นัทธีเม้มริมฝีปากบางๆ ไม่พูด
เขาก็รู้สึกว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้ยากที่จะคาดเดาได้
ตอนเช้า วรยายังพูดคุยหัวเราะกินข้าวเช้ากับพวกเขาอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าตอนบ่ายจะไม่อยู่แล้ว เหมือนกับคุณปู่ในตอนนั้นเลย
ก่อนปู่ฆ่าตัวตาย ก็มองพฤติกรรมที่จะฆ่าตัวตายไม่ออก จนตอนที่เขารู้ ก็สายไปแล้ว
“เป็นความผิดของฉัน เป็นเพราะฉัน……”วารุณีจับผ้าห่มไว้ โทษตัวเองอย่างเจ็บปวด
นัทธีได้ยินคำนี้ ก็ขมวดคิ้วแน่น เงยหน้าของเธอขึ้นมา มองใบหน้าเธอที่ร้องไห้เสียใจ ก็พูดเสียงหม่นไปว่า:“นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ พวกเราไม่รู้หรอกว่าต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นคุณไม่ผิด!”
ได้ยินคำพูดของเขา ริมฝีปากของวารุณีก็สั่น“แต่ว่า……แต่ฉันมีโอกาสช่วยแม่ฉันแล้ว แต่ฉันกลับไม่คว้าไว้ ฉันปล่อยให้เธอไปตระกูลศรีสุขคําคนเดียว ฉัน……”
คำพูดจากนั้น เธอพูดต่อไปไม่ไหวแล้ว ก้มหน้าลงปิดหน้าไว้
นัทธีถอนหายใจเบาๆ เอาเธอมากอดไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง ปลอบโยนอย่างไร้เสียง
สักพัก เสียงร้องไห้ของหญิงสาวในอ้อมแขนก็ค่อยๆเบาลง
นัทธีก้มหน้าลงมองเธอ เห็นเธอเอาแต่ก้มหน้า เปลือกตามองลง ทั้งตัวเหมือนกับดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา ไม่มีชีวิตชีวาสักนิด ในดวงตาก็ไม่มีประกายใดๆ เต็มไปด้วยความหดหู่ แม้แต่ผมก็กระเซอะกระเซิง ไม่มีประกายสวยงาม
วารุณีในตอนนี้ จะดูมีสง่าราศีเหมือนปกติที่ไหนกัน อย่างกับซากศพที่เดินได้สุดๆ
นัทธีสงสารหน่อยๆ และก็อยากให้เธอมีชีวิตชีวาขึ้นมา แต่เขารู้ ว่ามันยากที่จะเป็นจริง
“นัทธี ตอนนี้แม่ฉันอยู่ไหน?”วารุณีนั่งอยู่ที่เตียงคนไข้ ดวงตาทั้งสองข้างจ้องไปที่พื้นอย่างเหม่อลอย ยักไหล่ขึ้นมา ถามเสียงแหบ
นัทธีลูบผมของเธอ“ในห้องดับจิต”
“ฉันอยากไปดูเธอ”วารุณีจับแขนเสื้อของเธอ
เดิมทีนัทธีไม่อยากอนุญาต แต่จากนั้นก็คิดอีกว่า นั่นยังไงก็แม่ของเธอ สุดท้ายจึงยอม“โอเค ผมจะไปพูดกับพิชิต”
วารุณีตอบอือ และไม่พูดอีก
นัทธีมองเธอแวบหนึ่งอย่างไม่วางใจ เดินออกไปจากห้องคนไข้
ด้านนอกห้องคนไข้ พิชิตกำลังยืนพิงกำแพงด้านนอกสูบบุหรี่อยู่ มองเห็นเขาออกมา ก็ยื่นให้มวนหนึ่ง
ตอนที่นัทธีจะปฏิเสธ เขาก็เอาบุหรี่กลับมา“ฉันลืมไป ตอนนี้แกกำลังรักษาตัวอยู่ สูบบุหรี่และดื่มเหล้าไม่ได้ ดังนั้นฉันสูบเองละกัน”
นัทธีมองเขาอย่างเย็นชา
พิชิตก็ไม่กลัว หัวเราะแล้วเอาบุหรี่เก็บใส่ซอง“เธอฟื้นแล้ว?”
นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย“เธออยากเห็นวรยา”
บุหรี่ที่มุมปากพิชิตเกือบจะตกลงพื้น และยังสำลักควันด้วย ไอจนหน้าแดงออกมา สักพักถึงค่อยๆดีขึ้น“แกพูดอะไร?เธออยากเห็นวรยา?”
“อือ”
“ล้อเล่นอะไรเนี่ย เธอไม่กลัวฝันร้ายเหรอ?การตายของวรยา ไม่ดีเท่าไหร่นัก”พิชิตพูดอย่างจริงจัง
นัทธีหันหน้าไปเล็กน้อย มองประตูห้องคนไข้ เหมือนว่าจะมองเห็นเธอ ผ่านประตูที่ปิดแน่นทันที“ไม่เป็นไร นั่นแม่ของเธอ เธอไม่กลัวหรอก”
คำนี้ ทำให้พิชิตพูดไม่ออกทันที ถอนหายใจแล้วพยักหน้า“โอเค งั้นฉันอนุมัติละกัน แกพาเธอไปเถอะ”
“โอเค”นัทธีพูดจบ ก็เปิดประตูห้องคนไข้แล้วเข้าไป
วารุณีเงยตาที่เหม่อลอยคู่นั้นขึ้นมา“เป็นไงบ้าง เขาอนุญาตไหม?”
นัทธีพยักหน้า“อนุญาตแล้ว”
วารุณีไม่พูดอะไร เปิดผ้าห่มออกและจะลงมา
แต่เนื่องจากเธอไม่กินข้าวมาทั้งวัน และร้องไห้ไปอย่างหนัก ทั้งตัวจึงไร้เรี่ยวแรง ดังนั้นพอเท้าแตะพื้น เท้าก็อ่อน ตัวล้มลงไปที่พื้น
ดีที่นัทธีอยู่ด้านข้าง ไม่สามารถทนมองเธอล้มไปได้ ดังนั้นก่อนที่เธอจะล้ม ก็อุ้มเธอขึ้นมา“ผมอุ้มคุณไปเอง”
วารุณีไม่ปฏิเสธ
ตอนนี้เธอไม่มีแรง ไม่ใช่เวลาที่จะมาอวดเก่ง
และก็เป็นเช่นนี้ นัทธีอุ้มวารุณีไปที่ห้องดับจิต
ห้องดับจิตอยู่ที่ชั้นใต้ดินนั้นหนาวมาก แต่วารุณีกลับไม่รู้สึกหนาวข้างในใจเลย
เธอดันหน้าอกของนัทธีเบาๆ“นัทธี ปล่อยฉันลงก่อนเถอะ ฉันเข้าไปเองได้”
“ผมจะไปกับคุณ”นัทธีไม่วางเธอลง
แต่วารุณีก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธที่เขาจะไปด้วย“ไม่ต้อง ฉันอยากอยู่กับแม่ฉันส่วนตัว”
นัทธีจึงไม่พูด แล้ววางเธอลง
วารุณีจับกำแพงไว้ แล้วเข้าไป
เจ้าหน้าที่ด้านในทราบเรียบร้อยแล้ว พอเห็นเธอเข้ามา ก็ไม่พูดอะไร ชี้ไปที่ที่หนึ่ง“เดินไปสิ ตรงนั้นแหละ”
วารุณีมองไปที่เตียงเย็นนั้น เบ้าตาก็แดงก่ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ร้องไห้ เธอกัดริมฝีปากไว้แล้วสูดหายใจเดินเข้าไป
นัทธีรอเธออยู่ด้านนอก รอไปประมาณสองสามนาที มารุตก็มา
มารุตมองไปที่ประตูห้องดับจิตก่อน แล้วก็ดูเสียใจอาลัยอาวรณ์
เขารู้ว่าวรยาเกิดเรื่อง ตอนที่วารุณีหมดสติ เพราะว่านัทธีบอกเขา ให้เขาไปสืบหาความจริงของเรื่อง
เพราะว่าวรยาตายไปแล้ว ไม่สามารถรู้จากปากของเธอที่เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บว่าสรุปคือตัวเองล้มไปเอง หรือว่ามีคนผลัก ดังนั้นจึงได้แต่สืบ
และทางสถานีตำรวจ ก็กำลังสืบหาเช่นกัน
“ประธาน”มารุตละสายตากลับ แล้วเรียกนัทธี
นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย แสดงออกถึงการตอบรับ
มารุตเดินไปหยุดข้างๆเขา“ประธาน คุณผู้หญิงเธอ……ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
“ตอนนี้ยังไม่เป็นไร”นัทธีมองห้องดับจิตตรงข้ามแล้วตอบกลับ
จากนิสัยของเธอแล้ว กลัวว่าจะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่หลุดจากความเสียใจที่แม่เสียชีวิตไม่ได้
มารุตถอนหายใจ“คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า คุณหญิงวรยาจะเกิดเรื่องแบบนี้”
“คุณสืบมาเป็นไงบ้าง?”นัทธีถามเสียงทุ้ม
สายตามารุตจริงจังอีกครั้ง“ผมไปดูที่เกิดเหตุแล้ว ตรงจุดที่คุณหญิงวรยาตกลงมา มีแค่ร่องรอยของคุณหญิงวรยาคนเดียว มองดูแล้วเป็นเธอล้มลงไปเองจริงๆ แน่นอนว่า ก็ยังไม่ตัดว่าเป็นสามีภรรยาสุภัทรทำความสะอาดร่องรอยของพวกเขาไปแล้ว”
นัทธีหรี่ตาลง
มารุตพูดอีกว่า:“เพราะตอนนั้นที่อยู่ในเหตุการณ์มีแค่พวกเขาสามคน พวกเขาสามีภรรยาสามารถทำความสะอาดร่องรอยได้ หลังจากทำภาพลวงตาให้คุณหญิงวรยาตกลงไปเองแล้วค่อยแจ้งความ”
“ดังนั้นตอนนี้ไม่สามารถตัดสินความจริงในการตายของวรยา?”นัทธีพูดด้วยสีหน้าอึมครึม
มารุตพยักหน้า“ถูกครับ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรชี้ได้ว่าสามีภรรยาสุภัทรผลักคุณหญิงวรยา และก็มีเบาะแสไม่พอที่จะระบุได้ว่าคุณหญิงล้มลงไปเอง ดังนั้นคดีนี้จึงถูกหยุดไว้เพียงเท่านี้ ถ้าไม่สามารถสืบหาความจริงได้ภายในเวลาที่กำหนด……”
“ก็จะปิดคดีว่าวรยาตกบันไดเอง”นัทธีพูดเสริมท้ายประโยคขึ้นมา
มารุตกำลังจะตอบ วารุณีก็เปิดประตูห้องดับจิตออกมา ดวงตาแดงก่ำ“จะเป็นไปได้อย่างไร!”
เธอไม่คิดว่าแม่เธอจะตกลงมาเอง
“คุณได้ยินแล้ว?”นัทธีมองเธอ
วารุณีตอบอืออย่างอ่อนแรง“ฉันจะไปโรงพัก ฉันอยากไปเจอสุภัทร”
“ไม่ได้”ครั้งนี้นัทธีไม่เห็นด้วย
วารุณีกุมฝ่ามือไว้“ทำไม?”
“ร่างกายของคุณรับไม่ไหว!”ริมฝีปากบางๆของนัทธีเม้มแน่น“ตอนนี้คุณไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว จะเจอเขาอย่างไร รอคุณพักผ่อนเยอะๆสักคืน พรุ่งนี้ค่อยไปเถอะ”
วารุณีอยากจะยืนหยัดต่อไป แต่เห็นสายตาที่ไม่ยอมอ่อนข้อของเขาแล้ว ในที่สุดก็อ้าปากออกมา แล้วยอมรับชะตากรรม
“ไปเถอะ กลับไปที่ห้องคนไข้”นัทธียื่นมือไปดึงเธอ
วารุณีหลบ เอาหลังมือไปด้านหลัง“ฉันกุมมือแม่ฉันมา”
หางตาของนัทธีกระตุกเล็กน้อย แล้วเอามือลง
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันไปที่ลิฟต์ ส่วนมารุตตามอยู่ด้านหลัง
พอเข้าไปในลิฟต์ นัทธีก็หันหน้าไปมองวารุณี“เรื่องของแม่ยายต่อจากนี้ คุณจะทำอย่างไร?”