ปาจรีย์หยุดเยาะเย้ย เอาการ์ดเชิญสีดำใบหนึ่งในมือ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรำลึกยื่นให้เธอ“อ่ะ อันนี้ฉันได้มาตอนเช้า พ่อเลวๆของเธอให้คนส่งมาให้”
“อะไรเหรอ?”วารุณีรับมาอย่างสงสัย
ปาจรีย์เบะปากพูดว่า“การ์ดเชิญงานศพของพิชญา ให้เธอไปร่วมงานศพของเธอน่ะ”
ได้ยินดังนั้น สายตาวารุณีหม่นลง มุมปากฉีกยิ้มเป็นมุมออกมาอย่างเยาะเย้ย“เขารู้อยู่แล้วว่าฉันกับพิชญาไม่ถูกกัน ยังจะเชิญฉันไปร่วมงานอีก ไม่กลัวฉันก่อเรื่องอะไรที่งานศพเหรอ?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ สมองของพ่อเลวๆคนนั้นของเธอกลับกลอก คนปกติอย่างพวกเราไม่เข้าใจหรอก”ปาจรีย์ยักไหล่
วารุณีเอาการ์ดเชิญทิ้งไว้ที่โต๊ะทำงาน“เอาเถอะ ในเมื่อเขาชวนแล้ว งั้นฉันก็จะไปดูหน่อยละกัน”
ปาจรีย์ดึงเก้าอี้นั่งลงไป“วารุณี ในเมื่อสุภัทรส่งการ์ดเชิญมาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะแน่ใจแล้วนะ คนที่กระโดดตึกคือพิชญาน่ะ”
“ใช่พิชญาแหละ เมื่อกี๊ตำรวจโทรมาหาฉัน”วารุณีเปิดคอมไป ก็พูดที่คุยกับหัวหน้าปริญออกมา
ปาจรีย์ถอนหายใจอย่างรู้สึกปลง“โอเค ในเมื่อเธอตายแล้วจริงๆ งั้นฉันก็จะปล่อยวางความรังเกียจที่มีต่อเธอ ฉันไม่ได้ใจแคบขนาดรังเกียจคนตายได้”
“อือ ฉันก็ด้วย”วารุณีพยักหน้า
คนตายแล้วสิ่งที่ค้างคาต่อกันก็จากไปด้วย
เธอก็ไม่แค้นพิชญาอีกแล้ว
“โอเค ฉันไปทำงานละ งานเลี้ยงฉลองตอนกลางคืนอย่าลืมล่ะ”ปาจรีย์ยันโต๊ะยืนขึ้นมา
วารุณีตอบอือ แล้วหัวเราะ“วางใจเถอะ ฉันไม่ลืมแน่”
ที่จริงงานเลี้ยงฉลองนั้นมีเมื่อคืน แต่เนื่องจากเรื่องที่พิชญากระโดดตึก จึงทำให้หมดอารมณ์
ดังนั้นจึงเลื่อนเป็นคืนนี้
“โอเค งั้นฉันไปละ”ปาจรีย์หันกลับออกไป
หลังจากเธอไป วารุณีก็หยิบอัลบั้มออกแบบออกมา เริ่มทำงาน
จนช่วงเย็น เธอก็ยืดเอวบิดขี้เกียจ เอาอัลบั้มออกแบบวางกลับไปในลิ้นชักแล้วล็อกไว้ หยิบโทรศัพท์โทรหานัทธี
แป๊บเดียวก็รับสาย มีเสียงทุ้มหวานของนัทธีเข้ามา“ฮัลโหล”
“นัทธี เรื่องย้ายบ้าน เลื่อนเป็นพรุ่งนี้ได้ไหม?”วารุณีพิงพนักเก้าอี้ ใช้น้ำเสียงปรึกษากันพูดกับคนที่ปลายสาย
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว“ทำไมล่ะ?”
“เมื่อวานฉันลืมบอกคุณ วันนี้สตูดิโอฉันมีงานเลี้ยงฉลอง”วารุณีแลบลิ้นออกมาอย่างรู้สึกผิด
คิ้วของชายหนุ่มคลายออก“ไม่ต้อง ย้ายบ้านตามเดิม พวกเสื้อผ้ากับของใช้ในชีวิตประจำวันอะไรพวกนั้น ผมให้มารุตเตรียมไว้หมดแล้ว คุณไม่ต้องเก็บอะไรทั้งนั้น ของที่สำคัญๆ ไว้ค่อยเอาไปก็ได้”
“อ๋า คุณเตรียมไว้หมดแล้ว?”วารุณีตะลึง
นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย“ใช่”
วารุณีจับหน้าผาก“คุณนี่รอบคอบไม่ขาดตกบกพร่องจริงๆ อะไรก็คิดแทนฉันไว้หมดแล้ว แบบนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วฉันจะถูกคุณทำเสียคน จากนั้นก็เอาแต่พึ่งคุณเรื่อยๆ”
“พึ่งผมไม่มีตรงไหน ยิ่งคุณพึ่งผม ต่อไปก็จะไปจากผมไม่ได้“นัทธียกมุมปากขึ้นมา พูดอย่างแข็งแกร่ง
วารุณีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“โอเค ไม่มีอะไรแล้ว ฉันวางก่อนนะ”
“เดี๋ยว”นัทธีเรียกหยุดเธอไว้
วารุณีเอาโทรศัพท์วางกลับไปที่ข้างหูใหม่“ทำไมเหรอ?”
“งานเลี้ยงฉลองพวกคุณจัดที่ไหน?”นัทธีจัดท่านั่งเล็กน้อยแล้วถาม
“สุนทรีอเวนิว”วารุณีพูดที่อยู่ออกไป จากนั้นก็กะพริบตา“คุณจะมาเหรอ?”
สุนทรีอเวนิวคือสถานที่ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดจันทร์
ด้านในมีรายการทุกอย่างทั้งกินดื่มเล่น งานเลี้ยงฉลองของพวกเขาคืนนี้ ก็กินข้าวก่อน จากนั้นร้องเพลง
“ไม่หรอก พวกคุณสนุกให้เต็มที่”นัทธีส่ายหน้าเล็กน้อย
เขาไม่ชอบสถานที่คนเยอะแบบนั้น
“โอเค”วารุณียักไหล่
ที่จริงเธอแค่ถามตามมารยาท ไม่ได้อยากจะพาเขาไปจริงๆ
ยังไงเขาไป คนอื่นๆไว้หน้าเขา จะต้องอึดอัดแน่ ดีที่เขาก็ไม่ได้พูดว่าจะไป ไม่งั้นเธอก็ไม่รู้จะปฏิเสธเขาอย่างไร
“จะเสร็จแล้ว โทรหาผม ผมจะไปรับคุณ”นิ้วมือของนัทธีเคาะที่รองแขนของเก้าอี้ทำงานเบาๆ
วารุณีไม่ปฏิเสธ พยักหน้าพูดตกลง แล้ววางสาย
ปาจรีย์ผลักประตู ยื่นหน้าเข้ามา“วารุณี ไปได้ยัง?”
“ไปเถอะ”วารุณีสะพายกระเป๋า ลุกขึ้นเดินไป
ทั้งสองพาคนที่สตูดิโอสิบกว่าคนมาที่สุนทรีอเวนิว ไปกินบุฟเฟต์อาหารทะเล
พอกินบุฟเฟต์อาหารทะเลเสร็จ ก็สามทุ่มกว่าแล้ว
กลุ่มคนก็รีบพุ่งไปที่KTV
ทุกคนต่างสนใจกันมาก เลือกเพลงจะร้องก็เลือกเพลงไป เล่นเกมก็เล่นเกมไป ทั้งห้องส่วนตัวก็คึกคักสุดๆ
วารุณีเล่นอยู่สักพัก รู้สึกอุดอู้หน่อยๆ หลังจากบอกปาจรีย์แล้ว ก็เปิดประตูห้องส่วนตัว ออกไปตากอากาศ
สุดท้ายเธอเดินออกจากKTV ก็มีคนเรียกชื่อของเธอ“เอ๋ นี่ไม่ใช่วารุณีเหรอ?”
วารุณีหันไปมอง มองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดทันสมัยสุดเซ็กซี่ หุ่นสูงเพรียวสุดๆยืนอยู่ไม่ไกล กำลังมองมาที่ตัวเองอย่างตกใจ
วารุณีมองสำรวจหญิงสาวอย่างสงสัย รู้สึกคุ้นตาหน่อยๆ แต่คิดไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน ได้แต่ยิ้มอย่างมีมารยาทแล้วพูดไปว่า“สวัสดีค่ะ ขอโทษนะคะคุณคือ?”
สีหน้าหญิงสาวหม่นลงทันที เหยียบรองเท้าส้นสูงเกือบสิบเซ็นเดินมาตรงหน้าวารุณี พูดอย่างเสียดสีออกไปว่า“ผู้ดีหยิ่งยโสลืมมิตรภาพเก่าๆจริงๆด้วย พวกเราเป็นรูมเมทในมหาลัยมาตั้งหนึ่งปี เธอก็ดันมาลืมฉัน”
“รูมเมทหนึ่งปี?”วารุณีละสายตาลงคิด ดวงตาเป็นประกาย“เธอคือสุชาดา!”
หญิงสาว ซึ่งก็คือสุชาดา กอดอกด้วยใบหน้าหยิ่งผยอง“คิดออกแล้วเหรอ?”
วารุณีหัวเราะ แต่รอยยิ้มกลับไม่สอดคล้องด้วย ดูห่างเหินและเกรงใจ“อือ เธอเตือนฉัน ก็เลยคิดออก เธอเปลี่ยนไปอย่างมาก”
เธอสำรวจหญิงสาวตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
ผู้หญิงตรงหน้านี้เป็นรูมเมทตอนปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยจันทร์ ของเธอเมื่อเจ็ดปีก่อน คณะศิลปศาสตร์ แต่ความสัมพันธ์ไม่ดีนัก เพราะว่าสถานภาพทางครอบครัวของสุชาดาไม่ดี ตัวเธอก็ดูบูดบึ้งและต่ำต้อย ปฏิบัติต่อทุกคนในห้องพักอย่างไม่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเธอ ที่ไม่ถูกชะตาอย่างมาก อะไรก็เอาแต่ตำหนิ ไม่มีเหตุผลสักนิด แต่ก็คนที่แทบจะเหยียบเธอจมดินแบบนี้นี่แหละ ดันมาทักเธอก่อนเอง ทำให้เธอแปลกใจอย่างมาก
“ใช่ ตอนนี้ฉันเป็นนางแบบ ถึงมีชื่อเสียงเล็กน้อย ก็เปลี่ยนแปลงมากแล้วไม่ใช่เหรอ”สุชาดายิ้มอย่างภูมิใจ
วารุณีฟังความโอ้อวดในน้ำเสียงของเธอออก มุมปากก็กระตุก“ที่แท้ก็แบบนี้ ส่วนสูงน้ำหนักของเธอดี เหมาะกับเป็นนางแบบมาก ยินดีด้วย”
“ขอบคุณนะ”สุชาดาลูบกระเป๋าที่คล้องแขนไว้เหมือนไม่ตั้งใจนัก“งั้นเธอล่ะ?ตอนนี้เธอทำอะไร ยังเป็นดีไซเนอร์เสื้อผ้าอยู่ไหม?”
“ใช่”วารุณีพยักหน้า
สุชาดาปิดปากยิ้มออกมาอย่างดูถูก“ดูเหมือนเธอจะใช้ชีวิตไม่เท่าไหร่นะ?”
“อ้อ?”วารุณีเลิกคิ้วขึ้น“ยังไงเหรอ?”
“ชื่อเสียงไง ฉันอยู่ในวงการแฟชั่น ไม่เคยได้ยินเธอเลย”
สุชาดามองวารุณีไปรอบๆ ในแววตาเต็มไปด้วยความสะใจของคนที่เหนือกว่า“ดูสิตอนนั้นเธออยู่ที่มหาวิทยาลัยจันทร์ เป็นถึงคนมีพรสวรรค์ที่มีชื่อเสียงของสาขาออกแบบเสื้อผ้า ทำไมตอนนี้เป็นแบบนี้ล่ะ ไม่งั้นก็ขอร้องฉันสิ ถ้าขอร้องแล้วฉันมีความสุขล่ะก็ ฉันจะแนะนำดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงให้เธอ ให้เธอรับเธอไว้เอาไหม?”
พูดจบ เธอก็จ้องวารุณีเขม็ง รอให้วารุณีพูด
แค่วารุณีพูด เธอก็จะสามารถเหยียบหญิงสาวที่มีพรสวรรค์ที่ทำให้เธอทั้งหมั่นไส้และอิจฉาตาร้อนคนนั้น ในตอนนั้นไว้ใต้เท้าได้
วารุณีมองความคิดในใจของสุชาดาออก รู้ว่าเธอจงใจหาเรื่อง สายตาก็เย็นชา กำลังจะพูด
จู่ๆปาจรีย์ก็เดินมาจากด้านหน้าด้วยใบหน้าโกรธจัด เอาวารุณีไปไว้ด้านหลัง“น่าตลก ก็แค่นางแบบโสเภณีที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร แต่กล้าคุยโวโอ้อวดอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย!”