จนถึงเวลาอาหารเย็นตอนหัวค่ำ
เพราะมีนวิยา เด็กทั้งสองคนก็ไม่ร่าเริงอย่างปกติ ตอนที่กินข้าว เอาแต่ก้มหน้ากินข้าว ไม่พูดอะไรสักคำ
วารุณีไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ก็ไม่พูดไปซะเลย
จึงทำให้ ห้องทานอาหารที่กว้างใหญ่ มีบรรยากาศแปลกๆ กดดันอย่างมาก
สุดท้าย ก็เป็นนวิยาที่พูดก่อน ทำลายความเงียบลง
เธอมองคอของวารุณี“คุณวารุณี จี้ที่ฉันให้คุณ คุณไม่ได้สวมเหรอ?”
“ทิ้งไปแล้ว”วารุณีดื่มซุป แล้วตอบไปตรงๆ
ใบหน้าของนวิยารับไม่ได้“ทิ้งแล้ว?”
“ใช่ค่ะ”วารุณีพยักหน้า
นวิยากัดริมฝีปาก ท่าทางเหมือนเสียใจมาก“ทำไม?เป็นเพราะฉันให้เหรอคะ?”
วารุณีวางตะเกียบลง จะพูดอะไร
นวิยาพูดอีกครั้ง“คุณวารุณี คุณไม่คิดว่าคุณทำแบบนี้มันมากเกินไปเหรอ?ฉันตั้งใจให้ขอขวัญคุณ คุณทิ้งได้ไงคะ?”
ฟังน้ำเสียงถามไถ่ของเธอ วารุณีก็เอามือกอดอก มองเธอเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม“ของขวัญแย่มาก ฉันทิ้งไม่ได้เหรอ?”
“ของขวัญอะไร?”เห็นหญิงสาวสองคนเถียงกัน ในที่สุดนัทธีก็พูด วางตะเกียบลงมองไปที่นวิยา
สายตานวิยาสั่นคลอน“เป็นจี้”
“จี้แบบไหน รบกวนคุณคุณนวิยาพูดออกมาได้ไหม?”คำเยอะเย้ยที่ใบหน้าวารุณีก็ชัดเจนขึ้น
เห็นสถานการณ์แบบนี้ นัทธีก็เดาได้แล้วว่าของขวัญมีปัญหา สีหน้าหม่นลงไป“นวิยา คุณให้อะไรไปกันแน่?”
“ฉัน……”นวิยาจับตะเกียบแน่น พูดว่าฉันอยู่นาน ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากฉัน
วารุณีรอต่อไปไม่ไหว หัวเราะอย่างเย็นชา“พูดไม่ออกใช่ไหม งั้นฉันพูดเอง เธอให้หนูตัวหนึ่งฉันมา”
“หนู?”นัทธีขมวดคิ้วเป็นเส้นตรงสามเส้น“นวิยา ทำไมคุณถึงให้หนูล่ะ?”
นวิยาก้มหน้าลง“เพราะว่า……คุณวารุณีเกิดปีหนู ดังนั้น……”
“ถ้าเป็นเพราะปีนักษัตรของฉัน แล้วคุณให้เครื่องประดับหนูฉันมา ฉันดีใจมากค่ะ เพราะว่าเครื่องประดับประเภทนี้น่ารักมาก แต่หนูที่คุณให้ฉันมา ไม่มีชิ้นส่วนประกอบที่เข้ากันเลย เห็นได้ชัดว่าสั่งทำเอง เป็นหนูขี้ขโมยโดยเฉพาะ คุณกำลังแอบบอกเป็นนัยอะไรฉันหรือเปล่าคะ?”วารุณีมองเธออย่างสงสัย
ได้ยินคำนี้ นัทธีก็เข้าใจแล้ว
นวิยาให้เครื่องประดับหนูที่สั่งทำแก่วารุณี แต่หนูตัวนี้ไม่ได้น่ารัก แต่เป็นหนูที่ตั้งใจขโมยของโดยเฉพาะ
หมายความว่า นวิยาแอบบอกเป็นนัยวารุณีว่าเป็นคนขโมยของ ส่วนของที่ขโมยนั้นเป็นอะไรนั้น
สีหน้านัทธีหม่นลงอย่างดูแย่ รอบตัวนั้นเยือกเย็น
“นวิยา คุณฟังที่ผมพูดไม่รู้เรื่องเหรอ?”เขามองนวิยาด้วยสายตาเย็นชา
วารุณีเห็นเด็กทั้งสองคนกินกันพอประมาณแล้ว ตบไหล่ของอารัณ สื่อว่าให้อารัณพาน้องสาวออกไป
ยังไงเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กก็อย่าฟังมากเลย
นวิยาได้ยินน้ำเสียงแสนเย็นชาของนัทธี เบ้าตาก็แดงก่ำทันที“นัทธีฉัน……”
“ผมคุยกับคุณกี่ครั้งแล้ว ผมเคยบอกแล้ว วารุณีเป็นภรรยาผม คุณอย่าเล่นงานเธอ ก่อนหน้านี้คุณรับปากอย่างดี แต่จากนั้นก็เปลี่ยนไป ครั้งที่แล้วทำเช่นนี้ที่ห้องคนไข้ ครั้งนี้ก็ทำแบบนี้ คุณอยากจะทำอะไรกันแน่?”นัทธีถามเธอ
นวิยาเหมือนจะตกใจ ตัวสั่น น้ำตาไหลพรากยิ่งกว่าเดิม“นัทธีคุณอย่าดุฉันสิ ฉัน……ฉันแค่……”
“พอแล้ว”นัทธียกมือขึ้นมา“อย่าให้มีอีกเป็นครั้งที่สาม นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ถ้ามีอีกครั้ง คุณย้ายออกไปจากที่นี่ได้เลย”
พูดจบ เธอก็จูงมือของวารุณี ออกไปจากห้องรับแขก
ในห้องอาหารก็เหลือแค่นวิยาเอง
นวิยานั่งกลับไปที่เก้าอี้ ก้มหน้าลงต่ำ ปกปิดความมืดมิดที่พลุ่งพล่านในดวงตา
เอคิดไม่ถึงว่า วารุณีจะพูดเรื่องจี้ออกมาตรงๆ ทำให้เธอโดนนัทธีตำหนิ
แต่ช่วงนี้ เธอก็หัวรุนแรงมากเกินไปจริงๆ จะทำเช่นนี้อีกไม่ได้แล้ว ไม่งั้นก็จะทำลายความอดทนของนัทธีไปหมดจริงๆ ซึ่งสำหรับเธอแล้ว ไม่ใช่เรื่องดี
อีกด้าน วารุณีตามนัทธีมาที่ห้องรับแขก
วารุณีชักมือของตัวเองกลับ“ฉันคิดว่า คุณจะปกป้องเธอเสียอีก”
นัทธีเม้มริมฝีปาก“สำหรับคุณแล้ว ผมเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”
วารุณียักไหล่“ก็ไม่แน่หรอก ครั้งที่แล้วที่ห้องคนไข้ คุณก็ไม่เชื่อฉันนี่”
“ขอโทษนะ”นัทธีกอดเธอไว้
วารุณีเอาหน้าเอนไปที่อ้อมแขน“พอแล้ว ผ่านไปแล้ว เห็นแก่ที่ครั้งนี้คุณปกป้องตัวตนของฉัน ฉันยกโทษให้คุณ”
เธอตบหลังเขา
นัทธีโอบกอดเธอแน่นขึ้น ก้มหน้าลงจูบไปที่หัวเธอ
ด้านหลังพวกเขา นวิยาก็ออกมา ดวงตาคู่นั้นกำลังยืนมองพวกเขาตรงนั้นด้วยความริษยา
อาจจะเป็นเพราะสายตาของเธอนั้นชัดเจนมากไป วารุณีออกมาจากอ้อมแขนของนัทธีอย่างรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย มองไปด้านหลังเขา ก็มองเห็นสายตาหดหู่ของนวิยาพอดี จึงอดไม่ได้ที่จะหรี่ตา
ดูเหมือนว่านวิยาจะแค้นเธอมาก
บางทีต่อไปอาจจะก่อเรื่องอีก
แต่ไม่เป็นไร
วารุณีเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ มองไปที่โคมไฟด้านบนหัว ตรงนั้น แอบติดกล้องวงจรปิดไว้ตัวหนึ่ง แค่นวิยาทำอะไร กล้องวงจรปิดทั้งในและนอกคฤหาสน์ ก็จะถ่ายไว้หมด
คิดไป วารุณีก็สบายใจ
ตอนนี้เอง ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
เสียงเรียกเข้าที่ชัดเจนไพเราะทำให้นวิยาได้สติคืนมาทันที จึงจัดการอาการแสดงออกมากับสายตาอย่างดี เพื่อไม่ให้วารุณีกับนัทธีเห็น
อย่างที่รู้กัน วารุณีเห็นนานแล้ว แค่ไม่ได้แฉเธอก็เท่านั้น
“นัทธี คุณปล่อยฉัน ฉันจะรับโทรศัพท์”วารุณีผลักชายหนุ่มเบาๆ
ชายหนุ่มปล่อยเธออย่างเชื่อฟัง
วารุณีหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า มองชื่อที่โทรมา ก็กดรับแล้วเอาไว้ข้างหู“ฮัลโหล ปาจรีย์”
“วารุณี เธอว่างไหม?”ปาจรีย์ถาม
วารุณีพยักหน้า“ว่าง ทำไมเหรอ?”
“งั้นเธอมาห้างสรรพสินค้าพาราไดซ์หน่อยสิ เสื้อผ้าหน้าร้านแห่งหนึ่งของพวกเรา เกิดปัญหานิดหน่อย”ในสายมีเสียงที่ตกอยู่ในสภาพอึดอัดของปาจรีย์เข้ามา
วารุณีขมวดคิ้ว“เกิดปัญหาอะไร?”
นัทธีเห็นสภาพเธอจริงจังแบบนี้ ก็ฟังเงียบๆ
“ปัญหาด้านคุณภาพ มีลูกค้าสองสามคนจองเสื้อผ้าในร้าน หลังจากได้เสื้อผ้ามา ก็พบว่าคุณภาพนั้นแย่มาก จึงโทรมาคอมเพลนบริษัท ที่จริงฉันคิดว่ามีคนแกล้ง แต่คิดไม่ถึงว่าพอไปแล้ว จะพบว่าคุณภาพนั้นแย่สุดๆ เนื้อผ้ากับทรงของเสื้อผ้าพวกนั้น ไม่ได้ทำอย่างที่เธอกำชับไปเลย”ปาจรีย์ตอบ
วารุณีได้ยิน หน้าเล็กๆโกรธจนปูดออกมา“มันต้องมีปัญหาอะไรแน่ เข้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบ เธอก็วางสาย
นัทธีถามเธอ“ทำไมเหรอ?”
วารุณีไม่ได้ปิดบังเขา พูดเรื่องราวออกไปหมด
“เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง”นัทธีหันไปจะไปหยิบกุญแจรถ
วารุณีจับแขนของเขาไว้“ไม่ต้อง คุณอยู่บ้านเถอะ เดี๋ยวฉันกลับมาแป๊บเดียว”
พูดไป เธอก็เขย่งเท้าจูบไปที่หน้าเขา จากนั้นก็เดินไปที่ทางเข้าบ้าน
เธอไม่ให้เขาไปส่ง เพราะมีนวิยาอยู่ที่คฤหาสน์
ถ้าพวกเขาสองคนออกไป เธอเป็นห่วงว่านวิยาจะทำอะไรลูกทั้งสองคน มีเขาอยู่ที่บ้าน นวิยาก็ไม่กล้าทำอะไรแล้ว
ส่วนพวกเขาสองคนจะทำอะไรกันหรือเปล่านั้น วารุณีเชื่อใจนัทธีมาก
แล้วจึงขับรถมาที่ห้างสรรพสินค้า
ปาจรีย์ยืนอยู่หน้าประตูร้าน เห็นวารุณีเข้ามา ก็รีบดึงเธอเข้าไปในร้าน ชี้ไปที่เสื้อผ้าพวกนั้น“วารุณีเธอดูสิ”
วารุณีไปตรวจดูเสื้อผ้าพวกนั้น ก็เป็นอย่างที่เธอพูด เนื้อผ้ากับทรง ต่างไม่ใช่อย่างที่เธอกำชับตอนออกแบบ
สไตล์การออกแบบของเสื้อผ้าเหล่านี้แปลกใหม่มาก แต่เนื่องจากคุณภาพภาพที่ต่ำกับทรงก็ดูหยาบ ทำให้เกรดของเสื้อผ้าลดลงไปเยอะ ไม่ต่างอะไรกับตลาดมืด
ต้องรู้ว่า ตั้งแต่บริษัทพวกเธอก่อตั้งมา พวกเธอก็เดินเข้าสู่เส้นทางไฮโซพอตัวแล้ว ดังนั้นถึงได้มีหน้าร้านของตัวเอง ตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆแต่ละแห่ง
แต่เสื้อผ้าระดับไฮโซพอตัว กลายเป็นแผงลอยริมถนน วารุณีจะไม่โกรธได้อย่างไร!
“นอกจากหน้าร้านนี้แล้ว หน้าร้านที่อื่นของพวกเราล่ะ เกิดเรื่องแบบนี้ไหม?”วารุณีเอาเสื้อผ้าโยนไปที่พื้น ถามด้วยเสียงที่ยับยั้งความโกรธไว้