นัทธีไม่บอกที่อยู่กับเธอที่เป็นภรรยา แต่กลับบอกนวิยา
มิน่าล่ะ เธอกลับถึงคฤหาสน์ถึงไม่เห็นนวิยา ที่แท้มาอยู่ที่นี่
นวิยาก็นึกไม่ถึงว่าคนที่อยู่หน้าประตูจะเป็นวารุณี ผงะไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะ “ที่แท้ก็คุณวารุณี คุณมาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าค่ะ?”
เธอถามด้วยโทนเสียงเหมือนกับนายหญิง
วารุณีหยิกฝ่ามือ
เธอมาที่นี่เพื่อจะบอกนัทธีว่าจับฆาตกรผิดตัว
แต่เมื่อเห็นแบบนี้ ก็คงไม่จำเป็นแล้ว
วารุณีไม่ตอบ หลับตาลง ปกปิดความเจ็บปวดในดวงตา หันหลังจากไป
นวิยาเห็นเธอเดินจากไปดื้อๆแบบนี้ ก็ไม่ได้รั้งไว้ ยิ้มอย่างสะใจแล้วปิดประตู
พิชิตเดินถือแก้วไวน์มาที่ทางเข้า “นวิยา คุณคุยกับใครน่ะ นานขนาดนี้ยังไม่เข้ามาอีก?”
“นิติกรน่ะ”นวิยาตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ควงแขนเขา “นัทธียังไม่กลับมาอีกเหรอ?”
“ยังเลย เพิ่งจะออกมาจากบริษัทหลังจากประชุมเสร็จน่ะ บอกให้พวกเรารอเขาที่นี่ก่อน”
“รับทราบค่ะ” นวิยาพยักหน้า ไม่ถามอะไรอีก
อีกด้านหนึ่ง วารุณีกลับมาที่รถ แล้วคว่ำหน้าลงบนพวงมาลัยรถด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ หลับตาลงเล็กน้อย
เธอมาเขาด้วยความดีใจ เพื่อที่จะบอกนัทธีเรื่องจับฆาตรกรผิดตัว เข้าใจว่าแบบนี้จะทำให้เธอและเขาได้ปรึกษาหารือเรื่องหาฆาตกรตัวจริง ทำให้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
แต่นึกไม่ถึงเลยว่ามันน่าจะขันเช่นนี้ เธอมาที่นี่ ไม่เจอเขา แต่กลับเจอนวิยา และนวิยายังทำท่าทีเหมือนนายหญิง
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ตั้งแต่นัทธีมีท่าทีเย็นชากับเธอ เขาก็เริ่มสนิทกับนวิยามากขึ้น เหมือนกับตอนที่พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกัน
เขาคิดอะไรของเขานะ?
วารุณีไม่รู้ และก็คิดไม่ออก หลังจากบีบดั้งจมูกเบาๆ ก็ขับรถจากไป
ทันทีที่เธอขับรถออกไป รถมายบัคหรูสีดำก็ขับเข้ามา
มารุตมองไปข้างหน้าอย่างสงสัย “ท่านประธานครับ ผมว่าเมื่อกี้ผมเห็นรถของคุณผู้หญิงนะครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายที่หลับตาอยู่เบาะหลังก็ลืมตาขึ้นมองไปข้างหน้า แต่เขากลับไม่เห็นอะไร แววตาของเขาไม่อาจบอกได้ว่ามันคือความผิดหวังหรืออะไร
“พรุ่งนี้มารับฉันตอนแปดโมงเช้านะ” นัทธีพูดทิ้งท้าย แล้วเปิดประตูลงจากรถ เดินเข้าไปในตึก
กลับมาถึงที่พัก พิชิตเป็นคนเปิดประตู
นัทธีนึกถึงสิ่งที่มารุตเพิ่งพูด แล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “วารุณีมาที่นี่เหรอ?”
“ไม่ได้มานะ” พิชิตถามกลับโดยไม่รู้ตัว “ทำไมนายถึงคิดว่าเธอมาที่ล่ะ?”
นัทธีไม่พูดอะไร เดินตรงไปที่ห้องนั่งเล่น
นวิยาเห็นเขา รีบลุกขึ้นด้วยความดีใจ “นัทธี นายกลับมาแล้ว”
นัทธีส่งเสียงอืม
นวิยารินน้ำให้เขา กระตือรือร้นมาก
พิชิตยืนอยู่ด้านหลังมองซีนนี้ ดวงตาด้านหลังแว่นตาหม่นหมอง
นวิยายังรักนัทธีอยู่
ทุกครั้งที่พวกเขาสามคนอยู่ด้วยกัน เธอจะไม่สนใจเขาที่เป็นแฟนของเธอเลย
เขายังสงสัยอยู่ว่าเธออยู่กับเขาเพราะอะไรกันแน่
พิชิตหลับตาลง แล้วเดินไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าตุ๊กตาที่น่ารักอีกครั้ง “จริงสิ นัทธี นายเรียกพวกเรามาที่นี่ทำไมเหรอ?”
นัทธีหยิกหัวคิ้ว “ฉันเรียกพวกเธอมา เพื่อจะคุยเรื่องงานฉลองที่นวิยาหายป่วย”
“งานฉลองหายป่วย ไม่ใช่คุณปู่บุญชัยจะเป็นคนจัดการหรอกเหรอ?” พิชิตสงสัย
นัทธีพยักหน้า “เมื่อหลายวันก่อน จู่ๆคุณปู่บุญชัยก็ stroke เข้าโรงพยาบาล เลยจัดการเรื่องนี้ไม่ได้”
“อะไรน่ะ คุณปู่บุญชัย เข้าโรงพยาบาลเหรอ?” นวิยายืนขึ้นด้วยความตกใจ
นัทธีขมวดคิ้ว “เธอไม่รู้เหรอ?”
นวิยากระพริบตาเล็กน้อย ฝืนยิ้มออกมา “คุณปู่บุญชัยไม่ได้บอกฉัน น่าจะกลัวว่าฉันจะเป็นห่วง เพราะว่าฉันเองก็สุขภาพไม่ดี”
นั่นก็จริง
นัทธีไม่ได้สงสัยอะไร ละสายตาจากเธอ “ตอนนี้คุณปู่บุญชัยจัดงานไม่ได้ นายเป็นแฟนของนวิยา งั้นนายจัดการไปก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะคอยช่วยอยู่ข้างๆ”
“โอเค” พิชิตพยักหน้ารับ
นวิยาก้มหน้าด้วยความไม่พอใจ
อันที่จริงแล้ว เธอไม่อยากให้พิชิตเป็นคนจัดงาน แต่นัทธีพูดแล้วว่าพิชิตเป็นแฟนของเธอ
ถ้าหากเธอปฏิเสธ แล้วนัทธีกับพิชิตจะคิดยังไง
แต่พิชิตมองนวิยาอยู่ตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เห็นสายตาที่ไม่พอใจของนวิยา เขากำหมัดแน่น ไม่พูดอะไร
จากนั้น พิชิตรับโทรศัพท์ จำเป็นต้องไปผ่าตัดจึงขอตัวกลับก่อน
ก่อนจะกลับ อยากจะพานวิยาไปส่งก่อน แต่นวิยากลับอ้างว่าอยากจะไปซื้อของก่อน จึงปฏิเสธ
พิชิตไม่รู้ว่าเธออยากจะซื้อของหรืออยากจะอยู่กับนัทธีกันแน่ จากไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี
แต่นวิยาไม่ได้รักเขา ก็เลยไม่ได้สนใจเขา
“นัทธี เดี๋ยวคุณไปเดินเล่นข้างนอกเป็นเพื่อนฉันดีไหม?” นวิยามองนัทธีอย่างมีความหวัง
นัทธีขมวดคิ้ว “ฉันยังมีประชุมออนไลน์อีกสองงานประชุม เดี๋ยวฉันให้คนขับรถไปเพื่อนเธอ”
ได้ยินอย่างนั้น นวิยาก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย “ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันไปเองก็ได้”
พูดแล้ว เธอก็ยืนขึ้น
ทันใดนั้น นัทธีก็คิดอะไรได้ เรียกให้เธอหยุด “เดี๋ยวสิ”
นวิยาแอบดีใจ เข้าใจว่าเขาจะเปลี่ยนใจไปเป็นเพื่อนเธอ จึงรีบหันหลังกลับมา
นัทธีสีหน้าเรียบเฉย “ช่วงนี้เธอได้ติดต่อกับนิรุตติ์ใช่ไหม?”
เขาอยากถามมานานแล้ว แต่เพราะมัวแต่คิดว่าจะทำอย่างไรกับวารุณี จึงลืมจนมาถึงตอนนี้
เมื่อนวิยาได้ยินสิ่งที่นัทธีพูด ม่านตาหดเล็กลง ในใจรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย แต่พยายามเก็บอาการไม่ให้แสดงออกบนใบหน้า “ใช่แล้ว นายรู้ได้ยังไง?”
นัทธีไม่ได้บอกเธอว่าเขารู้ได้ยังไง ยกมุมปากถามขึ้น “ทำไมเธอถึงได้ติดต่อเขาล่ะ?”
เขาและเธอโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต แต่เธอกับนิรุตติ์ไม่ใช่
เพราะตั้งแต่เล็กจนโต เธอค่อนข้างจะกลัวนิรุตติ์ ดังนั้น เขาไม่รู้ว่าในเมื่อเธอกลัวนิรุตติ์ แต่ทำไมถึงได้ติดต่อนิรุตติ์
นวิยาโบกมือไปมา ตอบกลับด้วยใบหน้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “เขาเป็นคนติดต่อฉันก่อนนะ ไม่ใช่ฉันติดต่อไปหาเขา”
เรื่องนี้เธอไม่ได้พูดส่งเดช
หลายวันก่อน นิรุตติ์เป็นคนโทรหาเธอก่อนจริงๆ ตอนนั้นเธอเองก็แปลกใจมาก
“เขาพูดอะไรกับเธอเหรอ?” นัทธีจ้องมองนวิยา
นวิยาเสยผมปลอม “ก็ไม่มีอะไรนะ โทรหาฉันเพื่อถามอะไรเกี่ยวกับคุณวารุณีนิดหน่อยนะ”
“วารุณี?” นัทธีสีหน้าบูดบึ้ง
นวิยาส่งเสียงอืม “ดูเหมือนว่าคุณวารุณีจะไม่สนใจเขา ดังนั้น เขาเลยมาหาฉันอ่ะ ถามฉันว่าคุณวารุณีดีขึ้นหรือยัง เพราะว่า พวกเขาตกหน้าผาไปด้วยกันไม่ใช่เหรอ? ดังนั้น ฉันเลยคุยกับเขาแค่สองสามคำ พูดแล้วก็……”
เธอมองไปที่เขา
นัทธีขมวดคิ้วแน่น “อะไร?”
“นัทธี นายไม่รู้สึกเหรอว่าพี่นิรุตติ์ให้ความสนใจกับคุณวารุณีเป็นพิเศษอ่ะ และน้ำเสียงที่ถามตอนนั้นก็ดูเป็นห่วงเป็นใยมาก ไม่ใช่ว่าพี่นิรุตติ์ชอบคุณวารุณีเข้าแล้วนะ” สายตานวิยาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
นัทธีไม่เห็นสายตานั้น สีหน้าไม่ดี แต่ไม่อาจตอบโต้คำพูดของเธอ
ในตอนแรก นิรุตติ์ลักพาตัววารุณี อยากจะตายไปด้วยกันกับวารุณี ครั้งนั้นนิรุตติ์มีเจตนาที่จะฆ่าจริงๆ
แต่ภายหลัง นิรุตติ์กลับปล่อยวารุณีไป และยังติดต่อเขาให้ไปหาวารุณี ซึ่งเห็นได้ชัดว่านิรุตติ์แคร์วารุณี ไม่อยากให้วารุณีตาย
นวิยาเห็นเขาเป็นแบบนี้ เธอกระตุกมุมปากเล็กน้อย หรี่ตาลงพูดขึ้น “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาที่หน้าผากันแน่ พี่นิรุตติ์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แต่หลังจากตกลงมาจากหน้าผาแล้ว ก็เริ่มเป็นห่วงคุณวารุณีขึ้นมา ดังนั้น ระหว่างพวกเขาต้องมีเรื่องอะไรที่พวกเราไม่รู้แน่ๆ”
“พอได้แล้ว!” นัทธีกำหมัดแน่น ขัดจังหวะเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ต้องพูดแล้ว ระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรทั้งนั้น!”