“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คือเธอเจอชายหญิงคู่หนึ่ง จากนั้นมองเห็นชายคนนั้นก็ร้องไห้”ลีน่ามองปาจรีย์ที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างปวดหัว
วารุณีได้ยินคำนี้ นัยน์ตาออกน้ำตาลส้มนั้นก็หรี่ลง ถามว่า:“ผู้ชายคนนั้น สวมแว่น รอยยิ้มดูอบอุ่นใช่ไหม?”
“ใช่ๆๆ”ลีน่าพยักหน้าไปมา“วารุณีเธอรู้จักเหรอ?”
“คือเพื่อนของพวกเราคนหนึ่ง”วารุณีตอบกลับเสียงหม่น
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆเจอพงศกร ที่นี่ได้
งั้นผู้หญิงข้างกายเขาคือใคร คุณแอนนี่หรือว่าคนอื่น?
เวลานั้นเดาไม่ออก วารุณีก็ไม่อยากเดาแล้ว จึงถามไปที่สายโทรศัพท์อีกครั้ง:“พวกเธออยู่ไหน พวกเราจะไปหาพวกเธอ”
“พวกเราอยู่ที่ข้างระเบียงของห้องโถงงานเลี้ยง และชายหญิงคู่นั้นที่ปาจรีย์เจอก็อยู่”
“โอเค พวกเราจะไปทันที”
พูดจบ วารุณีก็วางสาย เอาโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋า จากนั้นมองชายหนุ่มข้างๆ“พวกพงศกรก็อยู่นี่ ข้างเขายังมีผู้หญิงอีกคน ปาจรีย์เห็นเข้า น่าจะเข้าใจผิดอะไร ก็เลยเสียใจร้องไห้ออกมา”
นัทธีรู้ความรู้สึกที่ปาจรีย์มีต่อพงศกร ดังนั้นได้ยินคำนี้ เลยไม่ตกใจ พยักหน้าเบาๆ“ไปเถอะ ไม่ใช่ว่าต้องไปเหรอ?”
พูดจบ เขาก็ยื่นมือไปทางเธอ
วารุณีเห็นแบบนี้จึงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง“คุณทำอะไร คงไม่ได้จะอุ้มฉันไปหรอกนะ?”
นัทธีไม่ปริปากพูดว่าใช่หรือไม่
วารุณีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“ไม่ต้องหรอกสามี หลังเท้าฉันแค่ถูกรองเท้ากัดจนถลอก ไม่ใช่เท้าเคล็ดที่เดินไม่ได้ ตอนนี้หลังเท้าก็ทายาแล้ว เดินได้แล้ว”
กลัวเขาไม่เชื่อ เธอจึงตั้งใจเดินไปสองสามก้าวในห้อง
นัทธีจึงวางมือลง ยอมแพ้
ทั้งสองเดินออกจากห้องรับรอง มาที่ระเบียงของห้องโถงงานเลี้ยง
ไกลๆนั้น วารุณีก็มองเห็นร่างของพงศกร และผู้หญิงข้างเขา
หญิงสาวผมสีทอง รูปร่างสูงเพรียว แค่มองก็รู้ว่าเป็นสาวสวยฝรั่ง
วารุณีจำเธอได้ เธอคือแอนนี่
คิดไม่ถึงว่า แอนนี่จะจีบพงศกร แล้วยังจีบมาถึงขั้นนี้แล้วด้วย ตอนนี้ทั้งสองคนใกล้ชิดดันขนาดนี้ คงไม่คบกันจริงหรอกนะ?
คิดไป วารุณีก็ขมวดคิ้วเดินเข้าไป“พงศกร ไม่เจอกันนานเลย”
พงศกรพยักหน้ายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน“วารุณี ไม่เจอกันนานเลยนะ ช่วงนี้สบายดีไหม?”
เขาถาม
ส่วนนัทธีที่อยู่ข้างเธอ เขาทำเป็นมองไม่เห็น
นัทธีขมวดคิ้ว แต่ไม่พูดอะไร
“สบายดีมาก คุณล่ะ?”วารุณีมองไปที่แอนนี่ที่อยู่ข้างพงศกร“คบกับคุณแอนนี่แล้วเหรอ?”
คำนี้ ทำให้ปาจรีย์ที่อยู่ข้างๆกำฝ่ามือขึ้นมา และก้มหน้าลง
ลีน่าที่อยู่ข้างเธอเห็นแบบนี้ จึงรีบตบไหล่ของเธอเพื่อปลอบโยน
พงศกรเหลือบมองสภาพของปาจรีย์ แต่กลับไม่สนใจ ดันแว่นแล้วตอบยิ้มๆ:“เปล่า แต่ว่า……”
วารุณีกับปาจรีย์กำลังจะดีใจ ก็ตกใจอีกครั้งกับคำพูดที่พูดไม่จบของเขา
“แต่อะไร?”วารุณีถาม
สภาพของเธอนี้ เหมือนแฟนสาวถามแฟนหนุ่มจริงๆ
ถ้าไม่ใช่ว่านัทธีรู้ว่าเธอทำแบบนี้เพื่อปาจรีย์ เขาจะต้องออกหน้าเพื่อห้ามแน่
ยังไง ดขาต่างหากที่เป็นสามีที่แท้จริงของเธอ
“แต่คุณแอนนี่น่าสนใจมาก สามารถพิจารณาได้ว่าจะคบกันไหม”พงศกรพูดไป ก็มองไปที่แอนนี่
แอนนี่ก็แทบจะเป็นลมด้วยความตกใจ จับมือของเขาไว้ ถามอย่างตื่นเต้น“คุณหมอพงศกร คุณคิดว่าฉันไม่แย่ อยากคบกับฉันจริงเหรอ?”
พงศกรชักมือกลับอย่างไม่ส่งเสียงใดๆ“รอผมคิดให้ดีก่อน บางจะได้”
“อือๆ งั้นคุณคิดดีๆนะ ไม่รีบร้อน”แอนนี่ดีใจจนแทบจะร้องไห้
ปาจรีย์กัดริมฝีปากแน่น จนริมฝีปากใกล้จะถูกเธอกัดจนแตก
ผู้ชายที่เธอรักมาหลายปี ทั้งๆที่รู้ถึงความรู้สึกของเธอ แต่กลับไม่เคยแคร์เธอเลย ตรงกันข้ามกลับทำร้ายหัวใจของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยอมคบกับผู้หญิงคนอื่นดีกว่า ไม่ยอมคบกับเธอ
เหอะ ถากถางเกินไปแล้ว!
ปาจรีย์เงยหน้าขึ้น หัวเราะเยาะตัวเอง จากนั้นหันกลับ ออกไปจากระเบียง
“ปาจรีย์!”ลีน่ายื่นมือออกไป เรียกเธอไว้
วารุณีพยักหน้าให้ลีน่า“ลีน่า เธอไปหาปาจรีย์ก่อน”
“โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”ลีน่าเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร เป็นห่วงว่าปาจรีย์ตัวคนเดียวจะทำเรื่องโง่ๆ เลยให้เธอไปปลอบใจปาจรีย์
ลีน่าไป ในที่นั้นเหลือแค่วารุณีนัทธี และพงศกรกับแอนนี่สี่คน
พงศกรมองชายหนุ่มหญิงสาวตรงข้าม แววตามีประกายหม่นลงเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนไปทันที“วารุณี เห็นความรู้สึกคุณกับประธานนัทธีดีขนาดนี้แล้ว ผมก็วางใจ”
“ขอบคุณ”วารุณียิ้มตอบขอบคุณ จากนั้นก็ถาม:“พงศกรทำไมคุณมาอยู่นี่ล่ะ?”
“คือแบบนี้ ผมรับงานผ่าตัดไว้ เป็นครอบครัวชั้นสูงของประเทศนี้แหละ เขาพาผมมาร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ วารุณีพวกคุณก็มา”พงศกรพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
วารุณีอ้าปากอย่างตกใจ“รับงานผ่าตัด?พงศกร พูดแบบนี้ แสดงว่าคุณรักษาอาการป่วยเสร็จแล้ว?”
“นี่ รักษาอะไรกัน คุณหมอพงศกรไม่ได้ป่วยย่ะ นั้นไม่ได้ป่วย!”แอนนี่ไม่พอใจกับคำพูดของเธอ จะโต้ตอบไปอย่างเย็นชา
นัทธีหรี่ตาจ้องมองแอนนี่“สำหรับคนที่ป่วยทางจิตแล้ว ถ้านี่ไม่ได้ป่วย งั้นคุณบอกผมมา อย่างไหนคือป่วย?”
“ฉัน……”แอนนี่กลัวเขา ไม่ใช่แค่กลัวในสถานะของเขา แต่ยังกลัวความทรงพลังของเขาอีก
ถูกเขาพูดแบบนี้ เธอก็ไม่กล้าพูดต่อเท่าไหร่
“พอแล้วแอนนี่ ประธานนัทธีพูดถูก ผมป่วยจริง”พงศกรดึงแอนนี่กลับมาข้างตัวเอง
วารุณีก็เป็นเช่นนี้ กอดแขนของนัทธีไว้ สื่อว่าให้เขาอย่าพูดอีก
แต่ เธอกลับดีใจ ที่เขาสามารถยืนออกมาช่วยเธอพูดได้ทันเวลา ในตอนที่เธอถูกคนอื่นด่าว่า
จนคนตรงนั้นเงียบลง พงศกรจึงพูดอีกครั้ง“การรักษาของผมสิ้นสุดลงเมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงกลับมาทำงานใหม่ได้”
“ที่แท้ก็แบบนี้เอง”วารุณีพยักหน้า สื่อว่าเข้าใจ“ในเมื่อเสร็จนานแล้ว งั้นทำไมคุณไม่กลับจังหวัดจันทร์ล่ะ?”
“เพราะการผ่าตัดนี้ รอการผ่าตัดนี้เสร็จสิ้น ผมค่อยกลับไป”พงศกรตอบ
ริมฝีปากบางๆของนัทธีเม้มลง
พงศกรเห็น หรี่ตาลงขำๆ:“เหมือนว่าประธานนัทธีจะไม่ต้อนรับผมกลับไปนะ?”
นัทธียอมรับไปตรงๆ“ใช่”
“ทำไมล่ะ?”รอยยิ้มพงศกรไม่เปลี่ยนไป มองวารุณีแวบหนึ่ง“คิดว่าผมมีความคิดอะไรต่อวารุณีเหรอ?”
ใบหน้าหล่อเหลาของนัทธีหม่นลง รอบๆตัวนั้นเยือกเย็น“ถึงมี คุณก็ไม่มีประโยชน์หรอก เธอคือภรรยาของผม”
พูดจบ เขาก็โอบเอวของวารุณี
วารุณีก็ไม่ขัดขืน พิงไปในอ้อมแขนเขาอย่างเชื่อฟัง
แม้ว่าตอนนี้เธอไม่ใช่ภรรยาของเขา เธอก็ไม่สามารถหักหน้าเขาได้
พงศกรยักไหล่“ผมรู้อยู่แล้วว่าวารุณีเป็นภรรยาของคุณ ผมไม่ได้ไม่ยอมรับเสียหน่อย ทำไมประธานนัทธีต้องมาเป็นศัตรูกับผมแบบนี้ด้วย ผมสบายดีแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว และอีกอย่างนะวางใจเถอะ ความรู้สึกที่ผมมีต่อวารุณี ก็ทิ้งไปหมดแล้ว”
“คุณคิดว่าผมเชื่อไหม?”นัทธีหัวเราะอย่างเย็นชา
เรื่องของความรู้สึก ทิ้งไปง่ายๆแบบนี้ก็ทิ้งได้เหรอ?
พงศกรผายมือออก“ประธานนัทธีไม่เชื่อผมก็ทำอะไรไม่ได้ โอเคประธานนัทธี สายมากแล้ว ผมควรไปพบนายจ้างผมแล้ว ขอตัวก่อนนะ”
พูดจบ เขาก็มองไปที่วารุณีอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนขึ้นเยอะ“วารุณี ผมไปก่อนนะ ไว้เจอกันที่จังหวัดจันทร์”
“อือ”วารุณีพยักหน้า
พงศกรพาแอนนี่ไป
รอยยิ้มบนใบหน้าวารุณีค่อยๆหายไป บ่นพึมพำว่า:“ไม่รู้ว่าฉันคิดมากไปไหม ฉันรู้สึกเหมือนว่าพงศกรจะเปลี่ยนไปเยอะเลย?”