ผู้หญิงคนนี้ กล้าพูดว่าลูกของเธอเป็นลูกสวะ !
อารัณและไอริณเองก็รู้สึกโกรธ จึงกำหมัดเล็ก ๆ ไว้แน่น
“คุณพูดจาเหลวไหล หนูกับพี่ไม่ใช่ลูกสวะเสียหน่อย !” ไอริณร้องไห้พลางตะโกนออกมา
ถึงแม้อารัณไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาที่จ้องมองนวิยา กลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ทำให้นวิยาผงะไปครู่หนึ่ง ราวกับเห็นนัทธีกำลังยืนอยู่ตรงหน้า
แต่ไม่ช้า นวิยาก็ตั้งสติกลับมาได้ และกล่าวเยาะเย้ย : “หรือว่าไม่ใช่ ? ถึงแม้พวกเธอจะเรียกนัทธีว่าพ่อทุกคำ แต่เขาเป็นพ่อของพวกเธออย่างนั้นหรือ พวกเธอมันก็แค่กาฝากเท่านั้น”
“พวกเราไม่ใช่กาฝากสักหน่อย คุณเป็นคนไม่ดี คนไม่ดี !” ไอริณร้องไห้และพยายามเข้าไปตีเธอ
วารุณีดึงเด็กน้อยกลับมา แล้วกอดเอาไว้แน่น “เอาล่ะไอริณ ใจเย็น ๆ นะลูก”
ไอริณจับเสื้อของวารุณีเอาไว้แน่น และร้องไห้ออกมาอย่างหนัก “แม่คะ หนูกับพี่ไม่ใช่ลูกสวะใช่ไหม และพวกเราก็ไม่ใช่กาฝากด้วยใช่ไหมคะ ?”
วารุณีรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก เธอพยักหน้าอย่างแรง “ใช่แล้ว พวกหนูไม่ใช่ลูกสวะ และไม่ใช่กาฝากด้วย พวกหนูคือยอดดวงใจของแม่
ความโกรธและความเสียใจของไอริณ จึงเบาบางลงไปเล็กน้อย
“ คุณน้านวิยา คุณว่าพวกเราแบบนี้ ไม่กลัวว่าคุณพ่อจะรู้เข้าหรอกหรือ ?” อารัณข่มความโกรธในจิตใจ แล้วหันมองนวิยาด้วยสายตาที่เย็นชา
นวิยาลูบวิกผมของเธอ “ทำไมต้องกลัวด้วย ? เธอคิดว่าพ่อของพวกเธอจะช่วยพวกเธออย่างนั้นหรือ ? พวกเธอเข้าข้างตัวเองมากไปหน่อยแล้ว ตอนนี้พ่อของพวกเธอไม่รักพวกเธออีกแล้ว พวกเธอมองไม่หรอกหรืออย่างไร ?”
“……” อารัณสีหน้าซีดเผือดทันที และไม่พูดอะไรต่อ
ใช่สิ สองวันมานี้พ่อแสดงท่าทีออกมาอย่างเด่นชัด ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ
เมื่อเห็นลูกชายและลูกสาวถูกนวิยากลั่นแกล้งจนตั้งตัวไม่ติด วารุณีก็ไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป หลังจากที่เธอปล่อยเด็กน้อยในอ้อมกอดลง ก็ปรี่เข้าไปตบหน้านวิยาทันที
เสียงตบดังก้องกังวาน
นวิยากุมใบหน้าที่ถูกตบเอาไว้ด้วยความตกใจ “เธอตบฉันหรือ ?”
เด็กน้อยทั้งสองรู้สึกตกใจต่อการกระทำของวารุณีไม่น้อย
แต่ไม่ช้า ไอริณก็ตบมือขึ้นมาด้วยความดีใจ “แม่สุดยอดไปเลยค่ะ !”
ถึงแม้อารัณจะรู้สึกพอใจและสนุกสนานกับการลงมือของวารุณีไม่น้อย แต่ในใจกลับรู้สึกเป็นห่วงวารุณี
เพราะคุณน้านวิยาคนนี้ ถือว่ามีความสำคัญกับพ่อมากเช่นกัน
แม่ตบเธอ จะรับประกันได้อย่างไรว่าพ่อจะไม่โกรธ
“ฉันอยากตบเธอฉันก็ตบ จะต้องดูฤกษ์ดูยามด้วยหรือ ?” วารุณีพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและไร้อารมณ์ : “เธอกล่าวหาว่าลูกทั้งสองคนของฉันเป็นลูกสวะ เป็นกาฝาก เธอก็น่าจะคิดได้นะว่าเธอต้องเจอกับบทลงโทษเช่นนี้”
“เธอ……” นวิยารู้สึกโมโหจนใบหน้าบูดเบี้ยว เธอง้างมือเพื่อจะตบวารุณีกลับ
วารุณีหรี่ตาลง จากนั้นจึงคว้ามือของนวิยาเอาไว้ แล้วใช้หลังมือตบกลับไปบนใบหน้าอีกซีกหนึ่ง
เช่นนี้ ทำให้ใบหน้าของนวิยาดูสมดุลกันแล้ว
ส่วนนวิยาก็ล้มลงไปบนโซฟา รู้สึกสมองอื้ออึง ใบหน้าทั้งสองซีกร้อนผ่าว
เธอกล้าดียังไง !
วารุณีกล้าดียังไง !
นวิยาทั้งโมโหทั้งแค้นใจ จนตัวของเธอสั่นเทา
ในตอนนี้เอง มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา จากนั้นจึงตามมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมของผู้ชายคนหนึ่ง “พวกคุณกำลังทำอะไรกัน ?”
นวิยาตั้งสติขึ้นมาได้และรีบลุกขึ้นจากโซฟาทันที จากนั้นจึงตรงปรี่เข้าไปหานัทธี แล้วโผเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “นัทธี คุณหนูวารุณีตบฉัน ! ฮือฮือฮือ……”
“ตบคุณ ?” นัทธีขมวดคิ้ว แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อ
นวิยาเงยหน้าขึ้น แล้วชี้ไปที่ใบหน้าของตนเอง “คุณดูนี่สิ นี่เป็นฝีมือการตบของวารุณี มิหนำซ้ำยังตบฉันถึงสองครั้งอีกด้วย นัทธี ฉันเจ็บมากเลยค่ะ”
ขณะที่พูด เธอก็ร้องไห้ออกมา
เมื่อนัทธีเห็นรอยนิ้วมือบนใบหน้าของเธอ เขาเม้มริมฝีปากบาง ๆ ของเขา จากนั้นจึงหันมองวารุณี “บอกเหตุผลฉันมา”
เขาเข้าใจเธอดี
เธอไม่ใช่คนที่จะลงไม้ลงมือกับใครตามอำเภอใจ แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องมีที่มาที่ไป
วารุณีเหลือบมองนวิยาด้วยแววตาที่เย็นชา และกำลังจะเอ่ยปากพูด
แต่อารัณจูงมือไอริณแล้วพูดขึ้นมาเสียก่อน “พ่อครับ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของแม่นะครับ คุณน้านวิยาเป็นคนหาเรื่องพวกเราก่อน”
เขาชี้นิ้วไปที่นวิยา “เธอด่าผมกับไอริณว่าเป็นลูกสวะ เป็นกาฝาก ดังนั้นแม่ถึงได้ตบหน้าเธอ เป็นเพราะเธอปากไม่ดีครับ !”
ลูกสวะ ?
กาฝาก ?
นัทธีหรี่ตาและก้มลงมองนวิยาด้วยความไม่พอใจอย่างรุนแรง “จริงไหม ? คุณพูดแบบนี้จริงไหม ?”
“นัทธี จะเป็นไปได้อย่างไรคะ ! ฉันไม่มีทางพูดคำพูดพวกนี้ออกมาเด็ดขาด ใช่ว่าคุณจะไม่รู้ว่าอารัณกำลังพูดโกหก” นวิยามองดูอารัณแล้วทำสีหน้าเจ็บปวด
“คุณพูดจาเหลวไหล พี่ไม่ได้โกหกสักหน่อย คุณพูดคำพูดพวกนั้นออกมาจริง ๆ” ไอริณเองก็ก้าวขึ้นมาเพื่อพูดโต้กลับเช่นกัน
นวิยายิ่งทำสีหน้าโศกเศร้า “คุณหนูวารุณี เธอสั่งสอนลูก ๆ แบบนี้นะหรือ ปล่อยให้พวกเขาพูดโกหกโดยไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือ ?”
“ลูกของฉันไม่ได้พูดโกหก แต่ฉันกลับรู้สึกว่าฉันสอนพวกเขาได้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง พวกเขาทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจ แต่เป็นคุณต่างหากคุณหนูนวิยา คุณเป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า แต่กลับด่าทอเด็กตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ มิหนำซ้ำยังกล้าพูดโกหกอีก ฉันว่าคนทึควรได้รับการสั่งสอนน่าจะเป็นคุณมากกว่า” วารุณีจูงมือเด็กน้อยทั้งสองคนแล้วโต้กลับ
เมื่อพูดจบ เธอก็หันมองนัทธี “นัทธี ที่ลูก ๆ ทั้งสองคนพูดล้วนเป็นความจริง คุณหนูนวิยาเรียกพวกเขาว่าลูกสวะไม่ขาดปาก คุณต้องเชื่อฉันนะคะ”
นัทธีหลับตาลงเล็กน้อย แววตาของเขาดูลึกซึ้งจนมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
นวิยาดึงมือเขาเอาไว้ “นัทธี ฉันเปล่าจริง ๆ นะ อีกอย่าง ถ้าฉันทำเช่นนั้นจริง ๆ ก็ควรจะต้องมีเหตุผลสิ ไม่อย่างนั้นทำไมจู่ ๆ ฉันต้องไปต่อว่าเด็กทั้งสองคนว่าเป็นลูกสวะด้วยล่ะ ฉันกับเด็กทั้งคู่ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันสักหน่อย”
“เธอไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเด็กทั้งคู่ แต่เธอมีปัญหากับฉัน เด็กทั้งสองคนเป็นลูกของฉัน เธอก็สามารถทำร้ายพวกเขาได้เช่นกันไม่ใช่หรือ ?” วารุณีเอ่ยด้วยความโมโห
นวิยากัดริมฝีปาก “คุณหนูวารุณี เธอพูดแบบนี้ไม่เท่ากับว่ากำลังพยายามกลับผิดเป็นชอบหรือ ?”
“ไม่หรอก เพราะนี่คือความจริง” วารุณีตอบด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
ดวงตาของนวิยาแดงก่ำ “นัทธี……”
“พอได้แล้ว” นัทธีดึงมือกลับมา “ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผลของตนเอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เรื่องจริงเป็นอย่างไรกันแน่ ก็ตัดสินจากการดูกล้องวงจรปิดก็แล้วกัน”
กล้องวงจรปิด ?
นวิยารู้สึกตกใจอย่างมาก สีหน้าของเธอดูตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “ในคฤหาสน์มีกล้องวงจรปิดด้วยหรือคะ ?”
วารุณีเองก็หันมองนัทธีด้วยความประหลายใจเช่นกัน
เธอไม่ได้รู้สึกประหลาดใจที่มีกล้องวงจรปิดอยู่ในคฤหาสน์
ทำไมนัทธีถึงรู้ว่าในคฤหาสน์มีกล้องวงจรปิด กล้องวงจรปิดในคฤหาสน์ทุกตัว เธอเป็นคนติดตั้งเองทั้งหมด และเธอเองก็ไม่เคยบอกเขามาก่อน
“พ่อครับ คุณน้านวิยาตกใจแล้ว พอเธอได้ยินว่ามีกล้องวงจรปิดก็รู้สึกร้อนตัวขึ้นมาแล้ว” อารัณชี้ไปที่นวิยาและพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
นวิยาเพิ่งจะรู้ตัวว่า เมื่อตนเองได้ยินคำว่ากล้องวงจรปิดได้แสดงท่าทีตกใจออกมาอย่างชัดเจนเกินไป จนทำให้ถูกมองออกอย่างง่ายดาย
ในตอนนั้นเอง นวิยาไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองนัทธี เธอรีบพูดขึ้นด้วยความประหม่า : “นัทธี ฉัน……”
“คุณรู้ไหม ในคฤหาสน์ไม่มีกล้องวงจรปิดหรอกนะ เรื่องกล้องวงจรปิดผมแค่แสร้งพูดขึ้นมาลอย ๆ เท่านั้น เพื่อที่จะดูปฏิกิริยาของพวกคุณ นวิยา คุณทำให้ผมรู้สึกผิดหวังจริง ๆ
พูดจบ นัทธีก็เดินผ่านเธอไปยังบันได
ขณะที่เขาเดินผ่านวารุณี วารุณีได้ตะโกนเรียกเขาเอาไว้ “นัทธี ตอนกลางวันฉันส่งข้อความหาคุณ คุณเห็นหรือยังคะ ? พวกเราคุยกันเป็นการส่วนตัวสักหน่อยได้ไหมคะ ?”
“ไม่มีอะไรต้องคุย” นัทธีพูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชา แล้วก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดต่อไป
แววตาของวารุณีหมองหม่นลงทันที และรู้สึกไร้เรี่ยวแรง
ตอนนี้เอง จู่ ๆ นวิยาก็หันกลับมา แล้วจ้องเธอตาเขม็ง “วารุณี เธออย่าเพิ่งได้ใจไปนะ ถึงแม้ครั้งนี้ความจริงจะถูกเปิดเผยออกมา แต่ฉันก็ไม่มีวันยอมแพ้แน่นอน”
พูดจบ เธอก็เบนสายตากลับ แล้วเดินขึ้นชั้นบนไป
ภายในห้องหลับแขกเหลืออยู่เพียงวารุณีและเด็กทั้งสองคน
อารัณจูงมือไอริณ แล้วเงยหน้ามองเธอ “แม่ครับ ท่าทีที่พ่อแสดงต่อพวกเรายังเหมือนเดิม พวกเราควรทำอย่างไรกันดีครับ ?