ได้ยินวารุณีพูดถึงตัวเอง นัทธีจึงหรี่ตาลง หยุดฝีเท้าลง ยืนอยู่ด้านนอกประตูเงียบๆแล้วฟัง
ในประตู วารุณีเอนไปที่หัวเตียงอย่างเหนื่อยล้า ที่ตัวคลุมด้วยผ้าห่มสีดำของนัทธี ถือโทรศัพท์ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีอย่างมาก“คุณสุภัทร ฉันจะบอกคุณให้นะ ฉันไม่มีทางช่วยคุณไปขอร้องประธานนัทธีแน่ ทำไมฉันต้องช่วยคุณด้วย?”
สุภัทรดูฝ่ายการเงินที่กำลังตรวจสอบบัญชี ก็ร้อนใจจนโมโห“วารุณี ฉันรู้ว่าฉันเป็นพ่อที่แย่ต่อแก ดังนั้นแกจึงเกลียดฉัน แต่ครั้งนี้แกต้องช่วยฉัน หรือแกจะทนเห็นตระกูลศรีสุขคําล้มละลาย?”
“ทำไมฉันจะทนไม่ได้ล่ะ ก่อนหน้านี้ฉันก็บอกไปแล้ว ฉันแทบอยากจะตระกูลศรีสุขคําล้มละลาย ดังนั้นคุณมาขอร้องฉันน่ะมาหาผิดคนแล้วค่ะ และอีกอย่างคุณมีสิทธิ์อะไรมาคิดว่าประธานนัทธีจะฟังที่ฉันพูด แล้วปล่อยคุณ!”
วารุณีบีบสันจมูก พูดเยาะเย้ยไปว่า“ฉันจะบอกคุณให้นะคุณสุภัทร เรื่องครั้งนี้เป็นพิชญาที่ก่อขึ้นเอง เธอยั่วโมโหประธานนัทธี สมควรแล้วที่ตระกูลศรีสุขคําของคุณตกต่ำถึงจุดนี้!”
“แก……”สุภัทรโกรธจนมือที่ถือโทรศัพท์สั่น
นัทธีที่อยู่ด้านนอกประตูได้ยินคำพูดที่วารุณีไม่พอใจสุภัทร ริมฝีปากบางๆก็ยกขึ้น ในใจก็รู้สึกอบอุ่น
ดีจัง เธออยู่ข้างเขา!
“โอเคนะคุณสุภัทร ไม่มีอะไรแล้ว ฉันวางก่อนนะ”วารุณีสูดหายใจลึกๆ ระงับความหงุดหงิดในใจ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เดี๋ยว”สุภัทรเรียกเธอไว้“แกจะเอาอย่างไรกันแน่ ถึงจะยอมช่วยฉันเรื่องนี้?”
“ยังไงฉันก็ไม่ช่วยเด็ดขาด คุณทำใจเรื่องนี้เถอะ ถ้าคุณกล้าเอากลวิธีพวกนั้นมาข่มขู่ฉันอีกแบบครั้งที่แล้วล่ะก็ ฉันรับรองว่า คุณจะต้องเสียใจ การโต้กลับของฉันไม่เหมือนครั้งที่แล้วแน่ ที่จะทำให้แค่คุณอับอาย ”
พูดประโยคนี้เสร็จ วารุณีจึงวางสาย
จากนั้น เธอก็วางโทรศัพท์ลง ลูบขมับที่ปูดออกมา อยากจะฟื้นฟูจิตใจเล็กน้อย
ตอนนี้เอง จู่ๆประตูห้องก็เปิดออก
นัทธีถือกาแฟแก้วหนึ่งเข้ามา
วารุณีคิดว่าเขาเตรียมมาให้เธอ ยื่นมือไปทางเขา หยิบกาแฟที่อยู่ในมือเขามา“ขอบคุณค่ะประธานนัทธี ฉันกำลังต้องการของพวกนี้ที่รสชาติค่อนข้างกระตุ้นทำให้สดชื่นพอดี”
พูดไป เธอก็ถือแก้วกาแฟขึ้นมา จิบน้ำสีดำๆนั่นไปหนึ่งคำ มองเห็นกาแฟสดที่ไม่เติมนมและน้ำตาล
รสชาติที่ขมขื่นละลายในปาก หน้าเล็กๆของวารุณีดูเหยเก ถึงแม้จะรู้สึกว่ายากที่จะกลืนกิน แต่พอดื่มไปแล้ว ความห่อเหี่ยวที่จู่ๆเธอก็ถูกสุภัทรปลุกนั้น หายไปทันที จิตใจก็ดีขึ้นเยอะ
เธอก้มหน้าลงอย่างทนไม่ไหว ดื่มไปอีกคำ
นัทธีมองวารุณีดื่มกาแฟของตัวเอง ริมฝีปากบางๆก็ขยับ เหมือนว่าจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ยิ้มไปเล็กน้อย พิงอยู่ข้างเตียงพูดเสียงเบาๆว่า“เมื่อกี๊สายของสุภัทรเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”วารุณีตอบอือ“เขาโทรมา บอกว่าเพราะเรื่องเมื่อคืนคุณเลยกดขี่บริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปไปหมด ตอนนี้บริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปกำลังชำระบัญชีสินทรัพย์ เตรียมจะยื่นเรื่องล้มละลาย เขาไม่อยากล้มละลาย ดังนั้นจึงให้ฉันช่วยเขาไปอ้อนวอนต่อคุณ หวังว่าคุณจะหยุด ปล่อยเขาไปครั้งหนึ่ง น่าตลกจริงๆ”
“ตลกตรงไหน?”นัทธีกอดอกไว้
วารุณีเอาแก้วกาแฟวางไว้ที่หัวเตียง“แน่นอนว่าเขาให้ฉันขอร้องคุณเรื่องนี้ เขามั่นใจว่าถ้าฉันไปพูดกับคุณ คุณจะต้องรับปากแน่”
“เขาพูดไม่ผิด”นัทธีมองเธอ
ใบหน้าวารุณีแสดงอาการตกใจ สักพักจึงส่งเสียงออกไป“ประธานนัทธี แสดงว่าแบบนี้ คุณจะรับปากจริงๆ?”
“ถูกต้อง แค่คุณพูดมา ผมรับปากแน่ เพราะผมรักคุณ ทุกคนที่รู้ว่าผมรักคุณ ต่างรู้ดีว่าคุณคือจุดอ่อนของผม”นัทธีจับมือเธอขึ้นมา วางไว้ที่หัวใจของตัวเอง
วารุณีรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่ใต้ฝ่ามือ ริมฝีปากก็ขยับ“ประธานนัทธี……”
นัทธียิ้มให้“แต่ว่าผมดีใจมาก ที่คุณไม่รับปากสุภัทร”
วารุณีเอามือดึงกลับมา“ฉันไม่รับปากเขาแน่นอนค่ะ ฉันไม่ชอบเขาสุดๆ”
“วางใจเถอะ ต่อไปเขาจะไม่มารบกวนคุณแล้ว”
“ประธานนัทธีคุณจะทำอะไร?”ดวงตาวารุณีเบิกโต
นัทธีเม้มริมฝีปากบางๆแล้วพูด“ไม่มีอะไร ผมแค่เตรียมให้มารุตไปเตือนเขาให้ทำตัวดีๆก็เท่านั้น”
“แบบนี้เอง งั้นก็ดี”วารุณีโล่งอก ทำท่าเชือดที่คอ“ฉันคิดว่าคุณจะทำแบบนี้เสียอีก ฉันไม่อยากให้มือคุณเปื้อนเลือดของคนอื่น”
“ห่วงผม?”นัทธีมองเธอเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“ใครห่วงคุณ?”สายตาวารุณีเบนไปทางอื่น
นัทธีลูบผมยุ่งๆของเธอ“ยอมรับอย่างใจกว้างไม่เป็นไรหรอกน่า”
“ฉันไม่ได้ห่วงคุณสักหน่อย ทำไมต้องยอมรับ ฉันกลับแล้วนะ!”พูดไป วารุณีก็เปิดผ้าห่มลงจากเตียง อดทนต่อความเจ็บบางส่วน เดินผ่านเขาออกไปจากห้อง
นัทธีมองแผ่นหลังของเธอ และหูที่แดงก่ำของเธอทั้งสองข้าง ก็ยิ้มเล็กน้อย ไม่คิดจะไปไล่ตามเธอ
เขาเข้าใจดีว่า ตอนนี้เป็นช่วงที่เธอไม่รู้ว่าจะตอบกลับความรู้สึกเขาอย่างไร ให้เธออยู่คนเดียวเงียบๆก็ดี
คิดไป นัทธีก็ถือกาแฟที่เย็นแล้วจากหัวเตียงขึ้นมา ริมฝีปากบางๆก็จิบลงไป ตรงตำแหน่งที่วารุณีเพิ่งดื่มไป
“เฮ้อ……”วารุณีกลับไปที่คอนโดของตัวเองที่อยู่ตรงข้าม หลังจากปิดประตูแล้ว ก็สูดหายใจลึกๆตรงบานประตู อยากจะปรับอารมณ์ของตัวเองสักหน่อย
จากนั้นก็ไม่มีประโยชน์ เธอเอามือวางไว้ที่หัวใจ หัวใจข้างในนั้นยังคงเต้นเร็ว แทบจะออกมาจากคอ สงบลงไม่ได้เลย เพราะว่าถูกนัทธีอ่อย
แน่นอนว่า ที่วารุณีแคร์ที่สุดไม่ใช่สิ่งนี้ แต่เป็นการขอแต่งงานของนัทธีเมื่อเช้า
ถึงแม้เธอจะปฏิเสธเขา แต่เขากลับไม่พูดว่ายอมแพ้ แค่บอกว่ารอคุณยอมรับเขาแล้วค่อยว่ากัน ความหมายนี้ชัดเจนว่ามีตั้งใจจะจีบเธอ
ดังนั้น เธอต้องตกลงว่าจะคบกับเขาไหมนะ?
เวลานี้ วารุณีสับสน ร่างค่อยๆไถลลงตามบานประตู สุดท้ายก็นั่งลงพื้น ยกขาทั้งคู่ขึ้นมา เอาหน้าซุกไปที่หัวเข่า ไม่เงยหน้าขึ้นมาอยู่นาน
จนกระทั่งออดประตูที่อยู่เหนือหัวดังขึ้น เธอจึงยืนขึ้น สายตามองไป เปิดประตู“เธอมาได้ไง?”
คนที่อยู่ด้านนอกประตูคือปาจรีย์
ปาจรีย์ถือแฟ้มเข้ามา“เธอยังจะถามอีกนะ ฉันโทรหาเธอก็โทรไม่ติด มาหาเธอที่นี่เองไม่ได้เหรอ?”
วารุณีปิดประตู รีบเอาโทรศัพท์ออกมา สุดท้ายพบว่าโทรศัพท์ปิดเครื่อง
“น่าจะแบตหมดน่ะ เมื่อคืนฉันไม่ได้ชาร์จ”วารุณีพูดไป ก็เอาโทรศัพท์วางกลับไปในกระเป๋า
ปาจรีย์กำลังเปลี่ยนรองเท้า หัวเราะอย่างแปลกๆ“ก็เมื่อคืนเธอทำเรื่องอย่างนั้นกับประธานนัทธีนี่ จะสนใจชาร์จแบตที่ไหนกัน”
ได้ยินดังนั้น ใบหน้าเล็กๆของวารุณีแดงขึ้นมา
ปาจรีย์หัวเราะแล้วเอาไหล่ชนเธอ“พูดมาตรงๆนะเพื่อนรัก ด้านนั้นประธานนัทธีเป็นไงบ้าง?เทคนิคดีไหม ใหญ่เปล่า ฟินไหม?”
วารุณีตบปาจรีย์อย่างเซ็งๆ พูดอย่างเขินอาย“เธอนี่จริงๆเลย รีบหุบปากเถอะ ว่ามา มาหาฉันทำไม?”
เธอเปลี่ยนเรื่อง
ปาจรีย์เห็นเธอไม่อยากพูดถึงเรื่องเมื่อคืน ถึงแม้เสียใจหน่อยๆ แต่ก็ไม่ถามอะไรมากอีก เอาแฟ้มให้เธอ
“นี่อะไรเหรอ?”วารุณีรับไปอย่างสงสัย
ปาจรีย์เดินเข้าไปในห้องรับแขก เทน้ำให้ตัวเอง พูดอธิบายออกไป“คำเชิญเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของรายการวาไรตี้”
“รายการวาไรตี้?”วารุณีกะพริบตา
ปาจรีย์พยักหน้า“เธอฟังไม่ผิด ดำเนินการโดยสตาร์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ช่วงนี้บริษัทสื่อบันเทิงพวกนี้จับไอดอลสองกลุ่ม เปิดตัวรายการวาไรตี้สำหรับไอดอลสองกลุ่มนี้ ดังนั้นจึงจะให้พวกเราออกแบบเสื้อผ้าที่ทันสมัยที่สุดของสมาชิกสองกลุ่มนี้”
“เรื่องแบบนี้ ทำไมพวกเขาไม่ไปติดต่อบริษัทเครื่องแต่งกายที่อื่น แต่กลับมาหาพวกเราล่ะ ?”วารุณีหยิบข้อมูลในแฟ้มออกมา ไม่เข้าใจอย่างมาก