“อือ?” นัทธีหรี่ตาลง “ฉันพูดไม่ชัดเจนเอง ฉันผิดไปแล้วใช่ไหม?”
“ไม่ๆ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ฉันเพียงแค่……วารุณี” เชอรีนทำหน้าเศร้า พลางมองไปทางวารุณีแล้วขอความช่วยเหลือ
วารุณีเช็ดน้ำตาจากการหัวเราะที่หางตา “เอาล่ะ นัทธี เธอไม่รู้ว่าเป็นคุณจริงๆ คุณอย่าโทษเธอเลย แต่เธอก็พูดถูกนะ คุณหนูนวิยาวิสัยทัศน์แคบเกินไปจริงๆ”
นัทธีเบ้ปากแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เหมือนจะยอมรับไปจริงๆ
ในความเป็นจริงนั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมนวิยาถึงได้รักเขาขนาดนั้น
แต่ก็ไม่ได้ไปสนใจ เธอจะรักเขามากแต่ไหน เขาก็ไม่มีทางหวั่นไหวกับเธอ
ตอนบ่าย นัทธีพาเด็กๆ ทั้งสองกลับประเทศไป
วารุณีกับเชอรีนไปส่งพวกเขาที่สนามบิน
ที่เคาน์เตอร์เช็คอินนั้น ไอริณร้องไห้กอดวารุณีงอแงเป็นอย่างมาก เพราะไม่อยากจากหม่ามี๊ไป
แม้อารัณจะไม่ได้เหมือนกับน้องสาว แต่ว่าก็ตาแดงก่ำ เหมือนไม่อยากจากไปอย่างชัดเจน
ขนาดนัทธี ยังมองวารุณีอย่างรักใคร่ล้ำลึก
ในตอนนั้น วารุณีเกือบจะทนไม่ไหว แล้วซื้อตั๋ว เพื่อไปกับพวกเขาพ่อลูก
แต่สุดท้าย เธอก็ทนได้
พ่อลูกสามคนเดินเข้าไปในทางVIP จนกระทั่งมองไม่เห็น วารุณีเลยปล่อยมือลง จากนั้นก็กอดเชอรีนที่อยู่ข้างๆ
เชอรีนรู้ว่าเธอรู้สึกแย่ ก่อนจะปลอบเธอโดยการตบหลังเบาๆ
ปลอบอยู่สิบกว่านาที จากนั้นวารุณีก็เงยหน้า พลางเช็ดน้ำตา แล้วยิ้มขึ้น “เอาล่ะ คุณเชอรีน ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณอะไรกัน เราเองก็กลับไปเถอะ” เชอรีนเสนอขึ้น
วารุณีตอบตกลง
บนรถ เชอรีนเห็นว่าเธออารมณ์ไม่ค่อยดี เลยคิดเล็กน้อย พลางพูดต่อ “วารุณี อย่ารู้สึกแย่ไปเลย ฉันรู้ว่าคุณไม่อยากให้ประธานนัทธีกับเด็กๆ ไป แต่ว่าพวกคุณก็ยังมีวิดีโอคุยกันทุกวัน แถมประธานนัทธีก็บอกแล้ว ว่าหลังจากนี้ครึ่งเดือนจะพาเด็กๆ มาหาคุณ”
“วางใจเถอะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ” วารุณีพูดอย่างยิ้มแย้ม
เชอรีนเห็นว่าเธอยืนหยัดแบบนั้น เลยไม่ได้พูดอะไรต่อ
ตอนแรกคิดว่าเธอไม่เป็นไรจริงๆ แต่เมื่อกลับมาที่คฤหาสน์ วารุณีก็ขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะล็อกตัวเองอยู่ในห้อง
เชอรีนเห็นดังนั้น เลยส่ายหัวอย่างจนปัญญา “ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาเวลาไม่ดีก็ทุกข์ทม เวลารักกันดีก็ทุกข์ ห่างกันไม่นาน ก็เหมือนไม่มีจิตวิญญาณ เป็นโสดดีกว่าอีก”
เมื่อเพิ่งพูดจบ โทรศัพท์เธอก็ดังขึ้นมา
เมื่อหยิบขึ้นมาดู เชอรีนตาเป็นประกาย “ฮัลโหล คุณแบรนดี้ ฉันว่าง เดี๋ยวจะออกไปรอฉันก่อนนะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็วางสายไป ก่อนจะบอกกับคนใช้เล็กน้อย พลางถือกระเป๋าแล้วออกไป
เธอเดิน พลางท่องแล้วสูดน้ำลายเข้าปาก “ซิกแพ็คๆ ฉันมาแล้ว!”
ตอนที่วารุณีกินข้าวตอนเย็นนั้น ก็เพิ่งจะรู้ว่าเชอรีนออกเดตแล้ว เลยตกใจเล็กน้อย
มาต่างประเทศหลายวันขนาดนี้ เธอดันไม่รู้ว่าเชอรีนรู้จักชายชาวตะวันตกคนหนึ่ง
เช้าตรู่ วารุณีไปหาทางฝ่ายนิตยสาร แล้วเจอกับนักร้องเหล่านี้สักหน่อย เพื่อเข้าใจนิสัยของนักร้อง งานอดิเรก สัดส่วน แล้วก็สไตล์ที่ชอบในการแต่งตัวแล้วก็การจับคู่เสื้อผ้าต่างๆ
แบบนี้ เธอจะได้ออกแบบเสื้อผ้าให้ได้ เพื่อหาเสื้อผ้าที่เหล่านักร้องต้องการ
เมื่อถึงตอนเที่ยง วารุณีก็ทำความเข้าใจจนเสร็จ จากนั้นก็เอาข้อมูลออกมาจากทางฝ่ายนิตยสาร แล้วเดินไปที่ที่จอดรถ
ตอนที่ไปถึงลานจอดรถ ก็ถูกคนผิวดำเข้มมาขวางเอาไว้
“สาวสวย มากินกาแฟกับพวกเราหน่อยไหม?” คนดำคนหนึ่งในนั้นพูดกับวารุณีแบบติดสำเนียงคนอินเดีย คำพูดนั้นมันมีความสับปลับเป็นอย่างมาก จนปิดเอาไว้ไม่ไหว
ส่วนอีกคนนั้นตรงไปตรงมามากกว่า เลยเอาแต่มองเอวและหน้าอกของวารุณีอย่างคิดไม่ดี
แถมยังยื่นมือออกมา อยากจะจับหน้าอกของวารุณี
ที่เร่ร่อนของพวกเขานั้น ปกติก็ใช้ชีวิตโดยการกรรโชกเงินคนอื่น เมื่อได้เจอสาวสวย ก็จะเข้ามาหยอกล้อแบบนี้
ปกติพวกเขาไม่ได้ชอบหญิงตะวันออกสักเท่าไหร่ ตัวเล็กก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่หน้าตาก็เหมือนๆ กันหมด
แต่ว่าครั้งนี้ พวกเขาเห็นหญิงชาวตะวันออก แม้ตัวจะไม่ได้สูงเหมือนหญิงตะวันตก แต่ว่าหุ่นและหน้าตานั้นกลับดีเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่เข้าใจความงามของชาวตะวันออก ต่างคิดว่าหญิงชาวตะวันออกคนนี้สวยมาก
ดังนั้น พวกเขาจะปล่อยไปได้อย่างไร ต้องคว้าโอกาสเอาไว้สิ
วารุณีถอยไปเล็กน้อย เพื่อหลบมือสกปรกของคนดำคนนี้ ก่อนจะขมวดคิ้วงามเล็กน้อย ในใจก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
เธอรู้ ว่าตัวเองเจอคนเลวเข้าแล้ว
แต่เรื่องนี้ มันเจอได้บ่อยในต่างประเทศ มันเกิดขึ้นบ่อย เพียงแต่เธอคิดไม่ถึง ว่าตัวเองจะได้เจอเข้า
หลังจากที่หายใจเข้าลึก วารุณีก็พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลง อย่าร้อนใจ แล้วคิดหาวิธีที่จะหนี พลางคุยกับคนดำสองคนนั้น” ทั้งสองคน ถ้าฉันให้เงิน จะปล่อยฉันไปได้ไหม?”
ถ้าใช้เงินแก้ได้ เธอก็ยอม
อย่างน้อยก็แค่เสียเงินไป แต่เธอจะได้ความปลอดภัยเป็นประกันกลับมา
แต่คนดำทั้งสองคนหัวเราะ” คุณผู้หญิง หลังจากที่ได้คุณ เงินของคุณก็ต้องเป็นของเรา ดังนั้นทำไมเราต้องเสียไปอย่างหนึ่งด้วยล่ะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น วารุณีก็หนักใจ รู้ว่าชายทั้งสองตรงหน้าคุยไม่ได้แล้ว เลยถอยหลังไป กลัวอยากจะหันตัววิ่งไป แล้ววิ่งพลางตะโกนขอความช่วยเหลือ
แม้เธอจะรู้ว่าอยู่ในต่างประเทศที่เย็นชา ปกติไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเหลือ แต่ว่าไม่ลองแล้วจะรู้เหรอ
คิดไป วารุณีก็กำหมัด หลังจากที่ถอยหลังไป ก็รีบวิ่งไปด้านหน้า
ตอนแรกคนดำสองคนนั้นทำอะไรไม่ถูก จากนั้นก็รีบวิ่งตามอย่างอับอายก่อนจะโกรธแค้น พลางตามไป และตะโกนด่า บอกว่าหลังจากจับวารุณีได้ จะทำให้เธอถึงตายเลย
หลังจากที่วารุณีได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ซีดเซียว ก่อนจะวิ่งเร็วขึ้น
แต่เธอเป็นผู้หญิงคนเดียว จะวิ่งเร็วกว่าชายร่างกำยำได้อย่างไร
ดังนั้นเพียงไม่นานวารุณีก็ถูกจับได้
คนดำหนึ่งคนในนั้นตบหน้าวารุณี
วารุณีล้มลงกับพื้น เจ็บใบหน้าเป็นอย่างมาก ในหูก็มีเสียงดังขึ้น เหมือนมีผึ้งกำลังบินอยู่ในนั้น
จากนั้น คอเสื้อของวารุณีก็ถูกคนดำคนหนึ่งยกขึ้น
คนดำเข้ามาใกล้เธอ ก่อนจะพูดอย่างโหดร้าย” นังแพศยา หนีงั้นเหรอ”
เมื่อวารุณีได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา ก็ขยะแขยงจนอยากจะถุยน้ำลายออกมา
เมื่อคนดำเห็นดังนั้น ก็โกรธขึ้นมาอีกครั้ง “รังเกียจฉันเหรอ?เหอะๆ เดี๋ยวจะทำให้คุณไม่อยากห่างจากฉันไป”
เมื่อพูดจบ คนดำก็ปล่อยคอเสื้อของวารุณี ร่างของวารุณีก็ตกลงกับพื้น
จากนั้น คนดำอีกคนก็มากดไว้ พลางใช้แรงดึงเสื้อผ้าของวารุณี
วารุณีร้องด้วยความกลับ “ปล่อยฉัน ปล่อย!”
เธอพยายามขัดขืน ทั้งเตะต่อยตัวของคนดำ
แต่คนดำนั้นไม่ขยับเหมือนกับเขาลูกใหญ่ กลับตื่นเต้นมากกว่าเดิม
เพียงไม่นาน เสื้อผ้าของวารุณีก็ถูกถลกออก จนชุดชั้นในปะทะกับอากาศ
วารุณีโดนลม ก่อนจะหนาวจนตัวสั่น ในใจก็รู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก หรือว่าวันนี้เธอจะต้องมาเกิดขึ้นตรงนี้จริงๆ เหรอ?
วารุณีน้ำตาไหล ก่อนจะหลับตาอย่างสิ้นหวัง
ในตอนนั้นเอง มีเงาหนึ่งปรี่เข้ามา ก่อนจะเตะคนดำข้างกายวารุณีออกไป
คนดำร้องด้วยความเจ็บปวด
คนดำอีกคนเห็นดังนั้น ก็กัดฟันพลางปรี่เข้ามา เพื่อสู้กับเงาร่างนั้น
เงานั้นน่าจะเคยเรียนการต่อสู้มา เลยทำให้คนดำนั้นค่อยๆ ถอยแพ้ไป
แต่การลุกขึ้นของคนดำที่ฟุบไปเมื่อครู่ ทำให้คนดำสองคนเข้ามาพร้อมกัน จากนั้นเงานั้นก็เหมือนจะเสียเปรียบ
วารุณีได้ยินการเคลื่อนไหว ก่อนจะลืมตาขึ้น ก็เห็นเงาทั้งสองที่เห็นหน้าไม่ชัด ก็รู้ทันทีว่าตัวเองถูกช่วยเหลือแล้ว
ระหว่างที่เธอตื่นตัวอยู่นั้น ก็รีบเอาเสื้อผ้ามาปิด ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้น
เพิ่งจะลุกขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงโอดโอย
เสียงนั้น……
วารุณีม่านตาหดลง ก่อนจะรีบมองไปทางต้นเสียง ก่อนจะเห็นเงาที่คุ้นเคย กำลังกุมท้องของตัวเอง จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นตัวงอด้วยความเจ็บปวด พลางหายใจเข้าอย่างเยือกเย็น
เป็นเขานี่เอง
นิรุตติ์!
คนที่ช่วยเธอ เป็นนิรุตติ์นี่เอง!