จากนั้น วารุณีกับนัทธีคุยกันอีกประมาณสิบกว่านาที ก็ได้วางสายลง
เพราะว่าต่อจากนี้เธอจะต้องทำการจัดเก็บเสื้อผ้า และต้องปรับสภาพร่างกายกับเวลา
“คุณผู้ชายคะ” นัทธีวางโทรศัพท์ลง ป้าส้มเดินเข้ามาจากประตูที่ด้านหลังยังตามมาด้วยมารุต
นัทธีเห็นมารุตมาหาในเวลาที่ดึกขนาดนี้ จึงรู้ว่าจะต้องมีเรื่องด่วนอย่างแน่นอน จึงได้ลุกขึ้น “ป้าส้ม พาเด็ก ๆ ขึ้นไปบนตึกอาบน้ำนอนหน่อยนะครับ”
“ค่ะ” ป้าส้มพยักหน้า แล้วจูงเด็ก ๆ ขึ้นไปบนตึก
ในห้องรับแขกจึงเหลือนัทธีกับมารุตเพียงสองคน
นัทธีล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง “ว่ามา มีอะไร”
“เป็นข้อมูลเกี่ยวกับคุณนวิยาที่เมื่อวานท่านให้ผมไปสืบครับ ผลออกมาแล้ว” มารุตพลางกล่าวพลางยื่นเอกสาร
นัทธีหรี่ตาลง แล้วรับเอกสารด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างหนึ่งทำการเปิดเอกสารออกมา
ในนั้นเป็นเอกสารที่หนา มีประมาณสิบกว่าแผ่น
นัทธีเม้มริมฝีปากบางเป็นเส้นตรง แล้วเปิดอ่านทีละแผ่น ๆ
ผ่านไปสักพักก็ดูจนหมด มือที่ถือเอกสารไว้ได้กำแน่นขึ้นทันใด สีหน้าดูแย่ แววตาเต็มไปด้วยความตกใจ
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของเธอเหรอ” นัทธีจ้องมองมารุต
มารุตพยักหน้า “ใช่ครับ เพราะว่าตอนที่คุณนวิยาทำเรื่องเหล่านี้อายุยังน้อยยังเป็นเด็ก ดังนั้นต้องการจะสืบจึงไม่ใช่เรื่องยากครับ”
เขานั้นได้ทำการอ่านดูเอกสารก่อน ถึงตอนนี้จิตใจก็ยังไม่สงบ
เขาก็เหมือนกับท่านประธานที่คิดว่าคุณนวิยาเป็นผู้หญิงที่ไร้เดียงสา แต่เมื่อเห็นเอกสารเหล่านี้เขาถึงได้รู้ว่าเขานั้นคิดผิด
ตอนที่คุณนวิยาอายุเพียงไม่กี่ขวบ เธอสามารถทำทารุณกรรมหมาแมวจนตาย ตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษามัธยมศึกษาก็ไปมีเรื่องรุนแรงกับเพื่อนนักเรียน มีเพื่อนนักเรียนหนึ่งในั้นถูกทำร้ายจนสติฟั่นเฟือน ตอนนี้ก็ยังไม่หายดี
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า จิตใจของคุณนวิยานั้นเหี้ยมโหด แล้วยังเสแสร้งเก่งอีก
ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่านประธานที่จู่ ๆ ให้เขาไปสืบ เขากับท่านประธานก็คงยังไม่รู้ใบหน้าที่แท้จริงของคุณนวิยา
นัทธีวางเอกสารลงบนโต๊ะน้ำชา จู่ ๆ รู้สึกร่างกายและจิตใจอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง
เขาเห็นนวิยาเป็นน้องสาวจริง ๆ เขาแทบจะไม่เคยสงสัยในตัวเธอ และก็ไม่เคยคิดว่าเธอจำสามารถทำเรื่องที่เลวร้ายได้
แต่ว่าข้อมูลเอกสารที่กองกันเป็นชั้น ๆ นี้ ราวกับฝ่ามือที่ได้ตบเข้ามาที่ใบหน้าของเขาแรง ๆ ทำให้เขาตระหนักได้ว่าหลายปีที่ตัวเองคอยปกป้องเธอ นั้นช่างเป็นเรื่องที่น่าขำมาก
“ท่านประทานครับ เรื่องเหล่านี้จะบอกคุณหมอพิชิตไหมครับ” มารุตมองนัทธี
นัทธีพยักหน้า “แน่นอน เขาเป็นแฟนของนวิยา มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องราวเหล่านี้ สำหรับเขาจะเลือกทางไหนหลังจากที่เขารู้แล้วนั้น ก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่……”
“เชิญท่านประธานพูดมาเลยครับ”
“ตอนที่บอกเรื่องราวให้กับพิชิตทราบนั้น อย่าได้บอกต่อหน้านวิยาเด็ดขาด”
“ผมทราบครับ วางใจได้เลยครับท่านประธาน” มารุตพยักหน้า
นัทธีกุมขมับ ในใจเริ่มเชื่อคำพูดของวารุณีที่มีความสงสัยต่อนวิยา
บางที นวิยาอาจจะเป็นฆาตกรตัวจริง
อายุน้อยขนาดนั้นยังสามารถทำเรื่องที่ทำให้คนขยะแขยงได้ขนาดนี้ เรื่องฆ่าคนก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ตกใจ
“ผมจำได้ว่าตระกูลจามจุรีศิลป์เป็นศัตรูทางการเมืองกับตระกูลผดุงธรรมใช่ไหม” นัทธี จู่ ๆได้ถามขึ้น
มารุตสีหน้าเคร่งขรึมแล้วยพยักหน้า “ใช่ครับ ท่านประธานถามเรื่องนี้ทำไมครับ”
“วารุณีถูกลอบฆ่าถึงสองครั้ง ผมให้นายท่านบุญชัยสืบหาฆาตกรตัวจริง สุดท้ายผลสืบออกมาว่าคนร้ายคือทารีนา แต่ว่าทารีนาคือถูกให้เป็นผู้รับโทษแทน หลังจากที่วารุณีรู้เรื่องเข้า จึงสงสัยมาโดยตลอดว่าฆาตกรคือนวิยา เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้แล้ว ผมก็อดสงสัยไม่ได้”
นัทธีหลับตาลง ใบหน้าเย็นชา “ถ้าหากว่าเป็นนวิยาจริง นี่ก็สามารถบอกได้ว่าทำไมนายท่านบุญชัยถึงได้สืบเจอว่าฆาตกรเป็นทารีนา”
เพราะว่านวิยาเป็นเหลนของนายท่านบุญชัย
นายท่านบุญชัยก็ย่อมเลือกที่จะปกป้องนวิยา
มารุตอ้าปากค้าง “โอ้พระเจ้า หากว่าเป็นคุณนวิยาจริง อย่างนั้นนายท่านบุญชัยทำแบบนี้ ก็เท่ากับเจตนาทำผิดกฎหมายไม่ใช่เหรอ”
“มีบางครั้งสายเลือดมักจะข้นกว่ากฎหมาย” นัทธีตอบกลับอย่างแผ่วเบา จากนั้นได้สั่งกำชับ “ได้ยินมาว่าช่วงนี้ตระกูลจามจุรีศิลป์กำลังวางแผนที่จะพัฒนาเมืองแห่งวัฒนธรรม เพื่อใช้เพิ่มคะแนนเสียงทางการเมือง แต่ว่าเงินลงทุนไม่พอ นายไปติดต่อพวกเขาอย่างลับ ๆ เสนอเงินลงทุนให้พวกเขา ให้พวกเขาไปตรวจสอบคุณท่านบุญชัยว่ามีพฤติกรรมในการปกป้องนวิยาหรือไม่”
วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับตระกูลนักการเมือง ก็คือการใช้ตระกูลนักการเมืองไปต่อกร
ตระกูลจามจุรีศิลป์กับตระกูลผดุงธรรมนั้นเป็นศัตรูทางการเมืองมานานหลายปี ขอเพียงแค่บอกกับตระกูลจามจุรีศิลป์ว่าคุณท่านบุญชัยแห่งตระกูลผดุงธรรมอาจจะมีเจตนาในการทำผิดกฎหมาย ตระกูลจามจุรีศิลป์จะต้องเต็มใจที่จะไปตรวจสอบอย่างแน่นอน
มารุตเข้าใจประเด็นสำคัญที่อยู่ในนี้ จึงได้รับคำสั่งทันที “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะทำตามที่สั่งครับ”
นัทธีตอบอืม “เรื่องนี้อย่าให้นวิยากับตระกูลผดุงธรรมรู้เป็นอันขาด”
“ท่านประธานโปรดวางใจได้เลยครับ”
แล้วมารุตก็จากไป
นัทธีนวดขมับของตัวเอง จากนั้นลุกแล้วขึ้นไปบนตึก
สองวันต่อมา ที่เมืองนอก
วารุณีกับเชอรีได้พักผ่อนกันสองวัน หลังจากปรับเวลาได้แล้ว จึงได้ไปที่โรงแข่งขัน ไปเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน
พิธีเปิดการแข่งขันนี้ ความจริงแล้วก็คือการแสดงชุดเสื้อผ้าของกรรมการแต่ละคน
กรรมการเหล่านี้ล้วนเป็นดีไซเนอร์ชั้นนำระดับโลก มีทั้งที่ยังอยู่ในวงการ และมีทั้งที่เกษียณไปแล้ว
โดยรวมแล้ว การรแข่งขันระดับนานาชาตินี้สามารถเชิญดีไซเนอร์ชั้นนำจำนวนมากมาได้ขนาดนี้ เพียงพอที่จะพิสูจน์ถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่แล้ว
“วารุณี ฉันเห็นนางแบบรุ่นพี่เยอะแยะเลย” ข้างๆวารุณี มีเชอรีนกดเสียงต่ำพูดด้วยความตื่นเต้น
สามารถได้ยืนอยู่ในงานระดับนานาชาติกับซูเปอร์นางแบบรุ่นพี่แบบนี้ เธอรู้สึกว่าชาตินี้มีชีวิตที่คุ้มค่าแล้ว
“ฮึ่ม เป็นคนบ้านนอกคอกนาที่เพิ่งเข้ากรุงจริง ๆ ด้วย ถึงได้ออกอาการดี๊ด๊าอยู่ตรงนี้ โดยไม่กลัวที่จะทำให้คนในประเทศอับอายขายขี้หน้า”
ในขณะที่วารุณีกำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมดังขึ้น
วารุณีกับเชอรีนกลอกตามองบนพร้อมกัน
เชอรีนมองตรงไปทางสุชาดาแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา “ฉันจะทำให้คนในประเทศอับอายขายขี้หน้าหรือไม่มันเกี่ยวกับคุณตรงไหนมิทราบ คนบางคนนี่ความจำสั้นจริง ๆ รู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ ยังจะรนหาที่ โง่เขลาจริง ๆ”
“นี่เธอ……” สุชาดาโกรธจนตาเบิกกว้าง ง้างมือขึ้นจะตบคน
เชอรีนไม่เพียงแต่ไม่กลัว ยังจงใจยื่นหน้าออกไป “มาสิ มา มาตบสิ มีปัญญาเธอก็ตบเลย ขอเพียงเธอกล้าตบ ฉันก็จะรีบไปฟ้องผู้จัดงานทันที บอกว่ามีหมาที่ลืมบ้านเกิดไปตบตีผู้เข้าแข่งขันของประเทศอื่น แล้วให้ผู้จัดงานถอนพวกคุณออกจากการแข่งขัน”
สุชาดาได้ยินประโยคนี้ก็ตกใจกลัวมาก มือที่ง้างไว้ก็ไม่กล้าที่จะตบลงไป สุดท้ายจึงจำใจต้องชักกลับมาอย่างไม่เต็มใจ
เชอรีนยังแสร้งถอนหายใจอย่างเสียดาย “น่าเสียดายจัง ทำไมไม่ตบล่ะ”
“พอเหอะ เธออยากให้นางตบจริง ๆ เหรอ ถึงแม้ว่านางจะต้องใช้บางสิ่งแลกเพื่อตบเธอ แต่ว่าเธอจะต้องเจ็บนะ” วารุณีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เชอรีนยักไหล่ “ถ้าหากว่าสามารถทำให้เธอออกจากการแข่งขันได้ เจ็บนิดหน่อยก็คุ้ม”
ฟังสองคนที่คนหนึ่งพูดอีกคนหนึ่งยุ สุชาดาจึงโกรธจนตัวสั่นเทา ใบหน้าบูดเบี้ยว
เวลานี้ โสรยาได้เดินเข้ามา เห็นวารุณีกับเชอรีน แววตาก็หม่นลง จากนั้นมองสุชาดาด้วยความไม่พอใจ “นี่เธอหาเรื่องคุณวารุณีอีกแล้วใช่ไหม”
วารุณีเลิกคิ้ว
ผู้หญิงคนนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ตำหนิเธอก่อน ไม่ถามไถ่ว่าได้กลั่นแกล้งสุชาดาหรือเปล่า
“ฉันเปล่า” สุชาดารีบยกมือปฏิเสธ
โสรยาฮึดฮัด “หวังว่าเธอคงจะพูดความจริง ถ้าหากให้ฉันรู้ว่าเธอโกหก ดูสิว่าฉันจะลงโทษเธอยังไง”
สุชาดาก้มหน้า ไม่พูดไม่จาอีก
วารุณีหรี่ตาลง
โสรยาคนนี้เก่งกาจจริง ๆ ไม่มีการถามเธอเพื่อยืนยันว่าที่สุชาดาพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ก็จัดการเรื่องราวได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ มีชั้นเชิง
“คุณวารุณี” โสรยายิ้มให้กับวารุณี “ต้องขอโทษด้วย นางแบบของฉันคงไม่ได้รบกวนการชมการแสดงของคุณหรอกนะ”
“นิดหน่อย” วารุณียิ้มตาหยีตอบกลับ
โสรยาสีหน้าชะงักงั้น
ประโยคที่ว่านิดหน่อย ได้บอกกับเธอชัดเจนในตัวอยู่แล้วว่ามีการรบกวนจริง ๆ
แต่ว่าโสรยาแกล้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ คว้าแขนของสุชาดามาจับไว้ “อย่างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวก่อน” วารุณีเรียกหยุดเธอ