วารุณีเอามือกุมขมับ ในใจมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
ทำไมถึงมีภาพแปลกๆผุดขึ้นมาในหัวของเธอ ตอนที่เธอปวดหัวเมื่อกี้นะ?
“คุณผู้หญิงเป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ?” ป้าส้มเห็นสีหน้าของวารุณีไม่สู้ดีนัก จึงรีบถามขึ้นด้วยความห่วงใย
วารุณีส่ายหน้า น้ำเสียงแหบแห้ง “ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ จู่ๆฉันก็รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะค่ะ” ป้าส้มเห็นสีหน้าของเธอดีขึ้นมากก็โล่งใจ
วารุณีส่งเสียงอืม เห็นด้วยกับป้าส้ม
ป้าส้มพยุงวารุณีนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก และเตรียมตัวจะไปรินน้ำให้เธอ
ทันใดนั้น วารุณีเรียกป้าส้มให้หยุด “เมื่อกี้ป้าส้มได้ยินเรื่องที่ฉันทะเลาะกับคุณนัทธีหมดแล้วใช่ไหมค่ะ?”
ป้าส้มพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น ป้าคิดว่าคุณแม่ของฉันขับรถชนคุณพ่อคุณแม่ของคุณนัทธีตายจริงๆเหรอค่ะ?” วารุณีมองป้าส้มอย่างมีความหวัง
ป้าส้มหลบตา “ฉันจะไปรู้เรื่องแบบนี้ได้ยังไงค่ะคุณผู้หญิง?”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังโต้เถียงกันอยู่ เธอก็ยืนมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
เธอดูออก คุณท่านก็ไม่ได้พูดโดยไม่มีมูล แต่ในขณะเดียวกัน คุณผู้หญิงเองก็เหมือนจะไม่ได้พูดโกหก
คุณแม่ของคุณผู้หญิงไม่มีรถสีแดงจริงๆ
ดังนั้น ความจริงของเรื่องนี้เป็นอย่างไรยังต้องรอการพิสูจน์ เธอจึงไม่อยากเข้าข้างใครคนใดคนหนึ่ง
วารุณีเข้าใจความกังวลของป้าส้ม จึงไม่อยากทำให้ป้าส้มลำบากใจ จึงปล่อยเธอไป
หลังจากป้าส้มไปแล้ว วารุณีนอนขดตัวอยู่บนโซฟา จมอยู่ในโลกของตัวเองอย่างเงียบๆ
นึกถึงสิ่งที่นัทธีพูดกับเธอว่าคุณแม่ของเธอขับรถชนคุณพ่อคุณแม่ของเขาตาย
นึกถึงสิ่งที่นัทธีพูดว่ารู้สึกเสียใจที่หลงรักเธอและรู้สึกเสียใจที่แต่งงานกับเธอ
ความคิดทั้งสองนี้ ทำให้เธอทรมานเหมือนใจจะขาดแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
คืนนี้ วารุณีก็นอนไม่หลับอีกแล้ว เพราะแค่หลับตา ในหัวของเธอก็เต็มไปด้วยเรื่องพวกนี้ ทำให้นอนไม่หลับ
วันต่อมา หลังจากเธอไปส่งลูกๆทั้งสองไปโรงเรียนอนุบาลแล้ว ก็ไปบริษัท
ปาจรีย์ผลักประตูห้องทำงานของเธออย่างตื่นเต้น ในมือถือนิตยสารไฮเอนด์เล่มหนึ่ง “วารุณี นิตยสารเอนิวออกมาแล้ว รีบมาดูเร็ว”
วารุณีฝืนยิ้มแล้วตอบกลับ จากนั้นในวินาทีถัดมา ก็ตาเหลือก และล้มลงบนโต๊ะทำงานโดยไม่รู้ตัว
“วารุณี ?” ปาจรีย์ตกใจ ทิ้งนิตยสารในมือ รีบไปดูอาการของวารุณี
เห็นวารุณีเป็นลมไป จึงตะโกนขึ้นด้วยความร้อนใจ “ใครก็ได้มานี่หน่อย เรียกรถพยาบาลเร็ว”
วารุณีถูกส่งขึ้นรถพยาบาลอย่างรวดเร็ว
ปาจรีย์ขึ้นรถพยาบาลไปดูแลด้วย
สิ่งที่บังเอิญคือ รถพยาบาลที่ปาจรีย์เรียกมา เป็นของโรงพยาบาลที่วารุณีไปตรวจ DNA เมื่อวานนี้
วารุณีถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน ปาจรีย์ยืนอยู่ด้านนอกห้องฉุกเฉิน เดินไปเดินมาด้วยความเป็นห่วง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ในที่สุดห้องฉุกเฉินก็เปิดออก
หมอท่านหนึ่งเดินออกมา ปาจรีย์รีบหยุดเขาไว้ “คุณหมอค่ะ เพื่อนของดิฉันเป็นอย่างไรบ้างค่ะ?”
“เธอไม่เป็นอะไรแล้วครับ แค่ช่วงนี้พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียด และขาดสารอาหารครับ ก็เลยเป็นลมล้มไป โชคดีที่ลูกในท้องไม่เป็นอะไร แต่ว่าต่อไปต้องระมัดระวังหน่อยนะครับ” หมอดึงหน้ากากลงแล้วพูด
ปาจรีย์ตกตะลึง อ้าปากเหวอ เป็นเวลานานกว่าจะเอ่ยขึ้น “เมื่อกี้คุณหมอพูดว่าอะไรนะคะ คุณหมอบอกว่าลูกในท้องของเพื่อนดิฉัน เพื่อนของดิฉัน เธอ……ท้องเหรอค่ะ?”
“ ใช่ครับ ตั้งครรภ์ได้เดือนครึ่งแล้วครับ” หมอพยักหน้า หลังจากนั้น เดินหันหลังจากไปโดยไม่ได้สนใจปาจรีย์ที่ยังคงเหม่อ
ปาจรีย์กระพริบตา มองไปที่ห้องฉุกเฉิน และมองไปทางคุณหมอที่เดินจากไป ในที่สุดก็ยอมรับเรื่องที่วารุณีท้องนั้นเป็นเรื่องจริง ปาจรีย์ยิ้มเจื่อนใบหน้าเหยเก “ทำไมมาท้องเอาตอนนี้นะ?”
อันที่จริงแล้ว วารุณีท้อง เธอควรดีใจถึงจะถูก
แต่วารุณีตั้งท้องผิดเวลา มาตั้งท้องตอนที่ประธานนัทธีมีท่าทีเปลี่ยนไปมากกับวารุณี ถ้าหากทั้งสองคนสุดท้ายแล้วไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วจะทำยังไงกับลูก?
ปวดหัว!
ปาจรีย์เขกหัวตัวเอง จากนั้นก็เห็นวารุณีถูกดันออกมาจากห้องฉุกเฉิน
ปาจรีย์เดินตามไปห้องพักผู้ป่วยด้วย เพื่อดูแลวารุณี
เมื่อวารุณีรู้สึกตัวตื่นขึ้น ก็เป็นเวลาบ่าย 2 โมงแล้ว
วารุณียันตัวขึ้นนั่ง “ปาจรีย์”
“ในที่สุดเธอก็ฟื้นแล้ว จู่ๆเธอก็เป็นลมล้มไป ฉันตกอกตกใจหมดเลย” ปาจรีย์ยืนขึ้น เดินเข้ามาหยิบหมอนหนุนที่ด้านหลังให้วารุณี “ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม?”
“ไม่แล้วจ๊ะ แค่รู้สึกเพลียๆน่ะ” วารุณีส่ายหัวไปมา “ยังรู้สึกมึนหัวนิดหน่อย เออ….จริงสิ ตกลงฉันเป็นอะไรเหรอ? ”
“เธอพักผ่อนไม่เพียงพอ เครียด และขาดสารอาหารน่ะ” ปาจรีย์เบ้ปากตอบ
วารุณีพยักหน้า บ่งบอกว่ารู้แล้ว และไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
เพราะเธอรู้ดีว่าตัวเองพักผ่อนไม่เพียงพอ กินข้าวไม่ค่อยได้ แล้วจะไม่ขาดสารอาหารได้ยังไงล่ะ?
แต่คำพูดต่อมาของปาจรีย์กลับทำให้วารุณีตะลึงมากที่สุด
“วารุณี นอกจากเรื่องนี้แล้ว เธอยังมีปัญหาใหญ่อยู่อีกเรื่องนะ เธอท้อง” ปาจรีย์ชี้ไปที่ท้องของเธอ
ม่านตาของวารุณีหดตัวเล็กลง ลูบท้องโดยไม่รู้ตัว “ฉัน…… ฉันท้องเหรอ?”
“ใช่จ๊ะ เธอท้องได้เดือนครึ่งแล้ว” ปาจรีย์พยักหน้า
วารุณีก้มหน้ามองไปที่ท้องของเธอ ความรู้สึกผสมปนเปไปหมด ทั้งรู้สึกมีความสุข รู้สึกตื่นเต้น และรู้สึกสับสนไม่รู้จะทำยังไงต่อ
ปาจรีย์มองไปที่เธอ แล้วรินน้ำให้เธอ “พอได้แล้ว ไม่ต้องมองแล้ว เด็กไม่เป็นอะไร ยังอยู่ดี ดื่มน้ำสักหน่อยสิ ฉันเพิ่งโทรสั่งซุปไก่ให้เธอ เดี๋ยวก็คงมาส่งแล้วแหละ”
“ขอบคุณนะ” วารุณีรับน้ำมาด้วยความรู้สึกตื้นตัน
ปาจรีย์ยิ้ม “จะขอบคุณทำไม ฉันเป็นเพื่อนเธอนะ แต่ว่าเธอจะทำยังไงกับลูกเหรอ?”
“จะทำอะไรยังไงเหรอ?”
“เธอแกล้งไม่รู้เหรอ ฉันถามเธอว่า เธอจะคลอดลูกคนนี้หรือว่าจะ……”
เธอไม่ได้พูดประโยคหลังจากนั้น
แต่วารุณีเข้าใจความหมายนั้น
ปาจรีย์ถามเธอว่า จะเอาเด็กออกไหม
ความรู้สึกมีความสุขในใจของวารุณีที่รู้ว่าตั้งท้อง อยู่ๆก็หายไป แล้วค่อยๆแทนที่ด้วยความกลัวและความไม่สบายใจ
ปาจรีย์เห็นสีหน้าของวารุณีซีดเซียวขึ้นเรื่อยๆ จึงลุกขึ้นอย่างร้อนใจ “วารุณี เธอเป็นอะไรไป?”
“ปาจรีย์ เธอบอกฉันหน่อยสิ ว่าฉันควรจะทำยังไงดี?” วารุณีกัดริมฝีปากล่าง เสียงสะอื้นดังขึ้น
ปาจรีย์งงเป็นไก่ตาแตก “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น?”
วารุณีเล่าเรื่องที่โต้เถียงกับนัทธีเมื่อคืนให้ฟัง
หลังจากที่ปาจรีย์ฟังจบ ก็อ้าปากกว้าง “ดังนั้น ประธานนัทธีคิดว่าคุณป้าขับรถชนคุณพ่อคุณแม่ของเขาตาย และเขายังมีหลักฐานอยู่ในมือด้วยงั้นเหรอ?”
“อืม” วารุณีพยักหน้า
ปาจรีย์ถอนหายใจเล็กน้อย “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ แล้วคุณป้าได้ขับรถชนไหม? ”
“ไม่ได้ชนแน่ๆ แต่ฉันแค่ไม่มีหลักฐาน” วารุณีส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวด
ปาจรีย์ลูบที่แก้มเบาๆ พูดตัดพ้อ “เธอว่าพวกเราสองคนไปทำอะไรให้พระเจ้าองค์ใดขุ่นเคืองไว้ ทำไมถึงได้มีเรื่องคับข้องใจกับพ่อแม่ของคนที่เรารัก? ”
วารุณีไม่มีอะไรจะพูด
ปาจรีย์ถอนหายใจ เอ่ยขึ้น “ดังนั้น ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าเธอจะเก็บเด็กคนนี้ไว้ดีไหม ใช่ไหม? ”
วารุณีสายตาลนลาน ยอมรับ
“มันก็ใช่ ประธานนัทธีปักใจเชื่อไปแล้วว่าคุณป้าเป็นคนขับรถชนพ่อแม่ของเขาตาย และยังพูดอีกว่ารู้สึกเสียใจที่มาหลงรักเธอ เสียใจที่แต่งงานกับเธอ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าคิดจะเลิกกับเธอ และยัง … ”
ปาจรีย์มองไปที่วารุณี “ถ้าหากคุณป้าเป็นคนทำจริงๆ ประธานนัทธีต้องเลิกกับเธอแน่ๆ เขาไม่ยอมรับเธอหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งไม่ยอมรับเด็กในท้องของเธอ ท้ายที่สุดแล้ว คงไม่มีใครทำใจยอมรับลูกสาวของศัตรูตัวเองโดยไม่รู้สึกคลางแคลงใจได้หรอก ”
พงศกรคนหนึ่งที่ทำไม่ได้
นัทธีเองก็คงทำไม่ได้เหมือนกัน
ไม่ใช่ว่าวารุณีไม่รู้ว่าสิ่งที่ปาจรีย์พูดนั้นเป็นความจริง
ก็เพราะว่ารู้ ถึงได้ปวดใจมากมายเหลือเกิน
ถ้าหากเธอเก็บลูกไว้ พ่อของลูกก็ไม่ยอมรับ ก็ไม่ต่างกับลูกไม่มีพ่อ
แต่ถ้าเธอไม่เก็บไว้……
วารุณีกำเสื้อผ้าตรงหน้าท้องไว้แน่น ไม่กล้าคิดต่อ แค่คิดก็เจ็บปวดใจเหลือเกิน
เพราะว่า เธอทำไม่ลง!