นัทธีเม้มริมฝีปากพร้อมกับมองไปที่วารุณี แววตานั้นเป็นแววตาที่วารุณีเองก็ดูไม่เข้าใจนัก
หล่อนเห็นด้วยจริงๆกับการให้เด็กทั้งสองคนเปลี่ยนการเรียกชื่อกลับไป
หล่อนหมายความว่ายังไงกันแน่?
“นัทธี” หล่อนถอนหายใจพร้อมกับเดินไปนั่งตรงข้ามเขา “ฉันขอโทษด้วยจริงที่ปาจรีย์เข้าไปก่อกวนที่บริษัท เธอไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร เธอเพียงแค่เป็นห่วงฉันก็เท่านั้นเอง”
“แล้วไงล่ะ?” ดวงตาของนัทธียังคงเย็นชา
วารุณีกัดริมฝีปาก “แล้วฉันก็จะมาขอโทษแทนเธอน่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก” นัทธีตบเข้าไปที่เสื้อสูทของเขาจากนั้นลุกขึ้นยืน
ในเวลานี้ก็เป็นเวลาที่ป้าส้มนั้นถือถุงลงมาจากชั้นบนพอดี “คุณคะ ของที่คุณต้องการค่ะ”
นัทธีเอื้อมมือไปรับของมาจากนั้นยกเท้าเดินออกจากโซฟา
เมื่อวารุณีเห็นเหตุการณ์นี้จึงรีบลุกขึ้นมา “นายจะไปแล้วเหรอ?”
“ฉันได้ของมาแล้วนี่” นัทธีพูดโดยเม้มปากเอาไว้
ความหมายก็คือถ้าไม่ออกไปแล้วจะอยู่ทำอะไรกัน
วารุณีใช้เล็บหยิกเข้าไปในฝ่ามือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “ตอนนี้นายไม่อยากจะอยู่กับฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
นัทธีลดเปลือกตาลง เขาไม่ได้พูดอะไรพร้อมกับก้าวเดินต่อไป
“รอก่อน” วารุณีหลับตาพร้อมกับเรียกเขาให้หยุด “ฉันรู้ถึงเหตุผลว่าทำไมนายถึงปฏิบัติตัวกับฉันแบบนี้แล้วนะ เป็นเพราะพ่อกับแม่ของนายล่ะสินะ”
สีหน้าของนัทธีเปลี่ยนไปเล็กน้อยพร้อมกับหันหลังกลับมาในทันที
เมื่อวารุณีเห็นปฏิกิริยาของนัทธี หล่อนก็รู้ได้เลยว่าสิ่งที่ตนกับปาจรีย์นั้นเดาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
“ที่แท้ก็จริงสินะ ผู้ช่วยมารุตได้เผยถึงเหตุผลที่นายปฏิบัติกับฉันแบบนี้ ซึ่งนั่นก็คือแม่ของฉันที่ทำให้มันเกิดขึ้น ดังนั้นฉันก็เลยสงสัยว่าแม่ฉันไปทำอะไรไม่ดีไว้กับคนของตระกูลไชยรัตน์รึเปล่า ฉันก็เลยไปถามศรัณย์มาและพบว่าทุกวันที่เก้าเดือนตุลาคม แม่จะมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป”
เมื่อได้ยินคำว่าวันที่เก้าเดือนตุลาคม นัทธีก็ได้จับถุงในมือแน่นขึ้น
เมื่อวารุณีเห็นเช่นนั้น ดวงตาก็มีแสงวาบเข้ามาพร้อมกับพูดอีกว่า “วันที่เก้าเดือนตุลาคมเป็นวันที่พ่อแม่ของนายเสียชีวิตและแม่ของฉันก็เริ่มทำตัวแปลกไปในวันนั้นเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว ดังนั้นจึงมีความเกี่ยวข้องกันระหว่างสองคนนี้ จุดเชื่อมโยงที่ใหญ่ที่สุดก็คือการเสียชีวิตของพ่อแม่นายนั้นเกี่ยวข้องกับแม่ฉันบวกกับความจริงที่ว่านายปฏิบัติกับฉันแบบนี้อีก…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ วารุณีก็ได้มองไปที่ชายที่อยู่ตรงข้ามด้วยดวงตาที่สั่นเทา “ฉันสงสัยว่าแม่ฉันจะไปฆ่าพ่อแม่ของนาย”
หากมันแค่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เขาคงไม่ปฏิบัติกับหล่อนเกินไปขนาดนี้
ดังนั้น หล่อนจึงคิดว่าความเป็นไปได้ที่มากที่สุดก็คือสิ่งนี้
เพียงแต่แค่ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเขานั้นเป็นอะไรตาย ในอินเตอร์เน็ตก็ไม่ได้พูดแน่ชัดบอกแค่ว่าเมื่อวันที่เก้าตุลาคม คุณหญิงและคุณชายของบริษัทไชยรัตน์กรุ๊ปนั้นถึงแก่กรรม
ใบหน้าของนัทธีนั้นดูเย็นชาและน่ากลัวเป็นอย่างมาก “ไหนๆหล่อนก็เดาออกแล้ว งั้นฉันจะบอกให้ว่าแม่ของหล่อนนั่นแหละที่เป็นคนขับรถชนพ่อแม่ของฉัน”
“เป็นไปไม่ได้!” วารุณีโต้กลับไปโดยไม่ทันได้รู้ตัวพร้อมกับส่ายหัวอย่างแรง “แม่ฉันไม่มีทางขับรถชนพ่อแม่นายแน่ๆ เธอไม่ใช่คนแบบนั้น”
“เป็นไปไม่ได้?” นัทธีก้าวขึ้นไปข้างหน้าสองก้าวพร้อมกับใช้มือบีบไปที่คางของหล่อนแน่น
หล่อนกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ใบหน้าเล็กนั้นถูกบีบเสียจนเกิดรอยย่น
นัทธีเมื่อเห็นเช่นนั้น แววตาของเขาก็แฝงถึงการทนไม่ได้อีกต่อไปจึงได้ปล่อยมือลง
“ถ้าหากว่าเป็นไปไม่ได้ งั้นหล่อนบอกฉันหน่อยสิว่าทำไมแม่ของหล่อนต้องดูผิดปกติไปในวันที่เก้าเดือนตุลาคมด้วย?”
“ฉัน…” วารุณีสำลัก ไร้ซึ่งการตอบกลับใดๆ
นั่นสิ หากแม่ไม่ใช่คนที่ชน
แล้วทำไมแม่ถึงต้องอารมณ์ไม่ดีด้วยล่ะ ทำไมเมื่อเก้าปีที่แล้วถึงได้เมามายกลับมาพูดขอโทษๆหลังจากกลับมาจากไปหาคุณปู่บรรพตด้วยล่ะ?
เมื่อเห็นใบหน้าของวารุณีที่ดูซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆและดวงตาที่ดูสั่นคลอน นั่นทำให้นัทธีได้แต่กำหมัดแน่น “ดูสิ แม้แต่หล่อนเองก็ยังหักล้างมันไม่ได้เลย”
“แต่…แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าแม่ฉันเป็นคนชนสักหน่อย” วารุณีตอบเรียบๆไร้ซึ่งความมั่นใจใดใด
นัทธีกัดฟันพร้อมกับคำรามออกมาเสียงดัง “เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว หล่อนยังหลอกตัวเองอยู่ได้”
“ฉัน..” วารุณีที่โดนนัทธีคำรามใสได้แต่ตัวสั่นเทาและน้ำตาก็ค่อยๆไหลรินออกมา
หล่อนไม่ได้หลอกตัวเองเสียหน่อย
แม้ว่าท่าทางแปลกๆของแม่จะบอกได้อย่างแน่ชัดว่ามีความเกี่ยวข้องกันกับการตายของพ่อแม่ของเขา
แต่มันไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นแม่ของหล่อนที่เป็นคนฆ่านี่ บางทีอาจจะมีเหตุผลอื่นๆอยู่ก็เป็นได้
“วารุณี รู้ไหมว่าการที่ฉันเสียใจแค่ไหนที่ต้องเป็นคนออกไปก่อน?” นัทธีจ้องมาที่หล่อน
ริมฝีปากของวารุณีขยับ มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ
นัทธีหลับตาลงและเมื่อลืมตาขึ้นก็ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆอยู่ในดวงตาคู่นั้น “ฉันเสียใจที่มารักหล่อน เสียใจมากขึ้นไปอีกที่ต้องมาแต่งงานกับหล่อนเพราะว่าหล่อนคือลูกสาวของฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ฉัน!”
ใบหน้าของวารุณีซีดเผือดขึ้นในทันที ในสมองเกิดเสียงตุ้บๆๆดังขึ้นมา รู้สึกได้ว่าโลกทั้งโลกพังทลายลง
เขาเสียใจมารักหล่อน เขาเสียใจที่มาแต่งงานกับหล่อน
เพราะว่าหล่อนคือลูกสาวของฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของเขา
น้ำตาของวารุณีไหลลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน “ไม่ใช่นะนัทธี แม่ของฉันไม่มีทางทำแบบนั้น ฉันกำลังสืบอยู่ หลังจากรอความจริง ทุกอย่าง…”
“ไม่ต้องไปสืบหรอกเพราะว่าวิดีโอที่แม่หล่อนชนพ่อแม่ฉันมันอยู่ในมือของฉันแล้ว” นัทธีพูดออกมาคำต่อคำ
อีกทั้งคำพูดนี้ได้พาวารุณีลงไปสู่นรกได้สำเร็จ
ขาทั้งสองข้างของหล่อนอ่อนลงพร้อมกับนั่งลงกับพื้น สมองนั้นว่างเปล่า มีเพียงคำพูดของเขาวนเวียนอยู่ในหัว
ในมือของเขานั้นมีวิดีโอที่แม่ของหล่อนขับรถชนพ่อแม่เขาด้วย
งั้นแปลว่า…
วารุณียกมือทั้งสองข้างขึ้นมาจับที่ผมแน่น “ไม่ ไม่…”
“เมื่อสิบแปดปีก่อน พ่อกับแม่ของฉันออกไปข้างนอกและโดนแม่ของหล่อนขับรถชนจนกระเด็นออกไป ตอนนั้นแม่ของหล่อนขับรถสีแดง จำได้ไหมล่ะ?” นัทธีมายืนอยู่ที่ด้านหน้าของหล่อนพร้อมกับมองลงไปจากนั้นก็รู้สึกว่าคำถามของเขานั้นตลกสิ้นดี
ในตอนนั้นหล่อนเองก็อยู่ในรถด้วย
จะจำไม่ได้ได้ยังไงกันล่ะ?
อย่างไรก็ตามวารุณีส่ายหัว “รถสีแดง?เป็นไปไม่ได้ แม่ของฉันไม่เคยมีรถสีแดงสักหน่อย เธอเกลียดสีแดงเป็นที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่จะขับรถสีแดง”
ในความทรงจำของหล่อน หล่อนไม่เคยเห็นแม่ใช้ของที่เป็นสีแดงเลยสักชิ้น
เมื่อนัทธีได้ยินคำพูดของวารุณี สีหน้าของเขาก็ดูหน้าเกลียดเป็นอย่างมาก ดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เรื่องมาถึงนี่แล้วยังจะโกหกอีกเหรอ”
อะไรคือการมาพูดว่าเกลียดสีแดง อะไรคือการมาบอกว่าไม่มีรถสีแดงกัน
หล่อนในตอนนั้นไม่ได้ขึ้นรถสีแดงไปกับแม่ของหล่อนรึไง?
“ฉันไม่ได้โกหก” วารุณีเงยหน้ามองไปที่ชายคนนั้น “นัทธี ฉันไม่ได้โกหกจริงๆนะ แม่ฉันไม่มีรถสีแดงจริงๆ เชื่อฉันสิ ฉันไม่โกหกนายหรอก”
หล่อนเอื้อมมือออกไปเพื่อที่จะจับขากางเกงของนัทธี
แต่นัทธีกลับถอยออกมาก้าวหนึ่งและหลบหลีก
และการกระทำของเขานั้นทำให้วารุณีรู้สึกเจ็บปวดใจ
เขาไม่เพียงไม่เชื่อหล่อน
ตอนนี้ยังมาหลบเลี่ยงหล่อนราวกับหล่อนเป็นงูแมงป่องอย่างไงอย่างงั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใจของวารุณีก็รูสึกเจ็บปวดรวดร้าวราวกับมีเข็มมาทิ่มแทง เจ็บปวดจนลมหายใจของหล่อนถี่ขึ้นเรื่อยๆ
“ฉันเห็นภาพนั้นด้วยตัวเอง หล่อนพูดสิ่งนี้ออกมาแล้วคิดว่าฉันจะเชื่อหรือไงกัน?วารุณี เพื่อที่จะปกป้องแม่ของหล่อนแม้แต่ศีลธรรมในตัวเองก็ยังไม่มีเอาซะเลย” เมื่อนัทธีพูดเหน็บแนมเสร็จ เขาก็หันหลังเดินจากไปไม่แลตามองมาที่หล่อนอีกเลย
“นัทธี!” วารุณีมองไปที่ด้านหลังของเขาพร้อมกับรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้องการที่จะหยุดเขาไว้ไม่ให้เขาจากไป
มีเสียงในใจบอกหล่อน
เมื่อเขาเดินออกจากประตูนี้ไป บางทีระหว่างพวกเขานั้นคงจบลงจริงๆ
ดังนั้นหล่อนไม่อาจให้เขาไปได้
แต่ไม่ว่าวารุณีจะหยุดยังไงก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของนัทธีได้
นัทธีขับรถออกจากวิลล่าไป
วารุณีทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับมองไปทางที่เขาจากไปด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง
เวลานี้ ป้าส้มก็ออกมา “คุณหญิง ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?”
บทสนทนาระหว่างคุณผู้ชายกับคุณหญิงนั้นเธอเองก็ได้ยินหมดแล้ว
เดิมทีเธอคิดว่าการที่คุณชายปฏิบัติตัวไม่ดีต่อคุณหญิงนั้นเป็นเพราะว่าคุณหญิงอาจไปทำอะไรผิดไว้ เธอไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องของคุณชายรองและภรรยามาเกี่ยวข้องด้วย
วารุณีไม่ตอบอะไร ได้แต่มองไปยังทางที่นัทธีเดินจากไป
ป้าส้มนั้นกังวลว่าหล่อนจะป่วยจากการนั่งพื้นนานเกินไปจึงได้ก้มตัวไปพยุงหล่อนขึ้นมา
ในวินาทีที่วารุณีกำลังจะลุกขึ้น หัวของหล่อนก็ปวดแปล๊บขึ้นในทันใด มีภาพหลายภาพแวบเข้ามาอย่างรวดเร็วแต่ภาพนั้นผ่านไปไวเกินไปจนหล่อนเองก็มองได้ไม่ชัดเจนนัก
ภาพนั้นคืออะไรกันแน่?