พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ – บทที่ 191 บีบบังคับ

บทที่ 191 บีบบังคับ

“เดี๋ยวคุณก็รู้ วางใจเถอะ ไม่ทำให้คุณต้องลำบากใจหรอก” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ประตู ไม่คิดที่จะอธิบายอะไร

วารุณีเม้มริมฝีปากแดง

หากเขาไม่ยอมพูด ถามไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร

วารุณีก็ลุกขึ้น แล้วส่งนัทธีเดินออกไป

นัทธียืนอยู่ที่หน้าประตู“ พรุ่งนี้เช้าผมจะมารับเด็กทั้งสองคน”

“ค่ะ”วารุณีพยักหน้า

นัทธีมองดูเธอ“ ไปพักผ่อนเถอะ ฝันดี!”

“ฝันดีค่ะ”วารุณียกยิ้ม แล้วตอบรับกลับไป

หลังจากที่พูดจบ จากที่คิดว่าเขาน่าจะกลับไปที่คอนโดของตัวเอง แต่เขากลับไม่ไปไหน ยังคงยืนอยู่ที่เดิมมองดูเธอ

วารุณีถูกเขายืนมองจนรู้สึกอึดอัด หดคอลง “ประธานนัทธี คุณยังมีอะไรอีกหรือเปล่าคะ ?”

“ไม่มีอะไร คุณปิดประตูเถอะ”นัทธีส่ายหัวให้เบาๆ

วารุณีรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ฟังคำเขา แล้วปิดประตูลง

หลังจากที่ปิดประตูลง เธอก็ไม่ได้เดินกลับเข้าห้องไปทันที แต่กลับเปิดจอภาพ อยากดูว่าเขาจะทำอะไร แต่ที่เห็นกลับเป็นแผ่นหลังของเขา และภาพของประตูห้องที่ปิดลง

วารุณีหลุบตาลงต่ำ แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย

เขาคงไม่ได้มาส่งเธอเพื่อให้ได้เห็นกับตาตัวเองหรอกมั้ง ?

แต่ความคิดนี้ที่เพิ่งจะผุดขึ้นมา ก็ถูกวารุณียับยั้งเอาไว้ทันที

เธอหัวเราะแล้วพลางส่ายหัวไปมา ไม่คิดมากอะไรอีก หันหลังแล้วเดินเข้าห้องไป

เช้าวันรุ่งขึ้น เวลาราวๆแปดโมงเช้า วารุณีกับลูกๆที่เพิ่งจะกินอาหารเช้าเสร็จ นัทธีก็มารับเด็กๆ

วารุณีดันร่างของเด็กๆไปหานัทธี “ประธานนัทธีค่ะ รบกวนคุณแล้ว”

“วางใจเถอะ ผมจะดูแลพวกเขาให้เอง” นัทธีมองเด็กน้อยที่ขนาบอยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่ยกมือลูบไปที่ศีรษะของเด็กๆ

วารุณีย่อตัวลง แล้วกำชับอย่างจริงจังไปว่า “อารัณ ไอริณ ต้องเชื่อฟังคุณอานัทธี อย่าดื้อนะรู้ไหม ?”

“ รู้แล้วครับ/ค่ะหม่ามี๊”เด็กทั้งสองตอบรับอย่างเชื่อฟัง

วารุณียกยิ้ม แล้วลุกขึ้น จากนั้นก็มองดูนัทธีพาตัวเด็กๆออกไป

พวกเขาไปได้ไม่นาน วารุณีก็เก็บกวาดทำความสะอาดห้องอยู่สักพัก จากนั้นก็สะพายกระเป๋าแล้วออกจากห้องไป ไปที่สมาคมเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน

วันนี้เป็นการแข่งรอบรองชนะเลิศ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด

ในตอนที่วารุณีมาถึง ผู้เข้าแข่งขันก็มากันพร้อมแล้ว

เธอเดินเข้าไปในหอประชุม ก็เห็นพิชญาที่กำลังคุยกับคนอื่นอยู่

พิชญาเองก็เห็นเธอแล้วเช่นกัน แค่นเสียงหึจากลำคอ “คนบางคนก็ช่างถือดี ยังเป็นแค่ที่สองเท่านั้น แต่กลับมาทีหลังคนอื่นตลอด คนที่เขาไม่รู้ คงคิดว่าเธอเป็นที่หนึ่ง ”

วารุณีจะไม่รู้ได้ยังไงว่าพิชญากำลังพูดกระแหนะกระแหนเธออยู่ เธอไม่ได้โกรธ ยกยิ้มให้แล้วเดินผ่านเลยไป “ ผู้จัดการพิชญา ดูแล้วคุณคงจะไม่ได้ปวดท้องแล้วนี่ ปากคอเราะร้ายได้ขนาดนี้”

“ธุระกงการอะไรของเธอ !”พิชญาขมวดคิ้ว

วารุณีมองไปที่เธอ “ฉันก็เป็นห่วงเธอนะซิ ตอนนี้เห็นผู้จัดการพิชญาหายป่วยแล้ว ก็ต้องดีใจมาก เออนี่ผู้จัดการพิชญา เมื่อวานคุณไม่ได้พูดถึงแนวความคิดในการออกแบบนี้ ตอนนี้ช่วยบอกพวกเราหน่อยได้ไหม ฉันตั้งตารอฟังตั้งแต่เมื่อวานเลยนะ ”

“ใช่ คุณพิชญา บอกหน่อยซิ คุณออกแบบชุดงานราชพิธีที่อลังการแบบนี้ได้ยังไง ? ”นักออกแบบอีกสองคนไม่เข้าใจนัยแฝง จึงคล้อยตามไปด้วย

“จะให้พูดอะไร เวลาแข่งใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ช่วยสงบสติอารมณ์กันหน่อยจะได้หรือเปล่า หากมันส่งผลเสียกับการแสดงความสามารถของฉัน ใครจะรับผิดชอบ ?” พิชญากักเก็บความกระวนกระวายในใจ แล้วแอบชำเลืองมองไปที่วารุณีแวบหนึ่ง พูดตำหนิออกไปอย่างเหลือทน

จะบ้าตาย!

วารุณีนังบ้านี่ ไม่รู้หรือไงว่าเวลาไหนควรพูดเวลาไหนไม่ควรพูด

นักออกแบบอีกสองคนไม่รู้ว่าพิชญากำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเธอ ก็อ้าปากค้าง แล้วเงียบไป

และในตอนนี้เอง วารุณีก็พูดขึ้นว่า “ฉันรับผิดชอบเอง”

เธอดึงเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆของพิชญาออกมาแล้วนั่งลง มองไปที่พิชญาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

สีหน้าของพิชญาดูแย่ขึ้นมาทันที หลบตาวารุณีอย่างเร็ว และทำเป็นพูดนิ่งๆไปว่า “เธอรับผิดชอบแล้วยังไง ฉันต้องพูดให้ได้เลยงั้นเหรอ ฉันเป็นคนออกแบบ จะพูดหรือไม่พูดมันก็เป็นเรื่องของฉัน เธอมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง”

“ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรจะสั่งหรอก แต่ฉันมีคำถามข้อหนึ่ง”วารุณีหรี่ตาลง“ผู้จัดการพิชญาปฏิเสธที่จะบอกถึงแนวความคิดในการออกแบบของตัวเอง หรือเป็นเพราะว่าพูดมันไม่ได้กันแน่?”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา นักออกแบบอีกสองคนก็ตกตะลึง

ใครจะไม่รู้ความหมายของคำว่าพูดไม่ได้นั้นมันหมายความว่ายังไง มันหมายความว่าผลงานการออกแบบนั้นไม่ใช่ฝีมือของตัวเอง

หรือคุณวารุณีกำลังจะหมายความว่าผลงานการออกแบบของผู้จัดการพิชญานั้นมันมีปัญหา ?

เมื่อคิดได้ดังนั้น สายตาของนักออกแบบทั้งสองคนที่จ้องมองพิชญาอยู่ก็เปลี่ยนไปทันที

พิชญารู้สึกได้ รูม่านตาเธอหดลง จากนั้นก็โต้กลับด้วยเสียงสูง “เธอพูดบ้าอะไร ใครจะพูดไม่ได้กัน ? ”

“ในเมื่อเธอพูดได้ ก็พูดมาสิ” วารุณีเอนหลังพิงไปที่พนักเก้าอี้ น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย

นักออกแบบทั้งสองคนก็จ้องมองไปที่พิชญา รอฟังพิชญาพูดด้วยเช่นกัน

เมื่อถูกบีบบังคับมาจนถึงขั้นนี้ พิชญาก็กำมือแน่น แววตาลอยเด่น ในใจกระวนกระวายจนไม่รู้จะทำยังไง

เธอรู้ดีว่า เธอไม่สามารถจะปฏิเสธต่อไปได้อีกแล้ว ตอนนี้นักออกแบบทั้งสองคนต่างก็เริ่มสงสัยเธอแล้ว หากยังปฏิเสธต่อไปอีก ก็ เท่ากับยอมรับว่าผลงานของเธอนั้นมันเป็นของคนอื่น

และนี่ก็เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของวารุณี วารุณีดูออกแต่แรกแล้วว่าผลงานการออกแบบนั้นไม่ใช่ฝีมือเธอ ดังนั้นจึงให้เธอพูดถึงแนวความคิดในการออกแบบนี้ อยากจะบีบเธอให้เธอยอมรับ เธอจะเดินตามเกมของวารุณีได้ยังไง !

ในขณะที่พิชญาที่ขี่หลังเสือแล้วลงยากนั้น หางตาเธอก็เหลือบไปเห็นประธานวรวีที่กำลังถือไมโครโฟนเดินเข้ามา ในใจก็ลิงโลดขึ้นมา และไม่ได้ตื่นตระหนกอีก ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างอวดดี “พูดก็ได้ แนวความคิดในการออกแบบของฉัน……”

“เอาล่ะ ทุกคนมากันครบแล้วใช่ไหม ? ”พิชญาที่กำลังจะเกริ่นพูด ประธานวรวีก็พูดขัดขึ้นมา “ในเมื่อมากันครบแล้ว งั้นผมจะประกาศเริ่มการแข่งขันของวันนี้อย่างเป็นทางการ ตอนนี้ขอเรียนเชิญอาจารย์ผู้กำหนดหัวข้อครับ ”

ทันใดนั้นด้านล่างของเวทีก็มีเสียงปรบมือของผู้ชมดังขึ้น

ในใจของพิชญาเปี่ยมไปด้วยความดีใจ แต่ใบหน้ากลับทำทีว่าเสียใจมาก ปรบมือไปด้วย แล้วถอนหายใจไปด้วย“ ช่างบังเอิญจัง ดูท่าแนวความคิดในการออกแบบของฉันคงจะไม่ได้พูดซะแล้ว ”

วารุณีวางมือลง ยิ้มเยาะออกมา “ไม่เป็นไร ยังไงเธอก็พูดมันไม่ได้อยู่ดี ฉันจะบอกอะไรให้ เธอหนีได้แค่ชั่วคราว หนีไม่ได้ตลอดหรอกนะ เธอลอกเลียนงานแบบของคนอื่น ช้าเร็วก็ต้องถูกเปิดโปงเข้าสักวัน ”

ท่าทีของพิชญานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เปลี่ยนกลับเป็นปรกติอย่างรวดเร็ว เบะปากอย่างดูถูก แล้วกดเสียงต่ำพูดไปว่า“เธอหาว่าฉันลอกเลียนแบบ งั้นเธอก็เอาหลักฐานมาซิ ?”

เธอใช้ความพยายามไปตั้งเท่าไรกว่าจะหาเจอแบบพวกนี้มาได้ บนเว็บไม่มีการบันทึกแบบเหล่านี้แน่นอน

เพราะฉะนั้นต่อให้วารุณีจะรู้ว่าเธอลอกเลียนแบบมาแล้วยังไง เธอไม่เชื่อหรอกว่า วารุณีจะสามารถหาหลักฐานมาได้จริงๆ

เมื่อเห็นท่าทีได้ใจของพิชญา วารุณีก็แทบไม่ต้องคิด ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เบื่อที่จะสนใจ เธอจึงหันหลังกลับไป

แต่การแสดงออกของวารุณี ในสายตาของพิชญา ความหมายมันต่างกัน

นั่นก็คือเธอคิดว่าเธอคิดถูกแล้ว เมื่อคืนวารุณีคงพยายามหาหลักฐานแล้ว แต่หาไม่เจอ ไม่งั้นคงไม่นิ่งเฉยแบบนี้

เมื่อเป็นแบบนี้ เธอก็ยิ่งไม่ต้องกลัวอะไร

เมื่อคิดได้ดังนั้น ใบหน้าของพิชญาก็ไร้กังวลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น การแข่งวันนี้เหมือนของเมื่อวาน นั่นก็คือออกแบบวาดภาพ เลือกสองผลงานที่สวยงามที่สุดเป็นผู้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ

แต่หัวข้อในวันนี้ค่อนข้างยาก หัวข้อคือโลกอนาคต ก็คือให้เราออกแบบเสื้อผ้าในโลกอนาคต

“โลกอนาคต……”วารุณีหมุนดินสอในมือไปมา แล้วพูดทวนคำนี้อีกรอบ คิ้วเธอขมวดแน่น ไม่มีแรงบันดาลใจในชั่วขณะ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

Status: Ongoing

5ปีก่อน พ่อแม่หย่าร้าง พ่อสุดเหี้ยมไล่พวกเขาออกจากบ้าน เพื่อรักษาโรคหัวใจของน้องชาย วารุณีแอบแฝงเข้าไปในห้องนัทธีขึ้นแสดง ‘ใช้กายแลกเงิน’ 5ปีต่อมา เธอพาเด็กน้อยน่ารักสองคนกลับประเทศ เพื่อที่จะเอาทุกอย่างที่เป็นของเธอคืนมา กลับบังเอิญเจอชายผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในจังหวัดจันทร์อีกครั้ง เขาคือ นัทธี นั่นเอง “ลูกชายคุณทำไมหน้าเหมือนฉันจัง?” นัทธีถามเสียงต่ำ วารุณี:”…” เด็กน้อยน่ารัก: “แด๊ดดี้ รีบมีลูกกับหม่ามี๊อีกคนสิครับ!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท