วารุณีพยักหน้าตอบด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย มือกำไปที่เข็มขัดนิรภัยแน่น สายตาคู่คมมองไปยังนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ในใจเต็มไปด้วยความกังวลถึงเด็กน้อยทั้งสองคน
ผ่านไปสองชั่วโมง เชอรีนเห็นวารุณีเดินเข้าเกทไป จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ตีไปทีหน้าผากตัวเอง
“แย่แล้ว ลืมบอกประธานนัทธีว่าวารุณีฟื้นแล้ว แต่คงน่าจะไม่มีอะไรหรอกมั้ง……” เชอรีนพึมพำ
วารุณีกลับบ้าน หากประธานนัทธีเห็นเธอ ไม่แน่ว่าอาจจะเซอร์ไพรส์ก็ได้
ช่างมัน ปล่อยมันไปแล้วกัน
เชอรีนเกาไปที่หัว หันหลังแล้วออกจากสนามบินไป
อีกด้านหนึ่ง วารุณีขึ้นเครื่องไปแล้ว และกำลังมุ่งตรงยังเส้นทางการกลับบ้าน
ใช้เวลาบินราวๆเจ็ดถึงแปดชั่วโมง ในที่สุดเครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบินนานาชาติจังหวัดจันทร์
ทันทีที่เธอออกจากสนามบิน ก็รีบโบกรถทันที ระหว่างทาง เธอกดโทรไปหานัทธี
ตอนนี้ทางฝั่งของบ้านเธอก็เป็นเวลาแปดโมงเช้าแล้ว นัทธีเองก็ตื่นแล้ว
เขามองไปยังเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเตียงเป็นอันดับแรก เด็กน้อยยังคงไม่ฟื้น เพราะฤทธิ์ของยาสลบที่ยังไม่หมด
จากนั้น เขาก็มองไปยังอารัณที่อยู่บนโซฟา และกำลังหลับสนิท ป้าส้มเองก็นั่งเฝ้าอารัณอยู่ข้างๆโซฟาด้วย
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของนัทธีก็ดังขึ้น
ป้าส้มสะดุ้งตื่น “คุณผู้ชาย ตื่นแล้วเหรอคะ”
นัทธีพยักหน้าให้ “ตื่นแล้ว”
“งั้นป้าจะไปซื้ออาหารเช้านะคะ” ป้าส้มกล่าว ลุกขึ้นยืนแล้วจัดแจงเสื้อผ้า จากนั้นก็เดินออกห้องไป
ในตอนนี้นัทธีก็เพิ่งจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เห็นเป็นสายเรียกเข้าจากวารุณี ก็รีบกดรับทันที
ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปากพูดอะไร ปลายสายก็ถามขึ้นมาทันทีว่า“นัทธี พวกคุณอยู่ที่โรงพยาบาลไหน ? ”
คิ้วนัทธีเลิกขึ้น
ถามว่าพวกเขาอยู่โรงพยาบาลไหน หรือว่า……
“คุณกลับมาแล้วเหรอ ?”นัทธีได้ยินเสียงแตรรถจากปลายสาย จึงถามตามที่คาดเดา
วารุณีพยักหน้า“ ใช่ค่ะ ฉันเพิ่งลงจากเครื่อง ตอนนี้อยู่บนถนนกำลังจะไปหา พวกคุณอยู่ไหน ?”
เธอถามขึ้นมาอีกรอบ
“โรงพยาบาลบัวหลวง”นัทธีบอกชื่อโรงพยาบาล
วารุณีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง “ทราบแล้วค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้ ”
พูดจบ เธอก็วางสายไป
นัทธีไม่คิดว่าจู่ๆเธอจะตัดสินใจบินกลับมา
แต่เมื่อคิดได้ว่าเด็กทั้งสองคนมีความสำคัญกับเธอแค่ไหน ที่เธอทำไป ก็ไม่ได้นึกแปลกใจอะไร
นัทธียกยิ้ม จากนั้นก็กดโทรไปหาป้าส้ม “ซื้ออาหารเช้ามาเพิ่มด้วยอีกที่หนึ่งนะครับ วารุณีกลับมาแล้ว”
“คุณผู้หญิงกลับมาแล้วเหรอคะ?”ป้าส้มแปลกใจ
นัทธีพยักหน้า “ครับ”
“ค่ะ ทราบแล้วค่ะคุณผู้ชาย”ป้าส้มรับคำ
นัทธีวางโทรศัพท์ลง แล้วเดินไปที่โซฟา เขย่าที่ตัวอารัณเบาๆ เพื่อปลุกเด็กน้อย
เพราะเด็กน้อยนอนราบอยู่เป็นเวลานาน หากไม่ขยับตัวเคลื่อนไหวเสียบ้าง ไม่เป็นผลดีต่อร่างกายแน่
“พ่อครับ?”อารัณลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง เมื่อเห็นนัทธียืนอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยเรียกด้วยเสียงที่ง่วง
นัทธีสัมผัสไปที่ผมของเขาอย่างแผ่วเบา “ตื่นได้แล้ว”
อารัณตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง เตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้น
แต่เพราะนอนราบอยู่เป็นเวลานานเกินไป พอร่างกายขยับก็จึงรู้สึกไม่สบายตัว
อารัณเบะปาก “พ่อครับ เจ็บ……”
“เจ็บตรงไหน?”สีหน้าของนัทธีเป็นกังวล รีบถามกลับทันที
อารัณชี้ไปที่บริเวณลำคอ “เจ็บตรงนี้ ขยับไม่ได้แล้ว”
นัทธียื่นมือไปสัมผัส มันมีความแข็งเล็กน้อย “ไม่เป็นไร พ่อจะอุ้มเราขึ้นมานะ ขยับมันสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ครับ”อารัณพยักหน้าให้
นัทธีอุ้มเขาขึ้นมา วางไว้บนตัก จากนั้นก็นวดให้เด็กน้อย ให้กล้ามเนื้อของเด็กน้อยได้คลายความตึงลง
และตัวเด็กน้อยเองก็พิงไปที่อ้อมแขนของนัทธีเพื่อรับกับความสบาย ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความสุข
เมื่อก่อนไม่รู้ว่าพ่อเป็นพ่อแท้ๆ เขาไม่มีทางรู้สึกสงบและสบายใจซึมซับความรักที่พ่อมีให้อย่างในตอนนี้แน่
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว พ่อเป็นพ่อแท้ๆของเขา เขาก็ย่อมต้องออดอ้อนออเซาะบ้าง และซึมซับความรักที่พ่อมีให้
ใครให้เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่งกันล่ะ
หลังจากที่ได้นวดไปสองสามนาที ลำคอของอารัณก็รู้สึกดีขึ้นและขยับเคลื่อนไหวได้
นัทธีวางเขาลง ตบไปที่ไหล่ของเขาเบาๆ “เรียบร้อย ไปล้างหน้าแปรงฟันได้แล้ว หม่ามี๊กำลังจะเดินทางมาถึงแล้ว”
“หม่ามี๊?”อารัณกะพริบตาปริบๆ จากนั้นดวงตาก็เป็นประกาย “พ่อครับ พ่อบอกว่าหม่ามี๊กลับมาแล้วเหรอครับ?”
“ใช่ หม่ามี๊รู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเรา ดังนั้นจึงรีบกลับมา ไปล้างหน้าแปรงฟันได้แล้ว” นัทธีไล่เด็กน้อยอีกครั้ง
อารัณพยักหน้าให้ แล้วเดินไปที่ห้องน้ำ
นัทธีก็ลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ข้างเตียง มองดูอาการของเด็กหญิง จากนั้นก็กดกริ่งที่ข้างเตียง เรียกให้หมอมาดูอาการ สอบถามว่าเด็กจะฟื้นเมื่อไร
ไม่นาน ผ่านไปสักพัก วารุณีก็มาถึงที่โรงพยาบาล
เธอเอามือกุมท้อง แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาถึงที่หน้าห้องผู้ป่วย
เธอเงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อหน้าห้องของคนป่วย จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
กลิ่นยาฆ่าเชื้อในห้องของคนป่วย ทำเอาเธอต้องขมวดคิ้วมุ่น
แต่เธอไม่ได้สนใจมันเท่าไร สายตาจับจ้องมองไปยังเตียงผู้ป่วยที่อยู่ในห้อง
บนเตียง ลูกสาวของเธอ ใบหน้าซีดเผือดนอนเป็นผักไม่ได้สติ อยู่บนนั้น
ในจังหวะนั้น หัวใจของวารุณีราวกับถูกเฉือนด้วยใบมีดคม เจ็บปวดจนแทบจะหายใจไม่ออก
เธอกุมไปที่หัวใจ เดินซวนเซไปยังข้างเตียงคนป่วย เอนตัวลงสัมผัสไปยังใบหน้าที่เย็นเยือกของเด็กน้อย น้ำตาก็ไหลพรากออกมาทันที
“ไอริณ หม่ามี๊กลับมาแล้ว”วารุณีพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
ในตอนนี้ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง นัทธีอุ้มอารัณเดินเข้ามา เมื่อเห็นวารุณีที่อยู่ในห้อง ดวงตาของสองคนพ่อลูกก็เป็นประกาย
“หม่ามี๊”อารัณโบกมือให้ แล้วเอ่ยเรียกด้วยความดีใจ
นัทธีก็มองไปที่วารุณี พยักหน้าให้“ กลับมาแล้วเหรอ ”
ริมฝีปากของวารุณีขยับเคลื่อนไหว “ไอริณ……”
“ไม่ต้องห่วง ไอริณไม่ได้เป็นอะไรแล้ว จากนี้ไปก็พักฟื้นรักษาตัวให้ดี รอแผลหายก็ไม่มีอะไรแล้ว”นัทธีตอบเสียงเบา
วารุณีพยักหน้าให้ซ้ำๆ เพื่อแสดงให้รู้ว่าเข้าใจแล้ว “ดีค่ะ ดีแล้ว แต่ฉันอยากรู้ ไอริณบาดเจ็บตรงไหนมั้งคะ ? นอกจากที่ศีรษะแล้ว ยังมีที่ไหนได้รับบาดเจ็บอีกไหม?”
“บนตัวมีกระดูกหักไปบางส่วน แต่ได้รับการรักษาแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว”นัทธีตอบ
วารุณีที่ได้ยินถึงกับร่างกายสั่นเทิ้มไปหมด
กระดูกหัก มันต้องเจ็บปวดมากแค่ไหนกัน !
ตั้งแต่เล็กไอริณก็บอบบางกว่าอารัณมาก ทนรับกับความเจ็บปวดอะไรไม่ค่อยจะได้ ความเจ็บปวดเพียงน้อยนิดสำหรับไอริณมันจะทวีความรุนแรงมากกว่าปรกติเป็นสองสามเท่า และจะต้องร้องไห้อยู่เป็นนานสองนาน
เธอนึกภาพไม่ออกว่าตอนที่ไอริณถูกนวิยาจับทุ่มเหวี่ยงลงกับพื้นนั้นจะมีความกลัวมากแค่ไหน ในขณะที่ร่างกายกระดูกแตกหัก ศีรษะถูกกระแทก แล้วมันจะเจ็บปวดเพียงไร
วารุณีจับไปที่มือของเด็กน้อยแน่น ปากก็พร่ำพูดว่า“ขอโทษ ขอโทษนะลูกรัก หม่ามี๊ไม่ได้ปกป้องดูแลหนูให้ดี ……”
ตอนนี้เธอก็เอาแต่เสียใจ ว่าทำไมตัวเองต้องไปเข้าร่วมแข่งขันอะไรนั้นด้วย
หากเธอไม่ได้ไปเข้าร่วมแข่งขันอะไรนั้น และอยู่ดูแลเด็กๆที่บ้าน ไอริณก็คงจะไม่มาเกิดอุบัติเหตุอะไรแบบนี้ใช่ไหม ?
นัทธีเดินไปที่โซฟา แล้ววางอารัณลง“ คุณไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง มันไม่ใช่ความผิดของคุณ”
ที่ไอริณประสบอุบัติเหตุ เป็นสิ่งที่พวกเขาเองต่างก็คาดไม่ถึง
วารุณีกำมือแน่น และเมื่อเห็นท่าทางของอารัณ ก็ต้องขมวดคิ้ว “แล้วอารัณเป็นอะไรไป ? ทำไมต้องนอนราบแบบนี้ ?”
“เพราะอารัณต้องการจะช่วยไอริณ จึงถูกนวิยาเตะไปสองที ล้มก้นจ้ำเบ้า เมื่อกี้ผมเพิ่งพาเขาไปเปลี่ยนยามา” นัทธีตอบกลับ
เมื่อวารุณีได้ยิน ก็รีบเดินเข้าไปหา ดึงกางเกงของเด็กน้อยลง จากก้มที่ขาวเนียนของเด็กน้อย ตอนนี้ก็ช้ำจนม่วงไปหมด ความกรุ่นโกรธในใจที่มี ก็ปะทุขึ้นจนอันแน่น
“นวิยา!”วารุณีขบริมฝีปากแน่น พูดชื่อนี้ออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
หากนวิยามาลงกับเธอ เธอก็อาจจะไม่ได้แค้นเคืองอะไรมากนัก
แต่นวิยาไม่ควรที่จะมาลงมือทำกับเด็กทั้งสองคนแบบนี้
รอก่อนเถอะ ความแค้นนี้ เธอจะเอาคืนมันอย่างสาสม!
“ฉันอยากรู้ คุณจับนวิยาขังเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ? เธอออกมาได้ยังไง แล้วยังมาทำร้ายเด็กๆอีก ? ” วารุณีหันมา สายตาเย็นชาจ้องมองไปที่นัทธี