“คุณหมอคะ เขาไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ? วารุณีมองดูผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียง ที่ไม่ขมวดคิ้วเหมือนเดิม ไม่ทรมานแบบนั้นแล้วพลางเอ่ยถาม
คุณหมอปิดกล่องยาของตัวเองลง “ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อให้ยาขวดนี้เสร็จ ไข้ก็จะลดลงแล้ว และให้เขาพักผ่อนให้มาก็พอ ผมเห็นว่าร่างกายของเขาค่อนข้างจะอ่อนแอ ระยะนี้อาจไม่ค่อยได้พักผ่อน บวกกับที่ได้ถูกลมหนาวพัด ดังนั้นถึงได้ไข้ขึ้น”
ไม่ค่อยได้พักผ่อนงั้นเหรอ?
นัยน์ตาของวารุณีกะพริบเล็กน้อย
ที่แท้ ไม่ใช่แค่ตัวเอง เขาเองก็ไม่ได้พักผ่อนเหมือนกัน
มันก็ใช่ ไม่ว่าใครที่เจอเรื่องแบบนี้ ล้วนไม่สามารถนอนหลับอย่างสงบได้
“ฉันทราบแล้ว ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ?” วารุณีเม้มมุมปากเอาไว้อย่างยากลำบาก และส่งคุณหมอจากไป
จากนั้น เธอก็ได้กลับไปที่ห้องนอนอีกครั้ง
เด็กทั้งสองคนกำลังถอดรองเท้าปีนขึ้นไปข้างบน
วารุณีเห็นดังนั้น ก็รีบทำท่าให้เงียบเสียงไว้ “พวกหนูสองคนอย่าดื้อนะ อย่ารบกวนลุงนัทธี ลุงนัทธีไม่สบาย ต้องพักผ่อน”
“รู้แล้วค่ะ พวกเราจะไม่รบกวนลุงนัทธี หนูกับพี่แค่ดูเท่านั้นเอง” ไอริณนั่งอยู่ข้าง ๆ นัทธี จ้องหน้านัทธีพลางเอ่ยตอบ
วารุณียิ้ม “โอเค งั้นพวกหนูดูแล้วอีกหน่อยก็ออกมานะ อย่ารบกวนลุงนัทธีพักผ่อน เดี๋ยวแม่จะไปล้างจานต่อ
“ครับ/ค่ะ” เด็กทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน
วารุณีออกไปที่ห้องครัว
รอจนเธอล้างจานเสร็จ ก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว
ถึงเวลาที่เด็กทั้งสองคนจะต้องนอนแล้ว เมื่อวารุณีเห็นว่าพวกเขายังไม่ออกมาจากห้องนอน จึงเตรียมที่จะไปเรียกพวกเขาออกมาอาบน้ำ
คิดไม่ถึงว่าพอเธอเปิดประตูเข้าไปดู เด็กทั้งสองคนก็ได้นอนหลับอยู่ข้าง ๆ นัทธีไปซะแล้ว นอนหลับได้อย่างสบายมาก
เมื่อเห็นภาพสถานการณ์เช่นนี้ หัวใจของวารุณีแทบจะละลาย
แต่ไม่นาน เธอก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา
ลูกทั้งสองของเธอ ต่างก็ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของนัทที
เธอทอดถอนใจเบา ๆ วารุณีไม่ได้ปลุกเด็กทั้งสองคน และให้พวกเขานอนอยู่ที่นี่
ยังไงซะนัทธีก็ต้องนอนไปจนถึงพรุ่งนี้แน่ เธอเองก็ไม่เป็นกังวลว่าเด็กทั้งสองคนหลับไปแล้วจะรบกวนเขา
ดังนั้นจึงได้ปิดประตูลงเบา ๆ และเดินออกไป แล้วไปนอนที่ห้องของเด็กทั้งสองคน
วันถัดมา ในตอนที่นัทธีตื่นขึ้นมา ก็ได้พบเข้ากับใบหน้าที่น่ารัก
เป็นไอริณนั่นเอง
ไอริณเห็นเขาฟื้นขึ้นมา ก็กระโดดลงไปจากเตียงด้วยความดีใจ และรีบวิ่งออกไปจากห้อง พลางวิ่งพลางตะโกน “หม่ามี๊ ลุ่งนีทธีตื่นแล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินเธอเรียกลุงนัทธี ทันใดนั้นความอ่อนโยนในดวงตาของนัทธีก็สลายไปอย่างสิ้นเชิง
และได้มีความกระวนกระวายเข้ามาแทน
ต่อจากอารัณ ตอนนี้ไอริณก็เรียกเขาว่าคุณลุง
เขา……ได้ทำร้ายพวกเขาสามแม่ลูกจริง ๆ
นัทธีเม้มปาก รอบกายแผ่ซ่านไปด้วยความอดกลั้นหดหู่
“ตื่นแล้วเหรอ?” ทันใดนั้น เสียงของวารุณีก็ได้ดังลอยมาจากด้านหลัง
นัทธีลุกขึ้นนั่ง และหันหน้าไปดู
วารุณีถือแก้วใบหนึ่ง และพาเด็กทั้งสองคนเดินเข้ามา
“ยังเวียนหัวอยู่ไหม?” เธอยื่นแก้วน้ำให้กับนัทธี พลางเอ่ยถาม
นัทธีรับเอาแก้วน้ำมาและสะบัดหัวเบา ๆ น้ำเสียงแหบแห้ง “ยังเวียนหัวอยู่นิดหน่อย”
“ดื่มน้ำหน่อยเถอะ” วารุณีบอก
นัทธีอืมตอบรับ และเงยหน้าขึ้นดื่มน้ำไปสองสามอึก
อุณหภูมิของน้ำกำลังอุ่น ๆ มีรสเค็มเล็กน้อย
นัทธีมองเธอด้วยความสงสัย
วารุณีอธิบาย “หลังจากที่ไข้ขึ้นสูง ร่างกายจะต้องขาดน้ำ ฉันเลยใส่เกลือลงไปในน้ำนิดหน่อย มันมีผลดีต่อคุณ”
นัทธีพยักหน้า เป็นเชิงว่ารู้แล้ว “ขอบคุณนะ”
“ไม่เป็นไร” วารุณีรับเอาแก้วน้ำมา “ตอนเช้า ฉันได้โทรหาผู้ช่วยมารุตแล้ว อีกเดี๋ยวเขาจะมารับคุณ คุณลุกขึ้นมาล้างหน้าทานอาหารเช้าก่อนเถอะ ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วค่อยทานยา”
พูดจบ วารุณีก็ถือแก้วน้ำเดินออกไป
เด็กทั้งสองคนไม่ได้เดินตามเธอออกไป แต่ยืนอยู่ที่ข้างเตียงมองดูเขาอย่างพร้อมเพรียง
นัทธีสบตากับเด็กทั้งสองคน ภายในใจรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เด็กทั้งสองคนเมื่อเห็นเข้า ก็จะกระโจนเข้ามาอย่างกระตือรือร้น ให้เขากอด โดยเฉพาะไอริณ
แต่ตอนนี้ไม่ให้เขากอด หรือแม้แต่คำเรียกก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม
มันทำให้นัทธีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกรันทดใจ
“พวกเธอ……” ลูกกระเดือกของนัทธีขยับเล็กน้อย อยากจะพูดอะไรบางอย่าง
อารัณจับมือไอริณ และชิงพูดก่อน “ลุงนัทธีครับ ลุงรีบลุกขึ้นมาเถอะ อาหารเช้าจะเย็นแล้ว”
พูดจบ เขาก็จูงมือไอริณออกไป
นัทธีมองดูแผ่นหลังของเด็กทั้งสอง แล้วยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง
ตอนนี้ภรรยาของเขาเกรงอกเกรงใจเขา เด็กทั้งสองคนก็ไม่สนิทกับเขาเหมือนเดิม เขาเหมือนกับตัวคนเดียวไม่เหลือใครอีกแล้ว
แต่ทุกอย่างนี้ เกิดขึ้นเพราะตัวเขาเองไม่ใช่เหรอ นัทธีนั่งพิงอยู่บนเตียง เขาหลับตาลง และบีบดั้งจมูกของตัวเอง
ผ่านไปสักระยะ เขาถึงได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววความมุ่งมั่นปรากฏขึ้นมาในดวงตาของเขา
ไม่ว่ายังไง เขาก็จะทำให้วารุณียกโทษให้เขา และพาพวกเขาสามแม่ลูกกลับไปกับเขาให้ได้
นัทธีดึงผ้าห่มออก ใส่รองเท้าแล้วเดินออกไปจากห้องนอน
วารุณีกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร ดูแลเด็กทั้งสองคนทานข้าว เมื่อเห็นเขาเดินออกมา เธอก็ชี้ไปที่ห้องน้ำ “ของที่ใช้ล้างหน้าล้วนอยู่ข้างในแล้ว คุณเข้าไปล้างเถอะ”
นัทธีอืมตอบรับ และเดินเข้าไปในห้องน้ำ
วารุณีไม่ดูเขาอีก เธอดึงสายตากลับคืนมา และเร่งรัดให้เด็กทั้งสองคนทานอาหารต่อ
รอจนนัทธีล้างหน้าเสร็จออกมา เด็กทั้งสองคนก็ได้ทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
วารุณีหยิบกระเป๋านักเรียนของพวกเขาขึ้นมา และให้พวกเขาสะพายเอาไว้บนหลัง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา
ในตอนที่กำลังสงสัยว่าปาจรีย์ทำไมถึงยังไม่มาอยู่นั่นเอง เสียงกระดิ่งก็ได้ดังขึ้น
“แม่บุญธรรมน่าจะมาถึงแล้ว ไปกันเถอะ” วารุณีจูงมือเด็กทั้งสองคนเดินไปที่ประตู
นัทธีลังเลอยู่สักพัก จากนั้นก็เดินตามไป
วารุณีได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา รู้ว่าเขาเดินตามมา เธอเองก็ไม่ได้สนใจ ปล่อยเขาตามสบาย
ประตูถูกเปิดออกปาจรีย์ยืนอยู่ด้านนอก “เฮ้ อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์” วารุณีทักทายกลับด้วยรอยยิ้ม
เด็กทั้งสองคนก็เรียกแม่บุญธรรมอย่างไพเราะ
ปาจรีย์ลูบหัวเด็กทั้งสองคน ตอนนี้ถึงได้เห็นว่าที่ด้านหลังของวารุณีมีใครบางคนยืนอยู่ และอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “ประธานนัทธี?”
นัทธีพยักหน้าเบา ๆ ถือเป็นการตอบรับ
ปาจรีย์มองเขา และหันไปมองวารุณีด้วยความสงสัย “วารุณี เธอคืนดีกับประธานนัทธีแล้วเหรอ?” ” ยัง” วารุณีตอบพลางส่ายหน้า
แววตาของนัทธีหม่นหมองลงไปแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถกเถียง
เพราะยังไง พวกเขาก็ยังไม่ทันได้คืนดีจริง ๆ
“งั้นทำไมพวกเธอ……” ปาจรีย์ชี้ไปที่ทั้งสองคน ยังอยากจะถามอะไรอีก
วารุณีผลักเด็กทั้งสองคนเข้าไปในอ้อมแขนของเธอ “พอแล้วน่า สายแล้ว พวกเขาจะไปโรงเรียนสาย อยู่แล้ว ปาจรีย์ วันนี้ฝากพวกเขาด้วยนะ สาย ๆ หน่อยฉันจะออกไปที่บริษัท”
“โอเค” ปาจรีย์พยักหน้า และจูงมือเด็กทั้งสองคนเดินไปทางลิฟต์
วารุณีปิดประตูลง
ริมฝีปากบาง ๆ ของนัทธีขยับเล็กน้อย พลางเอ่ยถาม “วันนี้คุณมีธุระเหรอ?”
“อืม การแข่งขันระดับนานาชาติกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งสัปดาห์ ฉันต้องไปประชุมที่สมาคม ดังนั้นจึงไม่มีเวลาไปส่งเด็กทั้งสองคน จึงให้ปาจรีย์ไปส่งพวกเขาแทน” วารุณีอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
นัทธีไม่ได้ถามต่อ
วารุณีเดินไปที่หน้าโต๊ะอาหาร และเริ่มเก็บถ้วยจานของเธอและเด็กทั้งสอง “ประธานนัทธี อาหารเช้าของคุณอยู่ตรงนี้ ยังไม่ได้มีใครแตะต้อง คุณทานก่อนเถอะ”
“คุณเรียกผมว่ายังไงนะ?” นัทธีกล่าวด้วยน้ำเสียงฝาด ๆ
วารุณีมองต่ำลงเล็กน้อย และกล่าวซ้ำอีกครั้ง “ประธานนัทธี!”
“ผมเป็นสามีของคุณ” นัทธีเม้มริมฝีปากบาง ๆ และมองเธออย่างไม่พอใจ
เขาเป็นสามีของเธอ แต่เธอกลับใช้คำเรียกที่ดูเหินห่างแบบนี้
วารุณีวางถ้วยจานลง และสบตากับเขาอย่างสงบ “อีกไม่นานก็จะไม่ใช่แล้ว ในห้องที่คฤหาสน์ฉันได้วางใบหย่าฉบับหนึ่งไว้ให้คุณอีกครั้ง ฉันคิดว่าคุณน่าจะเห็นมันแล้ว หรือต่อให้ไม่เห็น ป้าส้มก็น่าจะบอกคุณแล้ว”
“ผมฉีกมันไปแล้ว” นัทธีกล่าวออกมาอย่างเรียบ ๆ
วารุณีขมวดคิ้ว “เพื่ออะไร พวกเราเดินมาจนถึงขั้นนี้ นอกจากหย่ากัน ฉันคิดว่าไม่มีทางอื่นอีกแล้ว”
“ทำไมจะไม่มีล่ะ ผมรู้ว่าการเข้าใจผิดของผมเมื่อก่อนหน้านี้ทำให้คุณเสียใจ มันไม่ผิดที่คุณจะขอหย่า แต่ตอนนี้การเข้าใจผิดได้ถูกคลี่คลายไปแล้ว ทำไมคุณถึงจะหย่าอีกล่ะ?” นัทธีกำหมัดแน่น เขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรกันแน่