่น น้ำตาไม่หยุดไหล เธอหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง รอการตายที่จะมาถึง
อย่างไรก็ตามตอนนี้เอง วารุณีกลับรู้สึกช่วงเอวรัดแน่น มีแขนคู่หนึ่งกอดเธอไว้ พาเธอกลิ้งไปที่พื้น
ตอนกลิ้งออกไป คานก็หล่นไปตำแหน่งที่วารุณีเพิ่งยืนอยู่พอดี ส่งเสียงดังปัก และยังมีประกายไฟเล็กน้อยออก แต่ไฟยังไม่ดับ ยังคงเผาไหม้
วารุณีลืมตาขึ้นมา ตั้งแต่ตอนที่ตัวเองถูกกอดไว้แล้ว เธอไม่ได้มองคานนั่น แต่เงยหน้าขึ้น มองชายหนุ่มบนตัวด้วยความตะลึง
ยังไงเธอก็คิดไม่ถึงว่า จู่ๆเขาจะปรากฏตัวที่นี่ แล้วยังช่วยชีวิตเธอไว้อีก
“คุณ……”วารุณีอ้าปาก กำลังจะพูดอะไร
ปาจรีย์วิ่งเข้ามา เอานัทธีที่กดทับบนตัววารุณีออกไป ประคองวารุณีขึ้นมา มองสำรวจรอบตัวไม่หยุด“วารุณีเป็นไงบ้าง เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
วารุณีส่ายหน้าอย่างตกใจ“ฉันไม่เป็นไร แค่เท้าแพลง แต่ประธานนัทธีเขา……”
เธอมองไปที่นัทธี
นัทธียืนขึ้นมา เสื้อผ้าที่ตัวสกปรกจนยับ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเล็กน้อย
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพของเขาเลย กลับยิ่งทำให้เขาดูยุ่งเหยิงดูดีมากขึ้น
เขาเพ่งมองวารุณีด้วยสีหน้าหม่นหมอง ความโมโหในน้ำเสียงนั้นปกปิดไม่อยู่“คุณเพิ่งทำอะไรลงไปน่ะ ทำไมยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ คุณรู้ไหมว่าถูกไม้นั้นทับแล้วผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ไม่ตายคาที่ ก็ถูกไม้ที่มาพร้อมไฟนั่นแผดเผาจนตายได้!”
พระเจ้ารู้ว่าตอนที่เขาเพิ่งมาถึง รู้สึกกลัวแค่ไหนตอนที่มองเห็นฉากที่เธอจะโดนทับ
เวลานั้น หัวใจของเขาเกือบจะหยุดไป
วารุณีฟังผลที่ตามมาที่นัทธีเล่า จึงอดไม่ได้ที่จะสั่นด้วยความกลัว ก้มหน้าลงไม่พูด
ปาจรีย์มองต่อไปไม่ไหว ขวางวารุณีไปไว้ด้านข้าง เงยมองนัทธี“ประธานนัทธี คุณจะด่าก็ด่าฉันเถอะ ฉันรับเรื่องที่ผ้าถูกเผาไม่ได้ เลยวิ่งมาในนี้ วารุณีมาเพื่อช่วยฉัน ไม่ใช่ว่าเธอไม่ขยับ แต่ข้อเท้าแพลงเธอขยับไม่ได้ค่ะ!”
ได้ยินแบบนี้ สายตานัทธีก็ตะลึง ก้มหน้ามองไปที่ข้อเท้าของวารุณีทันที ตรงนั้นแดงจริงๆ
ดังนั้น เขาเข้าใจเธอผิดจริงๆ!
ริมฝีปากบางๆของนัทธีเม้มเข้า สีหน้าดีขึ้นเยอะ เสียงก็ไม่เย็นชาอีกต่อไป“ทำไมไม่อธิบายล่ะ?”
วารุณีกะพริบตาเล็กน้อย“ประธานนัทธี ทำไมฉันต้องอธิบายให้คุณด้วย?ฉันทำอะไร ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้คุณฟัง ฉันขอบคุณมากที่คุณเพิ่งช่วยฉันไว้ แต่……”
เธอยังพูดไม่จบ ก็ร้องอย่างตกใจเพราะถูกนัทธีอุ้มขึ้นมา แล้วเดินไปที่รถ
“อะไรกันเนี่ย?”ปาจรีย์มองทั้งสองคน อ้าปากกว้าง
ทำไมจู่ๆก็อุ้มขึ้นมาล่ะ?
วารุณีที่จู่ๆถูกนัทธีอุ้มขึ้นมา ก็เริ่มงุนงง แขนก็โอบคอเขาไม่รู้ตัว
แต่แป๊บเดียว หลังจากเอได้สติคืนมา ก็รีบเอาคลายมือออก ตะโกนหน้าแดง“ประธานนัทธี คุณทำอะไร รีบปล่อยฉันลง!”
นัทธียังไม่ขยับ ยังคงอุ้มเธอไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
วารุณีจึงรีบร้อนขึ้นมา เริ่มดิ้นรน
นัทธียังคงรักษาท่าที่อุ้มเธอไว้ ภายใต้การดิ้นรนของเธอจึงค่อนข้างใช้แรงอย่างมาก จนต้องกัดฟันกราม
เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย มองหญิงสาวในอ้อมแขนที่เหมือนตกใจ และกระวนกระวายใจด้วยสายตาหม่นหมอง เม้มปากพูดว่า“ถ้าคุณยังขยับอีก ผมจะโยนคุณทิ้ง!”
“คุณ……”วารุณีตะลึง รีบเงยหน้ามองพื้น ถึงพื้นจะไม่สูง แต่ด้านบนก็มีหินกับสิ่งของจิปาถะต่างๆ
ดังนั้น ช่างมันเถอะ!
วารุณีจึงประนีประนอม ไม่ขยับ กัดริมฝีปากสีแดงนั่นแล้วจ้องชายหนุ่ม“คุณจะทำอะไรกันแน่?”
นัทธีไม่ตอบ วางเธอไว้ที่เบาะหลัง จากนั้นเปิดกล่องเก็บของในรถ หยิบถุงใบหนึ่งออกมาจากด้านใน
แค่วารุณีมองก็จำได้ นั่นเป็นถุงที่ใส่ผ้าก๊อซกับเบตาดีนที่หลายวันก่อน นัทธีพันผ้าตรงฝ่ามือให้เธอในโรงพยาบาล
ตอนนั้นเขาให้มารุตไป ที่แท้มารุตเอาไว้ในรถตลอดเลย?
ดังนั้นนี่เขาจะทายาให้เธอ?
กำลังคิดอยู่นั้น วารุณีก็รู้สึกว่าเท้าตัวเองเย็น
เธอเอาสติคืนมาอย่างรวดเร็ว แล้วจึงพบว่าตอนที่ตัวเองคิดอยู่นั้น เท้าที่ถูกบิด ถูกเขายกขึ้นมา วางบนขาของตัวเองภายใต้สถานการณ์ที่เธอไม่รู้สึกตัว และรองเท้าก็ถูกเขาถอดออก
มองมือของนัทธียื่นไปที่เท้าเปล่าของตัวเอง จู่ๆวารุณีก็คิดอะไรขึ้นได้ รีบชักเท้าคืนกลับมาอย่างเจ็บปวด
มือนัทธีจึงนิ่งอยู่กลางอากาศ มองดูต้นขาของตัวเองอย่างว่างเปล่าด้วยสายตาที่หม่นลง พูดเสียงทุ้มว่า“วางขึ้นมา!”