วารุณีเดินไปตรงหน้าโซฟาแล้วนั่งลง พูดอธิบายไปว่า“พิชญาตายแล้วค่ะ”
“อะไรนะ?”วรยาตกใจมาก“ตายแล้ว?”
“ถูกค่ะ”วารุณีพยักหน้า
วรยาออกไปจากห้องคนไข้ของศรัณย์เงียบๆ มาที่ทางเดินด้านนอก แล้วถามอีกว่า“ทำไมเธอถึงตายได้ล่ะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“คือแบบนี้……”
วารุณีเริ่มพูดตั้งแต่ที่พิชญาโดนนัทธีถอนหมั้น จนพูดถึงตอนที่พิชญากระโดดตึกฆ่าตัวตาย พูดไปหลายนาที จนรู้สึกคอแห้ง
วรยาฟังจบ ก็ตบขาอย่างดีใจ“ตายก็ดี เธอทำตัวเองนี่ ทั้งลอกผลงาน แล้วยังวางยาคนอื่นอีก ในที่สุด กรรมก็ตามสนองใส่ตัวเธอน่าตลกเสีย!”
วารุณีหัวเราะ
ไม่ใช่เหรอไง
ทำเรื่องเลวๆไว้เยอะ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกกรรมตามสนอง เธอเชื่อสิ่งนี้เสมอ
“ดังนั้นตอนนี้สุภัทรไม่มีลูกสาวสุดที่รักแล้ว กังวลว่าชีวิตครึ่งหลังของตัวเองจะไม่มีใครดูแล เลยจะแย่งศรัณย์ไปใช่ไหม?”วรยายกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา
วารุณีพยักหน้า“ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนแรก เขาก็เอามาช่องทางติดต่อศรัณย์กับฉันแล้ว บอกว่าจะให้ศรัณย์กลับไปเป็นทายาทของบริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ป สุดท้ายตอนนี้บริษัท ศรีสุขคํา กรุ๊ปล้มละลาย”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ในเสียงหัวเราะ ก็ยังมีความรู้สึกสะใจแฝงอยู่ในนั้นด้วย
“จะอ้วก!”วรยาจ้องไปด้วยความโกรธ“เขาหน้าด้านมากเลยนะ ตระกูลศรีสุขคําที่ล้มละลายแล้วยังจะให้ศรัณย์กลับไปรับช่วงต่ออีก ท่าทางสมองจะมีปัญหา คิดจริงๆเหรอว่าตระกูลศรีสุขคําของเขาเป็นของมีค่าน่ะ ตอนนี้ก็ยิ่งหน้าด้านจะให้ศรัณย์ไปเลี้ยงดูเขา น่ารังเกียจเสียจริง”
ตอนนั้นที่หย่ากัน สุภัทรไม่ชอบที่ศรัณย์เป็นโรคหัวใจ จึงไม่เอาศรัณย์ที่เป็นลูกชายเลย
ตอนนี้ลูกสาวสุดที่รักของเขาเองตายไป จึงจะมาแย่งศรัณย์ไป บนโลกนี้มีเรื่องที่ไร้เหตุผลแบบนี้ด้วยเหรอ
วารุณีก็พูดเสริมไปว่า“ใช่ ดังนั้นตอนนั้นฉันเลยไม่ได้ให้ช่องทางติดต่อของศรัณย์ไป”
“ไม่ให้น่ะถูกแล้ว แม่ไม่มีทางให้เขาแย่งศรัณย์ไปแน่”วรยาทำเสียงเยือกเย็น
วารุณีกัดริมฝีปาก“แต่ว่าแม่ แม่ไม่ได้เพิ่งพูดเหรอว่า เขาจะฟ้องคดีความ ถ้า……”
“วางใจเถอะ ให้เขาฟ้องไปเถอะ ตอนนั้นที่เขาพูดว่าไม่เอาศรัณย์ แม่จำได้เป็นอย่างดี ในโทรศัพท์ยังมีที่อัดไว้อยู่เลย เขาก็ชนะคดีความไม่ได้ อย่างมากที่ศาลก็ตัดสินให้ศรัณย์เอาค่าเลี้ยงดูทุกเดือนให้เขาไม่เท่าไหร่เอง”วรยาหัวเราะไปอย่างเยาะเย้ย
ได้ยินดังนั้น วารุณีจึงเงยคางขึ้นอย่างโล่งอก“งั้นก็ดี จากกฎหมายภายในประเทศแล้ว ค่าเลี้ยงดูอย่างมากก็สองพัน”
“ใช่ แค่มีค่าเลี้ยงดูอยู่ ศรัณย์ไม่ต้องไปเจอเขาทั้งชีวิต ก็ไม่มีใครว่าอะไรได้”วรยาดีดนิ้วของตัวเอง
ทันใดนั้นวารุณีก็คิดอะไรได้ หัวเราะออกมา“แม่ ฉันจะบอกความลับแม่อย่างหนึ่ง แม่ฟังแล้วต้องดีใจแน่”
“ความลับอะไร?”วรยากะพริบตาอย่างแปลกใจ
วารุณียกมุมปากขึ้นมา“ความลับก็คือ พิชญาไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของสุภัทร เหมือนกับถวิต เป็นลูกของปวิช”
“พระเจ้า!”วรยายืนขึ้นมาด้วยความตกใจ สักพักจึงพูดกลับไปว่า“ลูกรัก จริงหรือเปล่า?”
“เรื่องจริงสุดๆค่ะ ตอนที่พิชญามีชีวิตอยู่ ฉันก็ไปตรวจดีเอ็นเอให้พวกเขาสี่คนแล้ว พิชญากับสุภัทรไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดจริงๆ”วารุณีพยักหน้าอย่างจริงจัง
วรยาหัวเราะเสียงดังออกมา“โอเค ดีมาก ถ้าสุภัทรรู้ว่า ลูกสาวสุดที่รักที่เขารักหนักหนามายี่สิบกว่าปีเป็นลูกคนอื่น กลัวว่าคงโกรธแทบตายแน่ กรรมตามสนอง กรรมตามสนองจริงๆ แม่มีความสุขจัง คืนนี้ต้องฉลองหน่อยแล้ว!”
“อย่าดื่มจนเมาล่ะ!”วารุณีกำชับไปอย่างขำๆ
วรยานั่งลงไปใหม่“วางใจเถอะ โอเคลูกรัก แม่ไม่คุยละ แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวช่วงนี้จะกลับประเทศไป”
“กลับประเทศ?”วารุณีตาเบิกโตขึ้นมา เสียงก็ขึ้นสูง
วรยาหรี่ตาลงอย่างสงสัย“ทำไมเหรอ ได้ยินแม่บอกว่ากลับประเทศก็ตื่นเต้นขนาดนี้ มีอะไรปิดบังแม่หรือเปล่า?”
“ไม่……ไม่มีนี่คะ ฉันจะปิดบังอะไรแม่ได้”วารุณีหัวเราะอย่างฝืนสุดๆ
ตอนที่แม่ไปครั้งที่แล้ว ก็กำชับอย่างดีว่า ให้เธออยู่ห่างจากนัทธีหน่อย ตอนนั้นเธอก็รับปากอย่างดี
ถ้าตอนนี้แม่กลับมา รู้ว่าเธอไม่ใช่แค่ไม่อยู่ห่างจากนัทธี แต่ยังคบกับนัทธีด้วยแล้ว จะต้องโกรธแทบบ้าแน่ๆ
“ไม่มีจริงเหรอ?”วรยาฟังความร้อนตัวในน้ำเสียงของวารุณีออก ก็แสดงออกมาด้วยท่าทางซับซ้อนหน่อยๆ
วารุณีก้มหน้าลง ฝืนพูดไปว่า“ไม่มีจริงๆ แม่ แม่กลับมาเมื่อไหร่ เดี๋ยวฉันไปรับแม่เอง”
“แกสนว่าแม่จะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ ยังไงตอนที่กลับ แม่จะติดต่อแกเอง”วรยาโบกมือพูด
วารุณีตบหน้าอก“งั้นก็ดี ต้องติดต่อฉันมานะ”
แบบนั้น เธอก็จะเตรียมตัวล่วงหน้าได้ ไม่ให้แม่รู้ความสัมพันธ์ของเธอนัทธีในทันที
รอหลังจากแม่ตระหนักได้เองแล้ว เธอค่อยพูดออกมา แบบนั้นแม่ก็จะพอรับได้หน่อย และไม่โกรธมาก
“เข้าใจแล้วๆ”วรยาตอบไปพอเป็นพิธี แล้วจึงวางสาย
วารุณีวางโทรศัพท์ลง แล้วเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
นัทธีเข้ามา ก็เห็นสภาพของเธอที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา คิ้วจึงเลิกขึ้นมาเล็กน้อย“คุณเป็นอะไร?”
“ไม่เป็นไรค่ะ แม่ฉันเพิ่งโทรมา บอกว่าจะกลับมาฟ้องคดีความกับสุภัทร”วารุณีวางโทรศัพท์ลงแล้วถาม
“ฟ้องคดีความอะไร?”นัทธีดึงเนกไท แล้วเดินไปที่เธอ
วารุณีพูดเรื่องที่สุภัทรจะแย่งศรัณย์ไปออกมา
สายตานัทธีมีประกายแวบมาทันที เอาเนกไทดึงออกมาไว้ด้านข้าง แล้วเริ่มแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ตัว“ในเมื่อสุภัทรชนะไม่ได้ งั้นก็ไม่ต้องห่วงแล้ว”
“ฉันเข้าใจแล้ว”วารุณีหัวเราะ
นัทธีเดินไปที่ห้องน้ำ“ผมไปอาบน้ำก่อนนะ”
“ไปเถอะ”วารุณีหยิบเนกไทที่เขาถอดขึ้นมา แล้วม้วนเก็บไปไว้ที่หัวเตียง
นัทธีเข้าไปในห้องน้ำ
แป๊บเดียว วารุณีก็ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำที่ดังออกมา
เสียงน้ำไหลซู่ซ่า พอฟังแล้วในใจของเธอก็รู้สึกว้าวุ่นขึ้นมาแปลกๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน นัทธีอาบน้ำเสร็จออกมา ก็เห็นวารุณีนั่งงงๆอยู่บนเตียง แล้วสายตาก็มีประกายแวบเข้ามา“คุณยังไม่นอนเหรอ?”
วารุณีได้สติคืนมา ก็มองเขา แล้วจึงมองผ้าคลุมอาบน้ำหลวมๆของเขา กับหน้าอกที่แข็งแกร่ง จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหน้าหูแดงไปหมด รีบหันหน้าหนี ไอออกมา“นอนไม่หลับค่ะ ตอนกลางวันนอนมากไปหน่อย”
เธอเพิ่งตื่นมาไม่กี่ชั่วโมงเอง
นัทธีได้ยินคำนี้ ริมฝีปากบางๆก็ยกขึ้นเป็นมุมเล็กน้อย“ในเมื่อนอนไม่หลับ งั้นก็ทำเรื่องจริงจังหน่อยดีกว่า”
“เรื่องจริงจังอะไร?”วารุณีเอียงหัวลงอย่างงุนงง
สภาพที่แสนจะน่ารักของเธอ ทำให้สายตานัทธีหม่นลงไป“ออกกำลังกายก่อนนอนไง!”
พูดจบ เขาก็ทิ้งผ้าขนหนู แล้วกดเธอลง
วารุณีได้สติคืนมา ก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงถูกเขาถอดเสื้อผ้าออกหมด แล้วก็จัดการเรียบไปแบบนี้
เช้าวันถัดมา วารุณีตื่นมาด้วยร่างกายที่อ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว ผู้ร้ายตัวสำคัญที่อยู่ข้างๆก็ไม่อยู่แล้ว
เธอดูเวลา ก็เก้าโมงกว่าแล้ว เปิดผ้าห่มลงมาจากเตียง แล้วไปอาบน้ำที่ห้องน้ำจากนั้นค่อยลงไปชั้นล่าง
เด็กสองคนก็ถูกป้าส้มส่งไปที่โรงเรียนอนุบาลแล้ว ทั้งคฤหาสน์ มีแค่นัทธีคนเดียว
นัทธีกำลังนั่งอ่านนิตยสารเศรษฐกิจบนโซฟาในห้องรับแขก
วารุณีเหลือบมอง เป็นการสัมภาษณ์ที่เขาอัดไว้ที่สถานีโทรทัศน์ครั้งที่แล้ว
“รีบกินข้าวเช้าเถอะ กินเสร็จแล้วออกจากบ้าน”นัทธีหันไปมองวารุณี พูดด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น
วารุณีตอบอือ แล้วเดินไปที่ห้องอาหาร
กินข้าวเสร็จ เธอก็ขึ้นมาเปลี่ยนชุดกระโปรงสีดำ ที่หน้าอกยังติดดอกไม้สีขาวไว้ด้วย แล้วจึงค่อยๆจับราวบันไดลงมา“พวกเราไปกันเถอะ”