คิดไป สุชาดาก็จ้องวารุณีด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจอย่างมาก
วารุณียกมุมปากขึ้นมาอย่างหมดคำพูด รู้สึกว่าเธอบ้า ขี้เกียจสนใจเธอ
ตอนนี้เอง จู่ๆอัครเดชก็หยิบนามบัตรใบหนึ่งออกมา ผ่าสายฝนวิ่งลงบันได มายืนตรงหน้านัทธี แล้วมือทั้งสองข้างก็ยื่นนามบัตรไปอย่างเกรงใจว่า“สวัสดีครับประธานนัทธี”
นัทธีเงยหน้าขึ้นมา มองเขาอย่างเย็นชา แล้วพูดออกมาสามคำอย่างเยือกเย็นว่า“คุณคือใคร?”
“ผมชื่ออัครเดช เป็นทายาทของบริษัท แสงชัยเคมีภัณฑ์ กรุ๊ป อลงกรณ์คือพ่อผมเองครับ”อัครเดชยังคงถือนามบัตรไว้ ถึงแม้ตัวสั่นเพราะเปียกฝนก็ไม่สน
อย่างไรก็ตามนัทธีไม่สนใจนามบัตรของเขาเลยสักนิด ไม่แม้แต่แลมอง ละสายตากลับไป“ไม่รู้จัก ครั้งหน้าละกัน”
สี่คำสุดท้ายของเขา พูดกับวารุณี น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้นเยอะ
วารุณีตอบอือ เอากระเป๋ามาบังหัวไว้ แล้วรีบวิ่งลงจากบันได หลบอยู่ในร่มคันใหญ่ของนัทธี
นัทธีเอาเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่แขนยื่นให้เธอ“สวมซะ มันเย็น”
มองดูเป็นเสื้อคลุมของผู้หญิง
วารุณีรับเสื้อคลุมมาสวม ไซซ์พอดีเลย เหมาะสมมาก
เธอรูดซิปขึ้นแล้วมองเขา“คุณเอามาให้ฉันโดยเฉพาะเลยเหรอคะ?”
“อือ”นัทธีพยักหน้า
ในใจของวารุณีรู้สึกอบอุ่นมาก ดวงตาก็ยิ้มเป็นพระจันทร์เสี้ยว
นัทธียกมือขึ้นมา ตอนที่ใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดเม็ดฝนบนหน้าของเธอ ที่เพิ่งลงมา ท่าทีนั้นดูอ่อนโยนมาก
อัครเดชกับสุชาดาจึงมองทั้งสองคนแสดงความรักต่อกัน ทั้งอึดอัด และอิจฉา
ที่ดูอึดอัดก็คืออัครเดช คำว่าไม่รู้จักของนัทธี ทำให้เขาเสียหน้า แทบอยากจะหารูมุดเข้าไป
ส่วนที่อิจฉาคือสุชาดา เธอมองอัครเดช แล้วก็มองนัทธี ไม่เข้าใจว่าเป็นแฟนเหมือนกัน ทำไมถึงต่างกันแบบนี้
แฟนหนุ่มของวารุณี ถามไถ่วารุณีอย่างอ่อนโยน ส่วนแฟนของเธอนั้นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคย แล้วยังทะเลาะกับเธอจนเลิกกัน ทำให้เธอโกรธแทบตาย
“ไปเถอะนัทธี พวกเรากลับไปเถอะ”วารุณีไม่รู้ว่าในใจสุชาดากำลังคิดอะไรอยู่ และก็ไม่อยากรู้ คล้องแขนของนัทธีไว้ แล้วพูดกับเขา
นัทธีก็รู้สึกพึงพอใจอีกครั้งกับคำพูดนั้นของเธอ แววตามีรอยยิ้มบางๆ หลังจากเอาที่จับร่มไว้ที่มืออีกข้าง ก็พาเธอหันกลับ เดินไปตรงที่จอดรถ
สุดท้ายเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกสุชาดาเรียกไว้
สุชาดามองแผ่นหลังของนัทธี มือทั้งสองข้างวางไว้ที่มุมปาก ทำเป็นเหมือนโทรโข่งพูดไปว่า“คุณผู้ชายคนนี้ คุณรู้ไหมว่าแฟนของคุณเป็นคนแบบไหน?”
นัทธีหยุดฝีเท้าลง วารุณีก็หยุดตาม
แต่นัทธีกลับไม่หันหน้า มีแค่วารุณีที่หันหน้ากลับไป มองสุชาดาด้วยสายตาหม่นลง
ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้ จะก่อเรื่องอีกแล้ว
ไม่ใช่แค่เธอที่คิดแบบนี้ อัครเดชก็คิดได้เหมือนกัน รีบชี้ไปที่สุชาดา“หุบปาก คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอะไร?”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าฉันกำลังจะพูดอะไร”สุชาดามองเขา จากนั้นเอาสายตากลับไปมองที่นัทธี“คุณผู้ชายคนนี้ แฟนสาวของคุณ ไม่ใช่คนที่จิตใจดีบริสุทธิ์อะไร เป็นคนมีแผนอุบายเจ้าเล่ห์สุดๆ”
“คุณ……คุณ……”อัครเดชตกใจจนเกือบหมดสติไป
ยัยโง่นี่อยากตายเหรอ กล้าว่าแฟนของประธานนัทธี ต่อหน้าของประธานนัทธี!
นี่ไม่ใช่ว่าตบหน้าประธานนัทธีต่อหน้าสาธารณชน บอกว่าประธานนัทธีมีตาไม่มีแววหรือไง?
สุชาดาจึงไม่สนว่าอัครเดชจะคิดอย่างไร มองวารุณีอย่างภูมิใจ
ในเมื่อวารุณีกล้าทำให้อัครเดชทะเลาะจนเลิกกับเธอได้
งั้นเธอก็จะยุยงพวกเขา ทางที่ดีที่สุดก็จะให้คุณผู้ชายคนนั้นเลิกกับวารุณี ให้เธอไม่อยู่สุข เธอก็จะทำให้วารุณีไม่อยู่สุขด้วย!
วารุณีฉลาด เข้าใจทันทีว่าสุชาดามีความคิดอะไร สีหน้าก็เย็นชา แต่ไม่ได้ตอบโต้ใดๆ กลับมองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ
เธอไม่สนใจว่าสุชาดาจะว่าเธออย่างไรได้ แต่ไม่สนใจความคิดของเขาไม่ได้
เธออยากรู้ว่า เขาจะเชื่อคำพูดของสุชาดา คิดว่าเธอเป็นคนอย่างที่สุชาดาพูดจริง จากนั้นก็ไม่พอใจเธอหรือไม่
“คุณพูดเรื่องพวกนี้กับผมทำไมเหรอ?”นัทธีตระหนักถึงสายตาของวารุณี ก็บีบฝ่ามือของเธอไว้ จากนั้นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองสุชาดาด้วยสายตาเย็นชา
สุชาดาสบตากับสายตาของเขา อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น“ฉัน……ฉันก็แค่อยากให้คุณรู้จักแฟนของตัวเองให้ดี คนที่เพอร์เฟคอย่างคุณนี้ วารุณีไม่คู่ควรกับคุณเลย”
นัทธีไอเบาๆ น้ำเสียงเย็นชาอย่างเปิดเผย“เธอคู่ควรหรือไม่ ก็อยู่ที่ผม ไม่ใช่จากที่คุณพูด ยิ่งไปกว่านั้นเป็นผมเองที่จีบเธอ เธอเป็นคนแบบไหน ในใจของผมรู้ดี ถึงเธอจะเป็นคนที่ชั่วร้ายอย่างมาก แค่ผมชอบ เธอฆ่าคนผมก็จะโยนศพให้เธอเอง เข้าใจไหม?”
ฟังคำพูดที่น่าตกใจของเขา สุชาดาก็ตกใจ พูดไม่ออกอย่างตะลึง
มีแค่วารุณีที่มองนัทธีด้วยเบ้าตาที่แดงก่ำ ในใจรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก“นัทธี……”
นัทธีบีบจมูกเธออย่างเอ็นดู จากนั้นโอบไหล่ของเธอ ก้าวเท้าไปที่หน้ารถอีกครั้ง
ขึ้นรถมา นัทธีก็เปิดแอร์ให้ความร้อนในรถ แล้วข้างในรถก็อบอุ่นขึ้นมา
วารุณีถอนหายใจ ในที่สุดก็ไม่หนาวขนาดนั้นแล้ว ร่างที่เกร็งก็คลายออก
“สองคนเมื่อกี๊ คุณรู้จักได้ไง?”นัทธีขับรถไป ใช้หางตาเหลือบมองเธอไปด้วย
ตอนที่เขาขับรถมา ก็มองเห็นเธอยืนหน้าอเวนิว คุยกับสองคนนั้นอยู่ไกลๆ
“พวกเขาเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัยหมดเลย”วารุณีเป่าลมออกไป ที่ฝ่ามือเย็นเฉียบแล้วตอบกลับ
“ที่ซาชิโอเหมือนกันเหรอ?”นัทธีขมวดคิ้ว
วารุณีส่ายหน้า“แน่นอนว่าไม่ใช่ ซาชิโอไม่มีนักเรียนนิสัยแย่แบบนี้แน่ พวกเขาคือเพื่อนที่มหาวิทยาลัยจันทร์ของฉัน เจ็ดปีก่อน ฉันเคยเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยจันทร์หนึ่งปี แล้วจึงไปต่างประเทศ”
ที่แท้ก็แบบนี้
นัทธีเงยคางขึ้นหน่อยๆ สื่อว่าเข้าใจแล้ว
“ต่อไปอยู่ให้ไกลสองคนนั้นหน่อย”เขากำชับ
วารุณีพยักหน้า“ฉันรู้ ที่จริงฉันก็ไม่ค่อยสนิทกับพวกเขานัก ไม่ไปใกล้ชิดมากหรอก”
“งั้นก็ดี”นัทธีตอบอืออย่างพึงพอใจ
วารุณีหาวออกมา รู้สึกว่าหัวนั้นมึนหน่อยๆ
นัทธีคิดว่าเธอง่วง เอามือข้างหนึ่งออกมาจากพวงมาลัย ช่วยเธอปรับที่นั่งลงมา“ง่วงก็นอนเถอะ ถึงแล้วผมจะเรียกคุณ”
“โอเค”วารุณีก็ไม่เกรงใจเขาแล้ว แล้วก็ขดตัวขึ้นมา
เธออยากนอนมากจริงๆ บวกกับตอนที่รถขับไปก็สั่นหน่อยๆ ทำให้ร่างของเธอสั่นตาม
ส่ายไปส่ายมาก็เริ่มมึน จนมีความรู้สึกคลื่นไส้หน่อยๆ ดังนั้นเธอต้องหลับตานอน ไม่งั้นจะอาเจียนออกมาได้ง่าย
หางตาของนัทธีเหลือบมองวารุณีที่แป๊บเดียวก็หลับ ก็ขับรถช้าลงขึ้นเยอะอย่างไม่รู้ตัว ให้รถขับไปอย่างมั่นคงมากขึ้น
แบบนี้ เธอก็จะหลับได้สนิทและสบาย
ดังนั้นเดิมทีระยะทางที่หนึ่งชั่วโมงถึงคฤหาสน์ เพื่อวารุณีแล้ว นัทธีจึงใช้เวลาขับกว่าชั่วโมงครึ่ง
เวลานี้ป้าส้มยังไม่หลับ พอได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์ ก็หยิบร่มสองคันมาต้อนรับทันที
“คุณผู้ชาย พวกคุณกลับมาแล้วเหรอคะ”นัทธีเอารถจอดหน้าประตูคฤหาสน์ ลงจากรถ ป้าส้มก็รีบไป เอาร่มมากางไว้ที่หัวเขา
นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย เดินผ่านหน้ารถไปที่ข้างคนขับ
ป้าส้มก็ตามไปโดยอัตโนมัติ กางร่มให้เขา
นัทธีเปิดประตูรถที่นั่งข้างคนขับ แตะไหล่ของวารุณีเบาๆ“ตื่นสิ ถึงแล้ว”
วารุณีไม่ตอบ ปิดตาลงยังหลับอยู่
นัทธีขมวดคิ้ว
จู่ๆตอนนี้ป้าส้มกลับพูดว่า“คุณผู้ชาย ป้าเห็นสีหน้าของคุณวารุณีดูเหมือนจะผิดปกติหน่อยๆ แดงมาก?คงไม่ได้มีไข้หรอกใช่ไหมคะ?”