ไม่ใช่ กลับไม่ใช่จริงๆ!
เป็นแบบนี้ได้ยังไง
มือที่วารุณีใช้ถือผลตรวจอยู่สั่นไม่หยุด ตัวก็สั่นอย่างแรงเช่นกัน ความไม่น่าเชื่อเขียนเต็มบนใบหน้า
ถึงแม้นัทธีกับอารัณเคยบอกแล้วว่าเขาสองคนไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่ใช่พ่อลูกจริงๆ
แต่ในใจของเธอนั้นเชื่อมั่นว่าเขาสองคนเป็นพ่อลูกจริงๆ มาตลอด เพราะใบหน้าที่เหมือนกันไม่มีผิดของอารัณกับนัทธีนั้นก็คือข้อพิสูจน์ และยังมีกล้องวงจรปิดในตอนนั้นที่อยู่ในมือของเธอ ไม่มีจุดไหนที่บอกว่าคนที่ค้างคืนกับเธอด้วยกันไม่ใช่นัทธี
แต่ผลตรวจตอนนี้กลับทำให้เธอทั้งคนราวกับตกลงไปถ้ำน้ำแข็ง
ตกลงนี่คือเพราะอะไร
วารุณีกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นๆ ตาเริ่มแดงขึ้นมา
นัทธีไม่ใช่พ่อของลูกสองคน แล้วตกลงผู้ชายในคืนนั้นเป็นใครกันแน่ หรือว่าจะเป็นลุงอายุเกือบห้าสิบปีที่พิชญาวางแผนหามาจริงๆ
วินาทีนี้ จิตใจของวารุณีแทบจะแตกสลายไปหมดแล้ว รู้สึกว่าทั้งโลกหมุนฟ้าดินไปรอบ
ตัวของเธอเซไปเซมา รู้สึกตรงหน้ามืดลง ตัวล้มลงไปข้างหน้า
ขณะที่ใกล้ล้มลงไปกับพื้นแล้ว เงาของคนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อคลุมสีขาวเดินเข้ามาอย่างเร็ว จับข้อมือของเธอไว้และดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด
“วารุณี คุณเป็นอะไรไหม”
เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากบนหัว
วารุณีเงยหน้าขึ้นมาและดูไป เห็นเป็นพงศกรก็ตกใจขึ้นมา “พงศกร?”
หรือว่าเธอเห็นผิดหรือเปล่า
“คือผมเอง” พงศกรมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน “วารุณี คุณมาอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้ได้ยังไง ป่วยเหรอ ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลของพิชิตล่ะ”
พูดตามตรงแล้ว เธอคือภรรยาของนัทธี ส่วนพิชิตก็เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของนัทธีด้วย
ถ้าเธอต้องการหาหมอ ควรจะไปพิชิตฝั่งนั้น แต่ไม่ใช่ที่นี่
วารุณีกัดริมฝีปากไว้พร้อมกับส่ายหัว “ฉันไม่อยากไปที่นั่น และฉันก็ไม่ได้ป่วยด้วย ก็แค่มา…”
วารุณีก้มหน้าดูผลตรวจที่อยู่ในมือ หลังจากนั้นไม่พูดต่อแล้ว
พงศกรกะพริบตา “ผมขอดูได้ไหม”
เขาอยากรู้ว่าตกลงเป็นอะไรที่ทำให้อารมณ์ของเธอใหญ่ขนาดนี้
วารุณีตอบอืมคำหนึ่ง ส่งผลตรวจไปให้เขา
หลังจากเขาได้รับมา พอก้มหน้าดูในตาก็แสดงความรู้สึกอึ้งขึ้นมา “ผลตรวจดีเอ็นเอ? กับประธานนัทธี?”
“อืม” วารุณีพยักหน้า “ฉันนึกมาตลอดว่าอารัณกับไอริณก็คือลูกของนัทธี แต่…”
“พวกเขาไม่ใช่” พงศกรพูดต่อจากเธอ “จริงๆ แล้วมีเรื่องหนึ่งผมไม่ได้บอกคุณ อารัณเคยให้ผมทำให้เขากับประธานนัทธีรอบหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ผมที่ออกมาก็เหมือนอันนี้”
คราวก่อนคือเขาจงใจสลับเส้นผมของนัทธี เพราะฉะนั้นผลการตรวจก็คือความสัมพันธ์ของอารัณกับนัทธีไม่ได้เป็นพ่อลูกกัน
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ผลตรวจที่วารุณีไปทำมายังคงไม่ใช่อยู่ดี
สงสัยยังมีคนอื่นไม่อยากให้วารุณีกับนัทธีรู้ว่าอารัณกับไอริณเป็นลูกตริงๆ ของเขาสองคน
แต่ก็คือไม่รู้ว่าคนนี้คือใคร คือนวิยาหรือว่านิรุตติ์
“พงศกร คุณเป็นอะไรเหรอ” เห็นแว่นตาของพงศกรสะท้อนแสง เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ วารุณี ถามอย่างสงสัย
พงศกรดันแว่นตาและยิ้ม “ไม่มีอะไร”
เขาคืนผลตรวจกลับไป “ความเป็นจริงแล้วลูกสองคนเป็นของประธานนัทธีหรือไม่มันสำคัญอะไรเหรอ ประธานนัทธีรักพวกเขาไม่ใช่เหรอ”
มุมปากของวารุณีโค้งขึ้นอย่างเยาะตัวเอง “ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขารักอารัณกับไอริณจริงๆ แต่ตอนนี้…”
“ตอนนี้เป็นยังไงเหรอ” พงศกรถาม สายตาตกไปที่ใบหน้าของวารุณี ทีนี้จึงสังเกตเห็นสีหน้าของเธอทรุดโทรมมาก อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ไหว “วารุณี ช่วงนี้คุณพักผ่อนไม่เพียงพอหรือเปล่า ทำไมผอมขนาดนี้”
วารุณีส่ายหัว “ไม่เป็นไรหรอก ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว ใช่แล้ว พงศกร คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง คุณกลับมาประเทศตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว”
พงศกรยิ้ม “กลับมาเมื่อสองวันก่อน กำลังปรับเวลาอยู่ตลอด วันนี้มารายงานตัวโรงพยาบาลแห่งนี้”
“รายงานตัว?” วารุณีอึ้ง “เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ไปคุณก็คือคุณหมอของโรงพยาบาลแห่งนี้แล้วเหรอ”
“ใช่แล้ว อาจารย์ผมเป็นคนวางแผนจัดการให้ผมเอง” พงศกรพยักหน้า
“แล้วคุณหมอพิชิตฝั่งนั้น…”
รอยยิ้มบนหน้าของพงศกรอ่อนลงมาเล็กน้อย “สัญญาของพิชิตฝั่งนั้นหมดแล้ว สัญญาที่ผมเซ็นเป็นการชั่วคราวมาตลอด ไม่ใช่เป็นของทางการ”
“เป็นแบบนี้นี่เอง” วารุณีเข้าใจขึ้นมาทันที จากนั้นนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ถามอีกว่า “พงศกร จะบอกข่าวที่คุณกลับมาให้ปาจรีย์รู้ไหม”
พงศกรหรี่ตาทีหนึ่ง “ไม่ต้องแล้ว คราวก่อนเธอได้บอกกับผมแล้วว่าจะไม่มาเปลืองความรู้สึกให้กับตัวผมอีก เพราะฉะนั้นไม่ต้องบอกเธอแล้ว”
วารุณีพยักหน้า รู้สึกถูกต้องเหมือนกัน
แม้กระทั่งปาจรีย์เองก็ละทิ้งแล้ว ก็ไม่เหมาะที่จะบอกข่าวพงศกรกลับมาให้เธอรู้
ไม่อย่างนั้นจิตใจที่เธอกว่าจะปรับมาได้ดีคงต้องวุ่นวายอีกแล้ว
พอนึกถึงปาจรีย์ละทิ้งพงศกร วารุณีก็กำผลตรวจในมืออย่างแน่นโดยสัญชาตญาณ
เธอก็ควรทำให้ความรักและการสมรสระหว่างเธอกับนัทธีจบลงแล้วหรือเปล่า
ตอนแรกที่แต่งงานกับเธอ นอกจากที่เธอรักเขาแล้ว เหตุผลที่ใหญ่สุดก็คือลูกสองคน เธอคิดว่าลูกสองคนเป็นของเขา คนเป็นพ่ออย่างเขาควรรับผิดชอบต่อลูกสองคน
แต่ตอนนี้ลูกสองคนไม่ได้เป็นของเขา เธอยังจะให้เขาเลี้ยงดูลูกสองคนต่อไปอย่างหน้าด้านได้อย่างไรอีกล่ะ
วารุณีหัวเราะแห้งทีหนึ่ง ในใจยังคงตัดสินใจไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดสินการตัดสินใจนี้อย่างแน่นอน
เธอกำลังรออยู่ รอผลของนักสืบทางนั้นออกมา เธอถึงจะสามารถตัดสินใจได้ทั้งหมด
พอนึกถึงตรงนี้ วารุณีหายใจเข้าลึกๆ เก็บผลตรวจไว้และเก็บเข้ากระเป๋า “ได้แล้วพงศกร เวลาไม่เช้าแล้ว ฉันไปก่อนนะ คราวหลังมีเวลาเดี๋ยวเราค่อยนัดกันอีกทีนะ”
ขณะที่พูดอยู่เธอเดินไปข้างหน้า
เพิ่งเดินได้สองก้าว จู่ๆ หัวก็เจ็บขึ้นมาอีก ในหัวมีภาพที่เห็นไม่ค่อยชัดโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง
วารุณีเจ็บจนส่งเสียงออกมา บนหน้าก็แสดงความเจ็บปวดขึ้นมา
พงศกรเห็นแล้วรีบประคองเธอไว้ “วารุณี คุณเป็นอะไรแล้ว”
“ฉันรู้สึกปวดหัว และยังมีบางอย่างแปลกๆ โผล่ขึ้นมาด้วย” วารุณีพิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดด้วยเสียงแหบ
พงศกรแตะหน้าผากของเธอดู ไม่ได้ไข้ขึ้น แล้วเจ็บหัวได้ยังไงล่ะ
“มีอะไรโผล่ขึ้นมาเหรอ” พงศกรจับชีพจรให้เธอไปด้วยและถามไปด้วย
ทันใดนั้นเขาจับได้อะไรบางอย่าง รูม่านตาหดเข้าเล็กน้อย “วารุณีคุณตั้งครรภ์แล้ว”
“อืม เดือนกว่าแล้ว” พงศกรจับหน้าท้องของเธอ ตอบอย่างหน้าแดงเล็กน้อย
พงศกรเห็นท่าทางแบบนี้ของเธอ ตามองลงมาด้านล่าง “คุณรู้อยู่แล้วเหรอ”
“รู้เมื่อสองวันก่อน” วารุณีตอบ
พงศกรพยักหน้า “ถ้าคุณรู้แล้ว ผมก็สบายใจแล้ว ถึงแม้ผมจะไม่รู้เรื่องสูตินรีเวชวิทยา แต่ก็พอรู้ความรู้เบื้องต้นบ้างอยู่ สามเดือนแรก คุณต้องระมัดระวังไว้ให้ดีนะ”
วารุณีก้มหน้าลง “ฉันรู้”
เธอยังตัดสินจะให้เด็กไปหรืออยู่ต่อไม่ได้เลย จะไปคิดอะไรพวกนี้ได้ยังไงอีก
“ใช่แล้ว คุณยังไม่ได้บอกเลย เมื่อกี้ในหัวคุณมีอะไรโผล่ขึ้นมาเหรอ” พงศกรมองเธอ
วารุณีนวดขมับพร้อมตอบกลับไปว่า: “เป็นภาพบางส่วน คุ้นเคยมาก แต่ก็ดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร มันแปลกมากเลยจริงๆ”
ภาพ ดูไม่ออก?
รูม่านตาของพงศกรหดเข้า
ถ้าเป็นหทอทั่วไป คงไม่รู้สึกว่าจะมีอะไร มากสุดแค่คิดว่าเธอมีอาการประสาทหลอน
แต่เขาไม่เหมือนกัน เขานอกจากจะเป็นแพทย์ประสาทวิทยาแล้วยังเป็นแพทย์สะกดจิตอีกด้วย สำหรับความจำในร่างกายมนุษย์ส่วนนี้ ยังคงมีความเชี่ยวชาญที่ค่อนข้างลึก
ดังนั้นสำหรับอาการที่วารุณีเล่าเมื่อสักครู่ เขาพอเข้าใจแล้วว่ามาจากเหตุผลอะไร
นั่นคือสัญญาณของความทรงจำกำลังจะกลับมา ภาพที่เธอเห็นเป็นชิ้นส่วนความทรงจำของเธอ
เธอกลับเคยเสียความทรงจำไป และเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเคยเสียความทรงจำ
นั่นก็หมายถึงว่าความทรงจำของเธอไม่ได้หายไปเพราะอุบัติเหตุ แต่คือถูกคนสะกดจิตและลบล้างทิ้ง
แต่ไม่รู้ว่าลบทิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่และลบทิ้งเพราะเหตุผลอะไร
พอนึกถึงเรื่องเหล่านี้ มุมปากของพงศกรโค้งขึ้นมา รู้สึกน่าสนใจขึ้นมาเลย