วารุณีมองออก จึงยื่นกระดาษทิชชูใส่มือของเด็กน้อย “เด็กดี รับไปเร็วเข้า”
“ขอบคุณครับคุณป้า” เด็กน้อยเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
ตอนนี้เอง เด็กน้อยสองคนกำลังวิ่งกรูกันเข้ามา “คุณแม่”
วารุณีอ้าแขนรับพวกเขา “ทำไมถึงได้วิ่งกันเร็วขนาดนี้ล่ะ ?”
“ก็หนูคิดถึงแม่นี่คะ” ไอริณกอดขาของวารุณีเอาไว้ และทำท่าทีออดอ้อน
วารุณีลูกศีรษะของเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม “ปากหวานจริง ๆ แม่ตัวน้อย”
ไอริณหัวเราะแหะ ๆ
อารัณหันมองเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “แม่ครับ ทำไมเขามาอยู่ตรงนี้ ?”
“ลูกรู้จักหรือ ?” วารุณีถาม
อารัณพยักหน้า กำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่ดูเหมือนเด็กผู้ชายจะรู้สึกอับอาย จึงรีบก้มศีรษะลง “คุณป้าครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“รอเดี๋ยวก่อน” วารุณีดึงแขนของเขาเอาไว้ “พ่อแม่ของหนูไม่มารับหนูหรือจ๊ะ ?”
เมื่อครู่เธอเองก็คิดอยากจะถาม เพราะเห็นเด็กคนนี้ถูกทำร้ายโดยที่ไม่มีใครเข้ามาช่วย และไม่เห็นแม่แต่เงาของพ่อแม่เลย จึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
เด็กชายตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ จากนั้นน้ำตาของเขาก็ค่อย ๆ ไหลรินลงมา “พ่อตายไปแล้วครับ ส่วนแม่สุขภาพไม่แข็งแรง มารับผมไม่ได้ ผมจึงต้องกลับบ้านเอง”
เมื่อได้ยินดังนั้น วารุณีก็รู้สึกไม่สบายใจทันที
ตั้งแต่ที่เธอเป็นแม่ เธอก็พบว่าตนเองไม่อาจทนดูเด็กที่น่าสงสารได้
“แล้วบ้านของหนูอยู่ไหนจ๊ะ ป้าจะพาหนูไปส่งเอง” วารุณีพูดอย่างอ่อนโยน
เด็กน้อยที่ได้รับความเอ็นดูกลับดวงตาเบิกโพลง จากนั้นจึงรีบส่ายหัวในทันที “ไม่ต้องหรอกครับคุณป้า ผม……”
“หนูไม่กลัวว่าอีกเดี๋ยวเด็กนิสัยไม่ดีพวกนั้นจะย้อนกลับมาหาหนูอีกหรืออย่างไร” วารุณีพูดคัดบทเขา
เด็กน้อยนิ่งไปสักครู่
วารุณีจูงมือของเขา “ไปกันเถอะ ขึ้นรถเร็ว”
พูดจบ เธอก็เรียกให้อารัณจูงมือไอริณ แล้วเดินตรงไปที่รถ
วารุณีขับรถ ไอริณนั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ ส่วนอารัณและเด็กผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ด้านหลัง
เด็กผู้ชายบอกที่อยู่ให้กับวารุณี
จากนั้นวารุณีจึงเอ่ยถามขึ้นทันที : “จริงสิ ป้ายังไม่ได้ถามชื่อของหนูเลย หนูชื่ออะไรหรือจ๊ะ ?”
“เขาชื่อเจเจครับ” อารัณตอบแทนเด็กชายคนนั้น
“ เจเจ?” วารุณีหัวเราะ “เป็นชื่อที่น่ารักมากเลยนะจ๊ะ”
เจเจรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาแดงก่ำขึ้นมา
ไม่ช้า ก็มาถึงบ้านของเจเจ
วารุณีหยุดรถ
หลังจากลงจากรถไปแล้ว ก็หันมองโบกมือให้กับวารุณี “ขอบคุณนะครับคุณป้า”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกนะ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ หนูต้องบอกคุณแม่นะจ๊ะ ให้แม่โทรศัพท์หาคุณครูเข้าใจไหม ? ไม่อย่างนั้นเด็กพวกนั้นก็จะมารังแกหนูอีก” วารุณีกำชับ
ดวงตาของเด็กชายหมองหม่นลงเล็กน้อย แต่ไม่ช้าเขาก็พยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับก่อนนะ ลาก่อน” วารุณีขึ้นรถ แล้วขับรถออกไป
เจเจยืนโบกมือให้รถอยู่ที่เดิม จนกระทั่งรถหายลับตาไป เขาจึงค่อย ๆ กระโดดเข้าไปในอาคารที่ค่อนข้างเก่าแก่ ด้วยอารมณ์ที่ดูเหมือนจะแจ่มใส
ภายในรถ จู่ ๆ อารัณก็พูดขึ้นมา : “ไม่มีประโยชน์หรอกครับแม่”
“ไม่มีประโยชน์อะไรกันจ๊ะ ?” วารุณีหันมองเขาผ่านทางกระจกมองหลังด้วยความสงสัย
อารัณนั่งกระดิกเท้า “ก็เจเจคนนั้น ถูกรังแกมาตั้งนานแล้วล่ะครับ และไม่ใช่ว่าไม่เคยบอกคุณครู แต่เป็นเพราะคุณครูไม่สามารถจัดการกับเด็กพวกนั้นได้ เด็กพวกนั้นอาจจะหยุดไปแค่ชั่วครั้งชั่วคราว จากนั้นก็เริ่มรังแกเขาอีกครั้ง”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ?” วารุณีขมวดคิ้ว
หากเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าคงต้องย้ายโรงเรียนแล้ว
มิเช่นนั้นเจเจคงต้องถูกรังแกเช่นนี้เรื่อย ๆ
“ใช่ครับ พวกเด็ก ๆ ที่รังแกเจเจ ก็คือเพื่อนบ้านของเจเจเอง พวกเขาเห็นพี่สาวของเจเจถูกตำรวจจับด้วยตาของตัวเอง ดังนั้นจึงป่าวประกาศไปทั่วว่าพี่สาวของเจเจเป็นฆาตกร ถึงขั้นว่าเด็ก ๆ และผู้ปกครองในโรงเรียนอนุบาลต่างก็รู้เรื่องกันหมดครับ” อารัณพยักหน้าแล้วอธิบายออกมา
วารุณีพูดขึ้นทันทีว่า “มิน่าล่ะ พอผู้ปกครองเหล่านั้นเห็นเจเจถูกรังแก กลับไม่มีใครคิดที่จะเข้าไปช่วยสักคน”
“ดังนั้นเจเจคนนั้นจึงอยู่ในโรงเรียนอนุบาลอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครยอมเป็นเพื่อนกับเขาครับ” อารัณผายมือออก
วารุณีไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วพี่สาวของเจเจล่ะ เธอฆ่าคนจริงหรือจ๊ะ ?”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ได้ยินมาว่าถูกตั้งข้อหาเจตนาฆ่า แต่ทำไม่สำเร็จ เจเจพูดมาตลอดว่าพี่สาวของเขาถูกใส่ร้าย เธอไม่เคยทำเรื่องเช่นนั้น แต่ต้องเป็นแพะรับบาป ส่วนเรื่องจริงเป็นอย่างไรกันแน่ จะมีใครรู้ได้ล่ะครับ” อารัณทำท่าทีเหมือนผู้ใหญ่ที่อยู่ในร่างของเด็ก
วารุณีไม่พูดอะไรต่อ
อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่น
ไม่ช้า รถก็ขับมาถึงคฤหาสน์
วารุณีจูงมือเด็กทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน แต่กลับเห็นกระเป๋าเดินทางวางอยู่ในห้องนั่งเล่น
ป้าส้มยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้าง ๆ กระเป๋าเดินทาง ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไร เธอจึงเอาแต่พยักหน้าอยู่ตลอด “ได้ ฉันรู้แล้ว อีกเดี๋ยวฉันจะให้คนเอาไปส่งนะ”
พูดจบ เธอก็วางโทรศัพท์ แล้วหันหลังกลับมา พบเข้ากับวารุณีและเด็ก ๆ ทั้งสองคน
“คุณผู้หญิง กลับกันมาแล้วหรือคะ” ป้าส้มเก็บโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋าผ้ากันเปื้อน แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
วารุณีพยักหน้า จากนั้นจึงหันมองกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่ข้าง ๆ เธอ “ป้าส้ม นั่นเป็นของคุณหนูนวิยาใช่ไหม ?”
นวิยาจะย้ายออกไปแล้วหรือ ?
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้ วารุณีก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีทันที
ทว่า เธอกลับมองไม่เห็นอารมณ์ที่สลับซับซ้อนของป้าส้ม
“ไม่ใช่ค่ะ” ป้าส้มส่ายหัว “นี่เป็นของ……คุณผู้ชายค่ะ”
วารุณีหน้าถอดสีทันที ความปีติยินดีในใจของเธอ ราวกับถูกน้ำเย็นสาดจนดับมอดลง เธอรู้สึกเหน็บหนาวจนตัวสั่น พักใหญ่จึงจะส่งเสียงพูดออกมาได้ “ของนัทธีหรือ ?”
“ค่ะ” ป้าส้มพยักหน้า
ริมฝีปากของวารุณีขยับราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดก็ไม่พูดอะไรออกมา
ไอริณไม่เข้าใจว่ากระเป๋าเดินทางใบนี้หมายความถึงอะไร แต่อารัณเข้าใจอย่างชัดเจน
เขากำหมัดเล็ก ๆ แน่น “คุณยายส้มครับ คุณอานัทธีจะย้ายออกไปหรือครับ ?”
ป้าส้มรู้สึกตกใจกับเสียงเรียกของเขา จากนั้นจึงขานรับไปหนึ่งคำ “คุณผู้ชายบอกว่า ช่วงนี้งานในบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปยุ่งมาก หากจะต้องกลับบ้านคงไม่สะดวก ดังนั้นคุณผู้ชายจึงจะย้ายไปอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ที่อยู่ใกล้ ๆ กับบริษัทเป็นการชั่วคราวค่ะ”
“เหอะ ฉันว่าเขาไม่ได้งานยุ่งหรอก แต่เป็นเพราะไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพวกเราแม่ลูกต่างหากล่ะ” วารุณีกัดริมฝีปาก แล้วดวงตาของเธอก็แดงก่ำขึ้นมา
ริมฝีปากของป้าส้มขยับ แต่ไม่พูดอะไร
เรื่องที่เกิดขึ้นตลอดสองวันมานี้ เธอรับรู้มาโดยตลอด ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม
แต่เธอรู้ดีว่าคุณผู้ชายกำลังพยายามหลบหน้าคุณผู้หญิง
“แม่ครับ……” อารัณหันมองวารุณีด้วยความเป็นห่วง
วารุณีเงยหน้าแล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นจึงฝืนยิ้มออกมา “แม่ไม่เป็นไรหรอกลูก พวกหนูขึ้นไปข้างบนกันก่อนนะ แม่จะโทรศัพท์หาพ่อสักหน่อย”
“ครับ” อารัณรู้ดีว่าแม่ต้องการพูดคุยกับคุณอานัทธีตามลำพัง จึงไม่ได้ปฏิเสธ และจูงมือของไอริณเดินขึ้นชั้นบนไป
แม้แต่ป้าส้มเองก็เดินจากไปอย่างเข้าใจ
แต่ตอนที่เดินออกไปนั้น ได้ลากกระเป๋าเดินทางของนัทธีออกไปด้วย
วารุณีต่อสายโทรศัพท์หานัทธี ตอนที่กดต่อสาย มือของเธอสั่นเทา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโกรธหรือเป็นเพราะอะไรกันแน่
แต่ไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ว่า ตอนนี้ในใจของเธอรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก
โทรศัพท์ต่อสายติด แต่นัทธีกลับไม่รับ
วารุณีไม่รู้ว่าเขาตั้งใจไม่รับสาย หรือเป็นเพราะไม่เห็นกันแน่
โดยปกติแล้ว เธอคงรอสักพักแล้วค่อยกดต่อสายอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เธอไม่อยากรออีกแล้ว
หากเขาไม่ยอมรับสายจริง ๆ เธอก็จะกดโทรไม่หยุด กดโทรจนกว่าเขาจะยอมรับสาย
หลังจากที่เธอกดต่อสายติด ๆ กันหกเจ็ดครั้ง ในที่สุดนัทธีก็ยอมรับสาย
ทว่า วารุณีกลับดีใจไม่ออก
เธอต่อสายโทรศัพท์หลายครั้งเช่นนี้เขาถึงยอมกดรับ นั่นแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นสายเรียกเข้าเหล่านั้น แต่เขาตั้งใจที่จะไม่รับต่างหาก
“มีธุระอะไร ?” นัทธีเอ่ยถามขึ้นมาในโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
วารุณีตัวสั่นเทา “นัทธี ตอนแรกคุณทำเย็นชากับฉัน จากนั้นคุณก็ย้ายออกจากห้อง พอมาตอนนี้คุณจะย้ายออกจากคฤหาสน์อีก ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่โทรศัพท์ของฉันคุณก็ไม่ยอมรับ คุณต้องการอะไรกันแน่ ในเมื่อฉันทำผิด คุณก็ควรพูดออกมา ทำไมถึงต้องทำเช่นนี้กับฉันด้วย !”
ตอนนี้เธอรู้สึกโมโหขึ้นมาจริง ๆ จึงได้ตะโกนความในใจออกมาโดยไม่สนใจอะไรอีก
นัทธีได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอ ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างมาก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสาร
แต่เมื่อนึกถึงการตายของพ่อกับแม่ เขาก็พยายามข่มอารมณ์เหล่านี้เอาไว้อีกครั้ง จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “คุณโทรศัพท์มาหาผม เพื่อพูดเรื่องพวกนี้อย่างนั้นหรือ ?”