วารุณีอึ้งไป “คุณเคยตรวจดีเอ็นเออย่างนั้นหรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมฉันถึงไม่รู้ ?”
“ตอนที่ผมเจอกับอารัณครั้งแรก ผมก็สงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขา ดังนั้นผมจึงให้มารุตนำเลือดของเขาไปตรวจดีเอ็นเอ ผลปรากฏออกมาว่า ผมกับเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกัน”
“เป็นไปไม่ได้ !” วารุณีปฏิเสธออกมาเสียงแข็ง
เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวของเธอ
แล้วอารัณจะไม่ใช่ลูกของเขาได้อย่างไร เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพวกเขาเหมือนกัน
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เพราะผมตรวจดีเอ็นเอถึงสองครั้ง และผลการตรวจก็ออกมาว่าไม่ใช่ทั้งสองครั้ง” นัทธีเม้มปากพูด
วารุณีส่ายหัวด้วยสีหน้าซีดเผือด “ไม่ เป็นไม่ได้ คุณโกหกฉัน”
ถ้าหากอารัณไม่ใช่ลูกของเขา แล้วจะเป็นลูกของใคร ?
หรือผู้ชายในคืนนั้นใช่เขา ?
ไม่สิ กล้องวงจรปิดบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ชายที่อยู่ในคืนนั้นก็คือเขา !
“นัทธี คุณถูกหลอกหรือเปล่า ?” วารุณีเอ่ยปากด้วยความร้อนใจ “อารัณกับไอริณเป็นลูกของคุณจริง ๆ หรือเราไปตรวจดีเอ็นเอกันอีกครั้ง ?”
“ไม่จำเป็นแล้ว จะตรวจอีกกี่ครั้งผลก็ออกมาเหมือนเดิม” นัทธีมองเธอด้วยสายตาเย็นชา “ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงพูดว่าพวกเขาเป็นลูกของผม แต่ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นทำไมหน้าตาถึงได้อัปลักษณ์เหมือนคุณ”
เมื่อได้ยินดังนี้ วารุณีก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ตัวของเธอสั่นเทา และเกือบจะล้มลงไป
เธอหน้าตาอัปลักษณ์ ?
เธอแค่ต้องการให้เขารู้ว่า อารัณและไอริณเป็นลูกของเขา ทำไมจู่ ๆ เธอถึงกลายเป็นคนอัปลักษณ์ไปได้ ?
วารุณีหันมองชายหนุ่มด้วยความเสียใจ
ทว่าชายหนุ่มกลับไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย และเดินลงบันไดไป
“นัทธี คุณจะไปไหน ?” วารุณีจับราวบันไดแล้วมองลงไปด้านล่าง
ชายหนุ่มยังคงดินต่อไปไม่หยุด และไม่ได้หันกลับมาตอบแม้แต่คำเดียว และในที่สุดเขาก็เดินหายลับไป
“แม่ครับ” มีเสียงของอารัณดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
วารุณีปาดน้ำตาแล้วหันกลับไป พร้อมทั้งฝืนยิ้มออกมา “มีอะไรหรือลูก ?”
“เมื่อครู่สิ่งที่แม่กับพ่อ……ไม่สิ กับคุณอานัทธีคุยกัน ผมได้ยินหมดแล้ว” อารัณเดินตรงเข้ามา
เมื่อวารุณีได้ยินเขาเปลี่ยนคำสรรพนามที่ใช้เรียก เธอก็ใจสั่นทันที “ได้ยินหมดแล้ว ?”
“ครับ” อารัณพยักหน้า คุณอานัทธีพูดถูก ผมกับไอริณไม่ใช่ลูกของเขา อันที่จริงแล้ว ไม่ใช่เพียงคุณอานัทธีคนเดียวเท่านั้น ที่เห็นผมครั้งแรกแล้วรู้สึกสงสัย เพราะครั้งแรกที่ผมเห็นคุณอานัทธี ผมเองก็สงสัยเหมือนกันว่าเขาใช่พ่อของผมหรือไม่”
“อะไรนะ ?” วารุณีเอ่ยถาม “ลูกเองก็สงสัย ?”
“ครับ” อารัณพยักหน้า เพราะผมกับคุณอานัทธีดูคล้ายกันขนาดนี้ ถ้าไม้สงสัยก็คงเป็นเรื่องแปลก”
วารุณีก้มหน้าไม่พูดไม่จา
ใช่สิ หน้าตาเหมือนกันมากขนาดนี้ เธอถึงมั่นใจว่าผู้ชายในคืนนั้นก็คือนัทธี
แต่ทำไมผลตรวจถึงออกมาเช่นนี้ได้ ?
“แม่ยังจำครั้งแรกที่คุณอานัทธีไปบ้านเราได้ไหมครับ ?” อารัณจับมือของเธอ “ครั้งนั้นผมไม่ทันระวังจนตัดผมของคุณอานัทธีออกไปหลายเส้น”
เมื่อได้ยินดังนี้ วารุณีก็เหมือนจะเข้าใจบางอย่างแล้ว “อารัณ ลูกจงใจหรือ ?”
“ครับ ผมสงสัยว่าคุณอานัทธีคือพ่อของผมหรือไม่ ดังนั้นผมจึงตั้งใจตัดผมของเขาออกมา จากนั้นจึงขอช่วยให้พ่อบุญธรรมนำไปตรวจดีเอ็นเอ ผมการตรวจออกมาเป็นเหมือนที่คุณอานัทธีพูด ผมกับไอริณไม่ใช่ลูกของเขา” อารัณตอบ
วารุณีหน้ามืด แต่ยังดีที่จับราวบันไดเอาไว้ได้ทัน จึงไม่พลัดตกบันไดไปเสียก่อน
ถ้าหากผลการตรวจทั้งสองครั้งของนัทธีถูกคนอื่นหลอก ถ้าอย่างนั้นผลการตรวจของอารัณก็คงไม่ถูกหลอกด้วยหรอกนะ ?
ดังนั้น เด็กทั้งสองไม่ใช่ลูกของนัทธีจริง ๆ หรือ ?
แล้วพวกเขาเป็นใครกัน ?
วารุณีเอามือกุมหน้าผาก เธอรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งตัว
เธอมั่นใจว่าโดยตลอดว่าเด็กทั้งสองเป็นลูกของนัทธี แต่ตอนนี้ผลลัพธ์ที่ออกมากลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกตีเข้าอย่างจังจนตั้งตัวไม่ติด
“แม่ครับ……” เมื่อเห็นสีหน้าของวารุณีซีดเผือดขึ้นเรื่อย ๆ อารัณก็ตะโกนเรียกเธอด้วยความเป็นห่วง
วารุณีก้มมองแววตาที่เป็นห่วงเป็นใยของลูกชาย ก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างถึงที่สุด
เธอย่อตัวลงแล้วกอดเด็กน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน พลางร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา “ขอโทษด้วยนะลูกรัก แม่ต้องขอโทษลูกจริง ๆ”
เป็นเพราะเธอ ที่ทำให้เด็กทั้งสองคนเกิดมาไม่มีพ่อ
และเป็นเพราะเธอ ที่ทำให้เด็กทั้งสองคนต้องถูกทำร้ายด้วยคำพูดที่รุนแรงเหล่านั้น
อารัณตบหลังของวารุณีเบา ๆ “แม่ไม่ต้องขอโทษผมกับไอริณหรอกครับ แม่รักพวกเรามาก และพยายามอย่างมากที่จะปกป้องพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงมีความสุขมาก แม่ไม่ต้องขอโทษนะครับ”
เมื่อได้ยินลูกชายพูดจาอย่างรู้ความเช่นนี้ วารุณีก็รู้สึกอบอุ่นใจและหดหู่ใจในคราวเดียวกัน จึงยิ่งร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
อารัณรู้สึกจนใจ เขาต้องปลอบโยนทั้งแม่และน้องสาวไปพร้อม ๆ กัน
ไม่รู้ว่าร้องไห้อยู่นานเท่าไหร่ จากนั้นวารุณีจึงปล่อยอารัณ
อารัณเอ่ยถามขึ้นว่า : “แม่ครับ ตอนนี้คุณอานัทธีไม่รักผมกับไอริณ อีกทั้งยังเย็นชากับแม่ แม่ยังคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกับคุณอานัทธีอีกไหมครับ ?”
วารุณีมองเขา “ลูกรัก……”
เขาพูดขึ้นอีกว่า : “ถ้าหากแม่ยังอยากอยู่กับคุณอานัทธี ผมกับไอริณจะช่วยให้แม่กับคุณอานัทธีคืนดีกัน ให้คุณอานัทธีกลับมาเป็นเหมือนแต่ก่อน แต่ถ้าหากแม่ไม่อยากอยู่ร่วมกับคุณอานัทธีแล้ว พวกเราก็กลับไปอยู่ที่อพาร์ตเมนต์เดิมของเราเถอะครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของลูกชาย วารุณีก็รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา
“แล้วลูกอยากไปจากที่นี่ไหม ?” วารุณีลูบหัวของเด็กน้อยทั้งสองพลางเอ่ยถามขึ้นมา
เธอรักนัทธี จึงไม่อาจตัดใจไปจากที่นี่ได้
แต่ถ้าหากลูกทั้งสองต้องการจะไป เธอเองก็คงเลือกลูกของเธออย่างแน่นอน
ไอริณส่ายหัว “หนูไม่ไป หนูรักพ่อ หนูไม่อยากจากพ่อไป”
“แล้วอารัณล่ะ ?” วารุณีหันมองอารัณ
อารัณพยักหน้า “ผมก็ไม่ไป นอกจากพ่อจะพูดออกมาเองว่าไม่ต้องการพวกเราแล้ว”
ถึงแม้นัทธีจะไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของพวกเขา แต่ก็เป็นคนที่พวกเขารักและชื่นชม
ไม่แน่ว่าที่ตอนนี้นัทธีไม่รักพวกเขา อาจเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น ต่อไปทุกอย่างอาจดีขึ้น
เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กทั้งสอง วารุณีก็รู้สึกโล่งใจ “ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะไม่ไป พวกเราต้องเชื่อใจคุณพ่อ เชื่อใจว่าคุณพ่อจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง”
“ครับ” ทั้งสองคนพยักหน้าพร้อมกัน
จากนั้น วารุณีจึงให้ทั้งสองกลับไปที่ห้อง
หลังจากเด็กทั้งสองเดินจากไปแล้ว วารุณีเองก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมนานนัก เธอเดินกลับห้องไปแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นจึงเปิดคลิปวิดีโอคลิปหนึ่งขึ้นมา
คลิปวิดีโอนี้เป็นภาพในกล้องวงจรปิดเมื่อห้าปีก่อน
เธอต้องการที่จะเปิดดูอีกครั้ง ว่ามีจุดที่เป็นข้อบกพร่องหรือไม่
เธอต้องการรู้ให้แน่ชัดว่า ผู้ชายที่อยู่ในคืนนั้นคือนัทธี หรือเป็นคนอื่นที่หน้าตาคล้ายกับนัทธีกันแน่
ทว่า หลังจากที่วารุณีดูจบ ก็แน่ใจว่าผู้ชายที่เห็นก็คือนัทธี ไม่ใช่คนอื่น
แต่เพราะอะไร การตรวจดีเอ็นเอทั้งสามครั้ง ถึงปรากฏผลออกมาว่าเด็กทั้งสองไม่ใช่ลูกของนัทธี ?
มันมีข้อผิดพลาดตรงไหนกันแน่ ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ วารุณีก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา
เธอรู้สึกเหมือนกับตัวเองตกลงไปในหลุมพรางขนาดใหญ่ และไม่อาจปีนขึ้นมาได้
วารุณีวางโทรศัพท์ลง และทิ้งตัวลงบนที่นอนอย่างไร้เรี่ยวแรง พลางจ้องมองไปที่เพดาน
ไม่รู้ว่ามองอยู่นานเท่าไหร่ นานจนรู้สึกหนังตาเริ่มหนักอึ้ง เธอจึงพลิกตัวแล้วหลับตาลง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตลอดสองวันมานี้ ทำให้เธอรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก ร่างกายของเธอก็รู้สึกอ่อนล้า เวลากลางคืนก็ไม่อาจนอนหลับได้สนิท
เมื่อตอนนี้รู้สึกง่วงขึ้นมา จึงได้ผล็อยหลับไป
ดูเหมือนวารุณีจะหลับไปหลายชั่วโมง จนรู้สึกคอแห้ง เธอจึงถูขมับแล้วลุกขึ้นนั่ง
หลังจากสมองปลอดโปร่งขึ้นเล็กน้อยแล้ว เธอก็ลูกขึ้นจากเตียง และเตรียมจะลงไปดื่มน้ำที่ชั้นล่าง
ในขณะที่เธอเดินออกจากห้องนั้น จู่ ๆ ก็เห็นอะไรบางอย่าง เธอรู้สึกตกใจจนหน้าถอดสี
เธอเห็นนวิยาสวมชุดนอนสายเดี่ยวบาง ๆ กำลังเดินออกมาจากห้องของนัทธี
หลังจากนวิยาปิดประตูห้อง ก็หันมาพบเข้ากับวารุณี เธอแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาก่อน จากนั้นจึงยิ้มเยาะออกมา “คุณหนูวารุณี สวัสดีตอนเย็นจ๊ะ”