ฝีเท้าของเธอไม่หยุด เดินไปที่ลิฟต์ไป หยิบโทรศัพท์มารับไปด้วย
“ฮัลโหล นัทธี”วารุณีมองเบอร์ที่ปรากฏ แล้วเอาโทรศัพท์แนบไว้ที่ข้างหู
เสียงทุ้มต่ำของนัทธีเข้ามาในแก้วหูของเธอ“เรื่องที่พิชญากระโดดตึก คุณรู้หรือยัง?”
“ฉันรู้แล้ว ตอนนี้ฉันกำลังไปที่เกิดเหตุ”วารุณีกดปุ่มลิฟต์
นัทธีขมวดคิ้วเล็กน้อย“คุณไปทำอะไรที่เกิดเหตุ?”
“เพราะฉันสงสัยว่า คนที่ตายไม่ใช่พิชญา”
พูดไป เธอก็เดินเข้าลิฟต์ จากนั้นพูดจุดสงสัยไม่กี่ข้อที่ตัวเองสงสัยออกไป
นัทธีฟังจบ ก็ยืนขึ้นมาจากเก้าอี้ทำงาน“งั้นผมจะไปกับคุณ”
“ค่ะ ฉันจะรอคุณตรงที่เกิดเหตุ ถึงแล้วโทรหาฉันนะ”วารุณีพยักหน้า
นัทธีตอบรับไป แล้ววางสาย จากนั้นเปิดลิ้นชัก หยิบกุญแจรถออกมาจากด้านใน ก้าวเท้ายาวเดินไปที่หน้าประตูออฟฟิศ
ประมาณหนึ่งชั่วโมงถัดมา วารุณีก็มาถึงที่เกิดเหตุ
แต่เธอมาช้าไป ศพในที่เกิดเหตุถูกพาไปแล้ว มีแค่ทางด้านตำรวจไม่กี่คนที่ยังอยู่สืบคดีตรงนี้
วารุณีไม่ได้เดินไป ยืนอยู่ด้านนอกเขตกั้นมองดูอยู่ไกลๆ เดี๋ยวก็มองจุดที่ศพตกลงมา เดี๋ยวก็เงยมองหน้าต่างของห้องพิชญา สีหน้าเต็มไปด้วยการครุ่นคิด
มีคนที่สถานีตำรวจสังเกตเห็นเธอ จึงเดินเข้ามาที่เธอ“คุณผู้หญิงท่านนี้ พวกเรากำลังทำคดีอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่มีอะไรล่ะก็ กรุณาออกไปด้วย”
วารุณียิ้มอย่างมีมารยาทให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรงหน้า กำลังจะถามอะไร ร่างหนึ่งหนึ่งที่บ้าระห่ำก็วิ่งเข้ามาจากไม่ไกล
เป็นขยานี!
ตอนนี้เองขยานีเหมือนกับผู้หญิงบ้าคนหนึ่ง ผมเผ้าเสื้อผ้ายุ่งเหยิง และยังเปื้อนฝุ่นไม่น้อย ดวงตาสีแดงก่ำ ชัดเจนว่าร้องไห้นานแล้ว
เธอจ้องวารุณีด้วยใบหน้าสุดแค้น“เธอมาทำอะไร?”
“พวกคุณรู้จักกันเหรอ?”เจ้าหน้าที่ตำรวจมองขยานี แล้วก็มองวารุณีอีกครั้ง
วารุณีพยักหน้า“รู้จักค่ะ เธอคือภรรยาที่แต่งกับพ่อฉันทีหลัง”
“แบบนี้นี่เอง”เจ้าหน้าที่ตำรวจตอบไปทันที จำวารุณีได้
นี่ไม่ใช่ดีไซเนอร์เสื้อผ้าคนนั้น ที่ช่วงนี้ดังมากๆหรอกเหรอ
ขยานีชี้ใส่วารุณี ตะโกนไปด้วยความโมโห“ตำรวจ เธอเนี่ยแหละ เธอทำร้ายลูกสาวฉันตาย!”
วารุณีขมวดคิ้ว“ฉันทำร้ายลูกสาวคุณตาย?”
“ใช่คุณขยานี แบบนี้ จะพูดซี้ซั้วไม่ได้นะ!”เจ้าหน้าที่ตำรวจมองขยานีด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ขยานีกำฝ่ามือ ดวงตาเต็มไปด้วยความโมโห“ฉันไม่ได้พูดซี้ซั้ว เพราะเธอ ลูกสาวฉันจึงถูกคนรังแก แล้วรับไม่ไหวจนต้องกระโดดตึก ทั้งหมดนี้ก็เพราะเธอทำลาย คุณยังจะนิ่งอยู่ทำไม ยังไม่รีบไปจับเธออีก!”
เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ขยับ ขยานีก็เข้าไปผลัก
เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกผลักจนสั่น ชุดตำรวจที่ตัวก็ยับไปหมด
เขาจับหมวกตำรวจ ตะโกนอย่างโมโห“พอแล้ว คุณทำแบบนี้ผมจะฟ้องคุณว่าทำร้ายเจ้าหน้าที่!”
ขยานีถูกตะโกนใส่ก็ตะลึง สักพักจึงได้สติคืนมา ตบขาแล้วร้องไห้ตะโกนไปว่า“ไม่มีเหตุผล โลกนี้ไม่มีเหตุผลเลย ฆาตกรอยู่ตรงหน้าแท้ๆ เป็นถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่ยอมจับ นี่มันเหตุผลอะไรกันฮือๆๆ……”
วารุณีมองขยานีที่งี่เง่า มุมปากก็กระตุกขึ้นมา รู้สึกว่าหมดคำพูดสุดๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็หมดคำพูดเช่นกัน ขี้เกียจสนใจขยานี หันหน้ามองไปที่วารุณี“คุณผู้หญิงคนนี้ เธอบอกว่าคุณเป็นฆาตกรทำร้ายพิชญา คุณอธิบายได้ไหมครับ?”
ตอนที่ขยานีพูดคำพูดพวกนี้ วารุณีก็เดาได้แล้วว่าตัวเองต้องถูกถาม หลังจากหัวเราะไป ก็ตอบไปอย่างใจกว้างไม่รู้สึกรู้สาใดๆไปว่า“คือแบบนี้ค่ะ ระหว่างฉันกับพิชญามีความบาดหมางกันจริงๆ แค่เคยเห็นความเห็นในอินเทอร์เน็ตช่วงก่อนหน้านี้ก็จะรู้ค่ะ”
“ผมก็เคยเห็นแล้ว”เจ้าหน้าที่ตำรวจพยักหน้า
วารุณีเหลือบมองขยานีที่ยังร้องไห้อยู่“เพราะว่าระหว่างฉันกับพิชญาไม่ถูกกัน ดังนั้นทุกครั้งพิชญาเกิดเรื่อง พวกเธอสองคนแม่ลูกก็จะมาโทษที่ฉัน ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอบอกว่าฉันทำร้ายลูกสาวเธอที่ถูกรังแก ดังนั้นจึงคิดสั้นแล้วกระโดดตึก ที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างนี้ เป็นพิชญาที่ทำเองแล้วได้รับผลเอง”
“อธิบายให้ละเอียดหน่อยได้ไหมครับ?”เจ้าหน้าที่ตำรวจหยิบสมุดบันทึกกับปากกาออกมาจากกระเป๋ายูนิฟอร์ม เตรียมจะบันทึก
วารุณีพยักหน้าเล็กน้อย“ได้แน่นอนค่ะ ต้องเริ่มพูดจากสัปดาห์ที่แล้ว”
“อย่าพูดนะ!”ขยานีทำตัวเหมือนแมวถูกเหยียบหาง ตะโกนเสียงแหลมด้วยหน้าตาที่ดูน่ากลัว อยากจะห้ามเธอ
แต่วารุณีทำเหมือนไม่ได้ยิน เอาเรื่องที่พิชญาหนีออกจากโรงพยาบาลประสาท ไปที่โรงแรมเพื่อคิดร้ายต่อนัทธี ค่อยๆพูดออกมา
แน่นอนว่า เธอก็เห็นแก่ตัวหน่อยๆ ปกปิดช่วงที่นัทธีแก้แค้นพิชญา เอาพิชญาไปทิ้งไว้กับผู้ชายสองสามคน บอกแค่ว่านัทธีไม่ได้ดื่มยาแก้วนั้น ยาแก้วนั้นถูกผู้ชายคนอื่นดื่มไป ดังนั้นพิชญาจึงถูกผู้ชายคนอื่นๆเหยียดหยาม
“เรื่องนี้ตอนนั้นที่โรงแรมวุ่นวายอย่างมาก ทางโรงแรมกับทางประธานนัทธีพิสูจน์ได้”วารุณีมองเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าใจ ก็พูดด้วยใบหน้าดูถูก“ทำเองก็รับผลกรรมที่ทำไว้เองจริงๆ ทำร้ายคนอื่นไม่สำเร็จ เลยลากตัวเองเข้าไปแทน”
“คุณพูดอะไรมั่วซั่วน่ะ ทำเองก็รับผลกรรมที่ทำไว้อะไรกัน?”ขยานีตะโกนใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างหน้าแดงหูแดง
คอของเจ้าหน้าที่ตำรวจเอนไปด้านหลัง“คุณจะตะโกนอะไร คุณเพิ่งบอกว่าคุณวารุณีทำให้พิชญาถูกเหยียดหยาม ดังนั้นจึงรับไม่ได้แล้วกระโดดตึก แต่ว่าตอนนี้ความจริงก็พิสูจน์แล้วว่าไม่เกี่ยวกับคุณวารุณี ดังนั้นที่คุณเพิ่งพูดไป ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้เลยนะ!”
ได้ยินดังนั้น ขยานีก็ตะลึงก่อน จากนั้นก็ยิ้มอย่างเย็นชาออกมา“พวกคุณเอาความผิดฐานหมิ่นประมาทมาบีบฉัน ถึงเรื่องที่พิชญากระโดดตึกไม่เกี่ยวกับเธอ แต่เธอก็ยังมีส่วนผิด”
พูดไป เธอก็จ้องวารุณีเขม็ง เหมือนอยากจะกลืนกินเธอทั้งตัว“ถ้าไม่ใช่เธอที่กลับประเทศมา ตอนนี้พิชญาก็ยังเป็นคู่หมั้นของนัทธี คงไม่มีทางมาถึงจุดนี้ในวันนี้แน่!”
“ความรู้สึกทั้งหมดนี้ก็ยังเป็นความผิดของฉัน ฉันไม่ควรกลับประเทศเหรอ”วารุณีหัวเราะกับความโมโหของเธอ
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตกใจกับตรรกะแปลกๆของขยานีจนทัศนคติถูกทำลาย เขาจัดหมวกตำรวจบนหัว แล้วพูดอย่างทนไม่ค่อยไหวว่า“พอแล้วๆ คุณรีบไปเถอะ ผมยังมีคำถามจะถามคุณวารุณี”
“ฉันไม่ไป ลูกสาวฉันถูกเธอทำร้ายจนตาย ฉันจะต้องพูดกับเธอให้ชัดเจน!”ขยานีตอบกลับด้วยใบหน้าเหยเก จากนั้นถกแขนเสื้อขึ้นจะทำร้าย
เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นแบบนี้ ก็อยากไปห้ามเธอ
แต่ขยานีที่ตกอยู่ในสภาวะไร้สติโดยสิ้นเชิง ตอนนี้กลับมีแรงมหาศาล ผลักเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไปโดยตรง แล้วพุ่งไปที่วารุณี
รูม่านตาวารุณีขยายกว้าง เวลานั้นจู่ๆก็ลืมหลบ
ตอนนี้เอง แขนที่แข็งแกร่งข้างหนึ่งก็ยื่นมา โอบไหล่ของเธอไว้ จับเธอหมุน หลบไปด้านข้าง
ขยานีกระโจนใส่อากาศ จุดศูนย์ถ่วงไม่มั่นคงจึงล้มลงพื้น เดิมทีที่มีรอยยิ้มร้ายกาจ เวลานี้ก็เปลี่ยนเป็นเจ็บปวด ล้มลงไปด้วยความเจ็บอย่างชัดเจน
เจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อสภาพที่น่าสังเวชของเธอ ก็แอบพูดในใจว่าสมน้ำหน้า แต่ก็ยังเดินไปข้างหน้า ไปประคองเธอขึ้นมา ยังไงสวมชุดตำรวจแบบนี้ ก็ต้องทำแบบนี้แหละ
ส่วนอีกด้าน นัทธีปล่อยไหล่ของวารุณีออก มองสำรวจเธอไปมา“ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ฟังน้ำเสียงของเขาที่กังวลและใส่ใจออก วารุณีก็ส่ายหน้า ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ดีที่คุณมาทันเวลา”
“ไม่เป็นไรก็ดี”ใบหน้าที่ตึงแน่นของนัทธีผ่อนคลายลง จากนั้นหรี่ตาลง มองไปที่ขยานีอย่างเย็นชา
ขยานีหดคอลงอย่างไม่รู้ตัว หลบสายตาของเขาอย่างหวาดกลัว
มองสภาพขี้ขลาดของเธอแล้ว วารุณีก็ยิ้มอย่างเยาะเย้ยไป แล้วดึงแขนของนัทธี“เอาเถอะนัทธี ไม่ต้องสนเธอหรอก พวกเรามาคุยธุระดีกว่า”
นัทธีเงยคางขึ้นเล็กน้อย แล้วละสายตาออกจากขยานี
หลังจากขยานีรู้สึกว่าความกดดันหายไปก็โล่งอก จากนั้นแป๊บเดียว ก็ได้ยินวารุณีกำลังพูดว่า“ตำรวจคะ ที่จริงที่ฉันอยู่ตรงนี้ ก็เพราะสงสัยว่าคนที่ฆ่าตัวตายไม่ใช่พิชญาค่ะ!”