นิรุตติ์ตกจากหน้าผามือเท้าขาดแบบนั้นจะทำอะไรได้?
และเขาเชื่อว่าวารุณีก็ไม่ใช่คนแบบนั้น
แต่เรื่องที่นิรุตติ์แคร์วารุณีนั้น นัทธียอมรับว่า เขาเองก็ติดใจเรื่องนี้มาก
นวิยาก้มหน้าไม่พูดจา
ที่เธอพูดแบบนี้ ก็ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น เพียงแค่อยากจะบอกเขาว่าวารุณีและนิรุตติ์อาจจะมีอะไรในกอไผ่
แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อ แต่ก็ต้องรู้สึกรำคาญใจบ้าง
เมื่อถึงตอนนั้น กลัวว่าจะมีความคิดเห็นต่อวารุณีมากกว่านี้แน่
นึกถึงตรงนี้ นวิยากระตุกมุมปาก
นัทธีลูบขมับ “โอเค เธอไปได้แล้ว”
“โอเค” นวิยาพยักหน้า ก้าวเท้าเดินจากไป
นัทธีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เอนหลังพิงโซฟา หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ลืมตาขึ้นหลังจากผ่านไปนาน ลุกขึ้นไปห้องอาบน้ำ
วันต่อมา วารุณีไปที่สถานีตำรวจ
คุณหญิงทารีนารอเธออยู่ที่ด้านหน้าประตูสถานีตำรวจ เมื่อเห็นเธอมา ก็รีบผลักล้อรถวีลแชร์ไปหาเธอ “คุณหญิงวารุณีี”
“เรียกฉัน วารุณีก็ได้ค่ะ” วารุณียิ้ม
คุณหญิงทารีนาได้แค่รับฟังไว้ แต่ไม่ได้เปลี่ยนสรรพนามเรียก
เพราะตอนนี้กำลังขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เขาเกรงใจ เธอไม่อาจปีนเกลียวได้จริงๆ
“คุณหญิงวารุณี ค่ะยื่นเรื่องที่สถานีตำรวจเรียบร้อยแล้วค่ะ อีกสักพักเขาจะจัดรถไปส่งพวกเราที่เรือนจำ” คุณหญิงทารีนาพูด
วารุณีพยักหน้า บ่งบอกว่ารับรู้
จากนั้น ทั้งสองคนเข้าไปในสถานีตำรวจ เซ็นเอกสารเข้าเยี่ยม แล้วขึ้นรถตำรวจ มุ่งหน้าสู่เรือนจำ
ในเวลาเดียวกัน นัทธีก็ได้รับโทรศัพท์จากสถานีตำรวจ เมื่อรู้ว่าวารุณีไปหาทารีนาก็ขมวดคิ้วแน่น
คดีของทารีนาปิดไปแล้ว
ทำไมเธอยังไปหาทารีนาอีก?
และยังไปด้วยกันกับแม่ของทารีนา?
“มารุต” นัทธีวางปากกา เรียกมารุตเข้ามา
มารุตยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา “ท่านประธานมีอะไรจะให้ผมรับใช้เหรอครับ?”
“เตรียมรถ ไปเรือนจำ” นัทธีสั่ง
มารุตประหลาดใจ แล้วพยักหน้า “ครับ”
เขาออกไปแล้ว นัทธีรีบเซ็นสัญญาในมือฉบับนี้ให้เสร็จอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมแล้วออกจากห้องทำงาน
ครึ่งชั่วโมงต่อมาก็ถึงเรือนจำ
ตอนที่นัทธีเดินเข้าไป ก็เห็นวารุณีและคุณหญิงทารีนานั่งคุยอะไรกันบางอย่าง
วารุณียังไม่เห็นเขา คุณหญิงทารีนาเห็นเขาก่อน ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “ประธานนัทธี”
นัทธีก็รู้จักคุณหญิงทารีนา เพราะก่อนทตระกูลไวยนพ จะล้มละลาย ก็มีความร่วมมือกับบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปอยู่บ้าง
ถ้าหากไม่มีเรื่องของทารีนา นัทธีก็คงไม่รังเกียจที่จะตอบกลับอีกฝ่าย
แต่ว่าตอนนี้ เขาทำไม่ได้
ดังนั้น นัทธีจึงทำเหมือนไม่ได้ยิน แล้วมองไปที่วารุณี
วารุณียืนขึ้น “นัทธี คุณมาที่นี่ได้ยังไงค่ะ?”
นัทธีไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “คุณมาเรือนจำเยี่ยมทารีนาเหรอ?”
“อืม” วารุณีพยักหน้า “แต่ว่ายังไม่ถึงเวลาเข้าเยี่ยมน่ะ”
นัทธียกมุมปาก “คุณจะมาเยี่ยมเธอทำไม?”
วารุณีหลับตาลง ไม่ตอบ
เดิมที เมื่อวานเธออยากจะบอกเขา เหตุผลที่เธอมาหาทารีนา แต่นึกถึงเมื่อวานตอนที่เคาะประตูห้องของเขา แล้วเห็นนวิยา เธอก็ไม่อยากจะพูดแล้ว
และอีกอย่างนี่ก็เป็นเรื่องของเธอ ไม่จำเป็นต้องบอกเขา
เห็นวารุณีไม่ตอบ สีหน้าของนัทธียิ่งเย็นชายิ่งเคร่งขรึม
คุณหญิงทารีนามองไปที่เขา แล้วก็มองไปที่วารุณี ก็ตระหนักได้ในทันที ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาคู่นี้ไม่ค่อยจะดี
ประธานนัทธีค่อนข้างเย็นชากับคุณหญิงวารุณี
แต่ว่า นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสามีภรรยา เธอเป็นคนนอกจะถามมากก็ไม่ดี จึงได้แค่ช่วยตอบคำถามที่นัทธีถามวารุณีเมื่อกี้
“ประธานนัทธี คืออย่างนี้ค่ะ เมื่อวาน……”
คุณหญิงทารีนาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอย่างละเอียดที่วารุณีพาลูกชายของตัวเองไปส่ง
ม่านตาของนัทธีหดตัวลง “คุณบอกว่า ลูกสาวคุณไม่ใช่ฆาตกร?”
“ค่ะ” คุณหญิงทารีนาพยักหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ
นัทธีหรี่ตามองวารุณี “เรื่องสำคัญขนาดนี้ ทำไมคุณถึงไม่บอกผม?”
วารุณีรู้สึกขำขันในคำพูดของเขา “เป็นเพราะฉันไม่อยากบอกคุณเหรอ? เป็นเพราะคุณต่างหากที่ไม่ให้โอกาสฉันได้เจอหน้าคุณเลย”
นึกถึงนวิยาเมื่อวานนี้แล้ว เธอก็รู้สึกหงุดหงิดใจ
นัทธีขมวดคิ้วมองไปที่ใบหน้าที่ประชดประชันและโกรธเคืองของเธอ
ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ผู้คุมก็เดินเข้ามา “ถึงเวลาเยี่ยมของหมายเลข 257 แล้ว”
หมายเลข 257 ก็คือ หมายเลขของทารีนา
ในคุกจะไม่เรียกกันด้วยชื่อ จะเรียกด้วยหมายเลขทั้งหมด
คุณหญิงทารีนามองไปที่วารุณี “คุณหญิงวารุณี เข้าเยี่ยมทารีนาได้แล้วค่ะ”
“โอเคค่ะ” วารุณีพยักหน้า เดินตามเข้าไป
คิดไม่ถึงว่าเธอจะเห็นนัทธีเดินตามหลังมา
เธอหันหน้ามองเขา “คุณก็อยากเจอเหรอ?”
นัทธีไม่สนใจเธอ สีหน้าเย็นชา
วารุณีหัวเราะเยาะตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆ
รู้อยู่แก่ใจว่าท่าทีของอีกฝ่ายที่มีต่อตัวเองตอนนี้ ยังจะพยายามเข้าหาเขาทำอะไร?
ก่อนที่สำนักงานนักสืบจะสืบรู้ความจริง เธอก็ไม่ได้คิดว่าท่าทีที่เขามีต่อเธอจะดีขึ้นหรอก
งั้นก็แบบนี้แหละ!
ดังนั้น วารุณีก็ไม่สนใจนัทธีอีก ใบหน้าเล็กๆเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน แต่ตอนนี้ดูแล้วยิ่งกว่าคนแปลกหน้ากันซะอีก
นัทธีรู้ว่าท่าทีที่เขามีต่อเธอมันไม่ถูกต้อง แต่เขาไม่อาจทำใจเรื่องนั้นได้ ดังนั้น จึงไม่สนใจเธอ
ตอนนี้ที่เขาเกลียดเธอก็เพราะวรยา และเขาไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อเธอยังไง
แต่ตอนนี้เห็นท่าทีของวารุณีที่มีต่อเขา เขาเองก็ไม่ค่อยสบายใจนัก
เพราะความขัดแย้งนี้ ทำให้สีหน้าของนัทธียิ่งเคร่งขรึม
ไม่นานก็ถึงห้องเยี่ยม
วารุณีเจอกับทารีนาอีกครั้ง
ทารีนาในเวลานี้ ดูซีดเซียวและซูบผอมลงไปมากเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่วารุณีเห็นเธอ ผมที่เคยยาวก็ถูกตัดจนหมด เหลือความยาวไม่ถึงสองเซนติเมตร ดูไร้ชีวิตชีวา
คุณหญิงทารีนาเอามือปิดปากร้องไห้
ทารีนาเห็นแบบนั้น อยากจะปลอบใจเธอ ขยับปากแล้วแต่กลับไม่มีเสียงออกมา
วารุณีถอนหายใจ หยิบไมค์ขึ้นมา “สวัสดี เธอยังจำฉันได้ไหม?”
เธอถาม
นัทธียืนอยู่ด้านหลังของเธอ หรี่ตาจ้องมองทารีนาที่อยู่ด้านหลังกระจก
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ฆาตกรจริงๆเหรอ?
ทารีนามองไปที่วารุณีด้วยนัยน์ตาล่องลอย แล้วก็หยิบไมค์ขึ้น “จำได้ค่ะ”
น้ำเสียงของเธอแหบแห้งมาก เหมือนกับไม่ได้ดื่มน้ำมานาน
แต่วารุณีรู้ว่าไม่ใช่ แต่เป็นเพราะว่าไม่ได้พูดมานาน ถึงทำให้น้ำเสียงเปลี่ยนไปแบบนี้
“เมื่อวาน ฉันได้ยินจากแม่ของเธอแล้ว เธอรับผิดแทนคนอื่น ใช่ไหม?” วารุณีพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
น้ำตาของทารีนาค่อยๆไหลออกมาทีละหยด “ทำไมเธอถึงได้โกหกฉัน ทำไมถึงได้โกหกฉัน บอกกับฉันว่าจะใช้หนี้แทนครอบครัวของฉัน แต่ทำไมไม่ทำ ฮือ ฮือ ฮือ……”
คิดถึงน้องชายตัวเองที่ถูกรังแก และแม่ที่ถูกข่มขู่อยู่เสมอๆ
เธอรู้สึกเสียใจมาก เสียใจที่ทำไมตัวเองถึงได้หลงเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายอย่างง่ายดายขนาดนั้น
แต่ยิ่งทำให้เธอเกลียด เกลียดคนที่ไม่รักษาคำพูด!
วารุณีเห็นความเกลียดชังในดวงตาของทารีนา ทำให้เธอเชื่อหมดใจว่าเธอบริสุทธิ์ ถูกโยนความผิด
นัทธีก็มองออกเหมือนกัน กำหมัดทั้งสองแน่น เย็นยะเยือกไปทั้งตัวจนดูน่ากลัว
ดีจริงๆ ช่างดีจริงๆ
ฆาตกรคนนั้น กล้าที่จะหลอกเขา
“เขาคือใคร?” วารุณีจ้องมองทารีนา อยากจะรู้เรื่องฆาตกรตัวจริง
ทารีนารู้ว่าแม่ของเธอให้วารุณีมาช่วยเธอ พยายามหยุดร้องไห้ หลังจากปรับอารมณ์แล้ว ตอบว่า “ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ฉันไม่เคยเจอหน้าเธอ แต่เคยได้ยินเสียงเธอ รู้สึกคุ้นหู แต่ฉันคิดไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหนค่ะ”
“คุ้นหู?” วารุณียกมุมปาก “ถ้าเธอรู้สึกว่าคุ้นหู ก็แสดงว่าต้องเป็นคนที่เธอรู้จักแน่ๆ”