“ฉันรู้สึกเหมือนว่ามีคนกำลังมองฉันค่ะ”วารุณีขมวดคิ้วแน่นแล้วถาม
“มีคนมองคุณ?”นัทธีได้ยินคำนี้ ก็ลดกระจกรถลงมาหมด ยื่นหัวมองไปทางที่เธอมอง
อย่างไรก็ตามทางนั้นนอกจากจะมีถังขยะสองอันแล้ว ก็มีแค่หมาจรจัดสองตัว ไม่มีใคร
วารุณีละสายตากลับ เอาหน้าหันกลับมา“บางทีฉันอาจจะรู้สึกไปเอง”
“โอเค รีบขึ้นรถเถอะ”นัทธีก็หันหัวกลับไป
วารุณีตอบอือ ไม่คิดอะไรมาก แล้วขึ้นรถ
กลับไปถึงคอนโด ป้าส้มก็ทำอาหารเสร็จแล้ว
วารุณีพาลูกทั้งสองคนเข้าไปคอนโดของนัทธี
ตอนนี้เธอคบกับนัทธีแล้ว ความเกรงใจหน่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้ว
บนโต๊ะอาหาร หลังจากป้าส้มตักซุปให้เด็กทั้งสองคนแล้ว จู่ๆก็มองไปที่นัทธีแล้วพูดว่า“คุณผู้ชาย ตอนนี้คุณกับคุณวารุณีคบกันแล้ว แต่ทั้งสองไปๆมาๆดูลำบาก ไม่งั้นพวกเรากับพวกคุณวารุณีย้ายกลับคฤหาสน์ด้วยกันเถอะค่ะ”
“คฤหาสน์?”ไอริณกะพริบตาอย่างงงงวย
“ผมรู้”อารัณชูมือขึ้น“เป็นสถานที่ที่เมื่อก่อนคุณอานัทธีเคยอยู่ ผมเคยไปครั้งหนึ่ง ทั้งใหญ่ทั้งสวย”
“จริงเหรอคะ?”ดวงตาของไอริณเป็นประกาย
อารัณพยักหน้าเล็กๆนั้นลง“จริงๆ มีสวนดอกไม้กับสระว่ายน้ำด้วย”
“ดีจัง พ่อคะ ไอริณไปได้ไหม?”ไอริณปีนลงจากเก้าอี้ วิ่งไปที่ข้างเก้าอี้นัทธี ดึงแขนของนัทธี
นัทธีวางตะเกียบลง ลูบผมของเธออย่างอ่อนโยน“ได้สิ งั้นก็ย้ายกลับไปด้วยกันเถอะ”
พูดไป เขาก็มองวารุณีที่อยู่ตรงข้าม
วารุณีหน้าแดงก่ำ
ย้ายเข้าไป?
นั่นไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือไง?เร็วเกินไปหรือเปล่านะ?
“หม่ามี๊……”เห็นวารุณีไม่แสดงอาการ ไอริณจึงวิ่งตึกๆๆไปข้างวารุณีอีกครั้ง เขย่าแขนของวารุณีอย่างออดอ้อน
วารุณีไอออกมาเบาๆอย่างอึดอัด พูดกับนัทธีว่า“เอ่อคือ ฉันเคยได้ยินป้าส้มบอกว่า คฤหาสน์คุณกำลังตกแต่งภายในใหม่ อีกนานถึงจะย้ายกลับไปได้ไม่ใช่เหรอคะ?”
“ผมก็จำได้”อารัณพูดอย่างไม่ยอมน้อยหน้า
ป้าส้มละสายตามองไปทางอื่นอย่างร้อนตัว“เอ่อ……ป้าเคยพูดเหรอคะ?”
ดวงตาวารุณีเบิกโตไม่อยากจะเชื่อ“ป้าส้มลืมแล้วเหรอคะ?”
ป้าส้มหัวเราะอย่างเขินๆ“น่าจะลืมแล้วค่ะ”
“พอเถอะ”นัทธีกดไปที่คิ้ว“ที่จริงคฤหาสน์ไม่ได้ตกแต่งภายในอะไรหรอก นั่นก็แค่ข้ออ้างที่ผมจะย้ายมานี่”
“ข้ออ้าง?”วารุณีตะลึง เอียงหน้าอย่างงุนงง“คุณย้ายมาที่นี่ทำไมต้องมีข้ออ้างล่ะ?”
“เพราะว่าคุณ”ริมฝีปากบางๆของนัทธีขยับเบาๆ
วารุณีชี้ไปที่ตัวเอง“ฉันเหรอ?”
“เฮ้อคุณวารุณี คือแบบนี้ค่ะ”ป้าส้มดูต่อไปไม่ไหว เลยอธิบายแทนนัทธี“ตั้งแต่ทารีนาถูกจับไป คุณผู้ชายก็ตัดสินใจจีบคุณวารุณีแล้วค่ะ ขั้นตอนแรกก็อยู่ใกล้คุณก่อน แต่จู่ๆย้ายมาก็ดูกะทันหันไป ก็เลยหาข้ออ้างอย่างนั้น”
“ที่แท้ก็แบบนี้เอง”ฟังคำพูดของป้าส้มแล้ว วารุณีก็มองนัทธีอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เธอคิดไม่ถึงจริงๆ จู่ๆเขาก็มีมุมที่เด็กน้อยแบบนี้ด้วย
นัทธีถูกวารุณีมองก็รู้สึกอึดอัด ริมฝีปากบางๆเม้มลง เปลี่ยนหัวข้อไปว่า“คิดดีหรือยังว่าจะย้ายไหม?”
อารัณกับไอริณก็รีบจ้องไปที่วารุณี
วารุณีก้มหน้าลงอย่างครุ่นคิด
เห็นแบบนี้ ป้าส้มก็กลอกตาไปมา โน้มน้าวไปว่า“คุณวารุณี คุณย้ายไปเถอะค่ะ ยังไงคุณก็คบกับคุณผู้ชายแล้ว ต่อไปแต่งงานแล้วก็ต้องย้ายไป ตอนนี้ก็ไปล่วงหน้าไงคะ อีกอย่างที่นั่นก็มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี ปกติตอนที่พวกคุณไม่อยู่ ก็ไม่ต้องห่วงความปลอดภัยของเด็กทั้งสองคน”
ได้ยินดังนั้น สายตาวารุณีก็สั่นคลอน ในใจก็เริ่มไขว้เขว
ก็จริง บางครั้งที่เธอยุ่ง ก็จะเอาลูกสองคนทิ้งไว้ที่คอนโด ถึงระบบความปลอดภัยของคอนโดจะไม่เลว แต่คนที่ตั้งใจเข้ามา ก็ยังเข้ามาได้ อย่างเช่นครั้งที่แล้วที่คนพวกนั้นจับตัวเธอไป
แต่คฤหาสน์ของนัทธีต่างกัน คฤหาสน์ของเขาตั้งอยู่ที่กลางไหล่เขา มีแค่ของเขาแห่งเดียว เรียกได้ว่าไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ยามที่ใต้เขาก็ไม่ให้ใครเข้าไป ลูกทั้งสองคนอยู่ที่นี่ เธอก็จะไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย
คิดถึงตรงนี้ วารุณีก็สูดลมหายใจลึกๆ ประนีประนอมออกไปว่า“งั้นก็ย้ายไปเถอะ”
นัทธียกมุมปากขึ้นทันที
เด็กทั้งสองกระโดดขึ้นมาอย่างดีใจ“เย้ ต่อไปก็จะได้อยู่กับพ่อและหม่ามี๊แล้ว”
มองดูลูกทั้งสองคนก็ยิ้มอย่างเบิกบาน อาการที่ใบหน้าของวารุณีก็อดไม่ได้ที่จะดูดอ่อนโยนขึ้นมา
ป้าส้มมองฉากอันอบอุ่นนี้ ยิ้มออกมาอย่างเมตตา
เธอคิดว่าตัวเองพอจะคาดเดาได้ว่า คฤหาสน์ที่เยือกเย็นหลังนั้น จะต้องครึกครื้นแน่
“งั้นพรุ่งนี้ย้ายไปละกัน กินข้าวก่อนเถอะ”นัทธีคีบเนื้อวัวนุ่มๆชิ้นหนึ่ง วางใส่ในจานวารุณี
วารุณีหัวเราะ ก็ทำหมูไปไก่มาบ้าง คีบผักที่เขาชอบกินไปให้เขาด้วย
กินข้าวเสร็จ นัทธีก็ไปจัดการเอกสารที่ห้องทำงาน
วารุณีพาลูกสองคนกลับไปที่คอนโดตัวเอง อาบน้ำให้ทั้งสองคน
อาบน้ำเสร็จ ลูกทั้งสองคนก็กลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างเชื่อฟัง เตรียมเข้านอน
เรื่องการนอน ลูกทั้งสองคนไม่เคยทำให้วารุณีกังวลใจ ดังนั้นหลังจากวารุณีห่มผ้าให้ลูกทั้งสองคนแล้ว ก็ออกไปอย่างโล่งอก
เวลายังไม่ดึกนัก เพิ่งจะสามทุ่มกว่า
วารุณียังไม่ง่วง เธอเปิดประตูห้องทำงานแล้วเข้าไป คิดว่าจะตัดเสื้อผ้าที่ให้นัทธีให้เสร็จ
ที่จริงชุดก็ตัดไปได้พอประมาณแล้ว ขาดกี่ไม่กี่ขั้นตอนสุดท้าย เชื่อว่าภายในสองชั่วโมงต้องทำเสร็จแน่
ดังนั้นแป๊บเดียว วารุณีก็หมกมุ่นอยู่กับงาน
ตอนที่นัทธีผลักประตูเข้ามา เธอก็ไม่เห็น
จนกระทั่งนัทธีเดินไปด้านหลังเธอ กอดเธอจากด้านหลัง หญิงสาวตัวสั่น หลุดออกมาจากสภาวะที่ตั้งใจ
“คุณมาทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย ฉันตกใจหมด!”วารุณีหันไปมองชายหนุ่ม ตบหน้าอกอย่างขวัญเสียหน่อยๆ
ชายหนุ่มรัดแขนที่เอวของหญิงสาวแน่นขึ้น“ผมเคาะประตูแล้ว คุณไม่ได้ยินเอง”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่จากน้ำเสียงของเขา วารุณีฟังความน้อยใจในนั้นออก“เหรอ?ความสนใจของฉันน่าจะจดจ่อไปหน่อย เลยไม่ได้ยิน คุณดูเอกสารเสร็จแล้วเหรอ?”
“ดูเสร็จแล้ว ก็เลยมาหาคุณไง เห็นว่าคุณไม่อยู่ที่ห้องนอน ก็เลยมานี่”นัทธีก้มหน้าลง เอาศีรษะถูไถไปที่คอของเธอ
วารุณีถูกเขาถูไถจนคัน หัวเราะไปหลบไป“พอแถว อย่าถูสิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“เรื่องอะไร?”นัทธีหยุดลง เงยมองเธอ
วารุณีเอามือของเขาออกมาจากช่วงเอว หยิบชุดสูทที่โต๊ะทำงานขึ้นมา จากนั้นหันตัวกลับ ชูตรงหน้าเขา“ลองดูสิว่าพอดีตัวไหม?”
นัทธีมองชุดสูทตรงหน้า แสดงอาการตกใจ“คุณทำให้ผมเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!”วารุณีพยักหน้า
ริมฝีปากบางๆของนัทธีขยับ ในใจรู้สึกแค่ว่าความรู้สึกปีติยินดีมหาศาลพุ่งเข้ามาแล้ว
เขายังคิดว่า เธอทำให้ลูกค้าที่ไหนเสียอีก
“รีบลองดูสิ”วารุณีเห็นชายหนุ่มยืนไม่ขยับ ก็พูดเร่งอย่างทนไม่ไหว
ชายหนุ่มตอบอือ แล้วเริ่มปลดกระดุมเสื้อที่ตัว
แป๊บเดียว สูทราคาแพงที่ตัวเขาก็ถอดออกมา จากนั้นทิ้งไว้ที่โต๊ะทำงาน
วารุณีเปิดสูทที่ตัวเองเพิ่งทำเสร็จออก ยกขึ้นสูงเล็กน้อย ให้เขาสวมสะดวก
นัทธีสวมเสร็จ วารุณีจึงก้มหน้าลงช่วยเขาติดกระดุม จากนั้นถอยหลังไป ลูบคางพลางมองผลลัพธ์
มองเสร็จ เธอก็กลับไปที่เมื่อครู่อีกครั้ง ช่วยเขาจัดช่วงคอให้เรียบร้อย“คุณว่าเป็นไงบ้าง?มีตรงไหนไม่สบายไหม ถ้ามีก็บอกมาค่ะ ฉันจะแก้ให้เลย”