คุณหญิงทารีนาพยักหน้า “คุณหญิงนวิยาเธอเคยเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ก่อนหน้านั้นเราทะเลาะกัน ก็เลยไม่ได้ติดต่อกันอีก แต่ฉันรู้ เธอกับคุณปวิชเป็นคนดีทั้งคู่ แต่ลูกสาวที่เกิดมา เหมือนปีศาจไม่มีผิด ฉันได้ยินมาว่า……”
“ได้ยินอะไรคะ?”วารุณีมองมาที่เธอ
คุณหญิงทารีนาขมวดคิ้ว“ ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ฉันเคยได้ยินพวกคุณหญิงคุณนายเขาเล่ากัน ว่าตอนที่คุณหญิงนวิยาท้องได้สี่หรือห้าเดือน เธอไปตรวจที่โรงพยาบาล แล้วหมอก็พบว่าลูกในท้องของเธอเป็นโรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม แนะนำให้เอาเด็กออก แต่คุณหญิงนวิยาเธอไม่ยินยอม ยังบอกอีกว่าหมอพูดจาเหลวไหล”
“จะพูดจาเหลวไหลได้ยังไง ทารกที่อยู่ในครรภ์ สามารถตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมได้จริงๆ ”วารุณีพูดเป็นจริงเป็นจัง
เรื่องแบบนี้ที่ต่างประเทศเป็นเรื่องปรกติมาก แต่บ้านเรายังพบเห็นกันได้น้อย โดยทั่วไปแล้วก็ไม่นิยมตรวจอะไรแบบนี้กัน
กลัวเกิดข้อผิดพลาด แล้วต้องทำแท้งแบบไม่ทันได้ยั้งคิด
“ใช่ แต่คุณหญิงนวิยาเธอไม่เชื่อ ยังบอกอีกว่าต่อให้มีโรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม เธอก็สามารถเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนได้ แต่พอนวิยาโตขึ้นมาได้ไม่กี่ขวบ ก็อบรมสั่งสอนอย่างที่เคยพูดเอาไว้ไม่ได้ และทำให้มีคนเสียชีวิตด้วย ” คุณหญิงทารีนากระซิบกระซากให้ฟัง
วารุณีสูดหายใจลึกๆ “คุณหมายความว่า ตอนที่นวิยายังเด็ก ก็เคยฆ่าคนมาแล้ว ?”
“ไม่ใช่ฆ่าคน แต่เป็นการฆ่าแบบทางอ้อม แต่จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ฉันเองก็ไม่รู้ ได้ยินเพียงพวกคุณหญิงคุณนายเขาพูดกันเท่านั้น” คุณหญิงทารีนาส่ายหัว
วารุณีลอบกลืนน้ำลาย “ได้ยินมาเมื่อไหร่คะ ? ”
“น่าจะเมื่อสิบแปดปีก่อน” คุณหญิงทารีนาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไป
วารุณีรู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งร่าง
เมื่อสิบแปดปีที่แล้ว นวิยาน่าจะมีอายุแค่สิบขวบเท่านั้น
เด็กอายุสิบขวบ ก็สามารถทำร้ายคนให้ตายได้แล้ว ช่างน่ากลัวจริงๆ
นวิยาเป็นปีศาจแบบไหนกัน ?
“คุณหญิงทารีนา คนที่เธอทำร้ายจนตายคือใครคะ?” วารุณีถามต่อ
คุณหญิงทารีนาส่ายหัวให้อีกครั้ง“อันนี้ฉันไม่รู้จริงๆ พวกคุณหญิงคุณนายก็ไม่รู้ คุณหญิงที่พูดเรื่องนี้ ก็บอกเพียงว่าเขาบังเอิญไปได้ยินตอนที่คุณหญิงนวิยากำลังตำหนินวิยาอยู่ บอกว่าพวกเขาดีกับเธอขนาดนี้ ทำไมเธอถึงใจดำอำมหิตทำร้ายพวกเขาได้ แต่คนที่ถูกทำร้ายเป็นใคร คุณหญิงนวิยาก็ไม่ได้พูดออกมา”
“เหรอคะ ฉันทราบแล้ว ขอบคุณคุณหญิงทารีนาที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟังนะคะ ”วารุณีกล่าวขอบคุณ
คุณหญิงทารีนาโบกมือให้ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันก็ได้ยินมาอีกที จะใช่เรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ อย่างน้อยเราก็รู้ ว่าคนอย่างนวิยา น่ากลัวเกินไปก็พอแล้วค่ะ”วารุณีพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับไม่ได้ยิ้มตาม
ต้องจับตัวนวิยามาลงโทษให้ได้
คนแบบนี้หากปล่อยให้อยู่ข้างนอก มันอันตรายเกินไป
วารุณีกลับไปที่โรงพยาบาลด้วยสภาพจิตใจที่ว้าวุ่น อดไม่ได้ที่อยากจะพาลูกๆหนีไปจากตรงนี้ ไปต่างประเทศยังจะรู้สึกสบายใจมากกว่า
เรื่องที่คุณหญิงทารีนาเล่าให้เธอฟัง มันทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว และทำให้เธออดไม่ได้ที่จะต้องเฝ้าระวังภัยอันตรายมากขึ้น
และมันทำให้จิตใจของเธอไม่อยู่กับร่องกับรอย
“วารุณี เธอเป็นอะไรไป?”ในตอนบ่าย ปาจรีย์แวะเอาผลไม้และของเล่นมาเยี่ยมเด็กๆ เมื่อเห็นวารุณีเหม่อลอย อดไม่ได้ที่จะถามไปด้วยความเป็นห่วง
วารุณีฝืนยิ้มออกมา “ฉันไม่เป็นอะไร”
“ไม่เป็นอะไรแน่นะ ฉันเห็นเธอคิ้วผูกเป็นปมเชียว หรือไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” ปาจรีย์มองไปที่หน้าท้องของเธอ“ลูกน้อยในท้องแผลงฤทธิ์อีกรึไง?”
“ไม่ใช่”วารุณีส่ายหัว
“แล้วเธอ……”
“พอแล้วปาจรีย์ ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ เธออยู่เป็นเพื่อนเล่นกับพวกอารัณไปก่อนนะ ฉันจะไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลของไอริณ” วารุณีลุกขึ้นยืนแล้วพูด
เพราะพรุ่งนี้ลูกทั้งสองคนจะเดินทางไปต่างประเทศกับเธอ ไปรักษาตัวต่อที่ต่างประเทศ ทางฝั่งนี้ก็จำต้องทำเรื่องประวัติการรักษาผู้ป่วย
“ไปเถอะ”เมื่อปาจรีย์เห็นเธอไม่อยากจะพูด รู้ว่าเธอคงไม่สะดวกที่จะพูดมัน ก็ไม่อยากบังคับ โบกมือให้ แล้วปล่อยให้เธอไป
วารุณีลุกขึ้นแล้วเดินออกห้องไป ไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล
หลังจากที่ทำเรื่องเสร็จ กำลังจะกลับเข้าห้อง ก็มีเสียงที่คุ้นเคยเรียกเธอเอาไว้ “วารุณี!”
วารุณีเหยียดหลังตรง หันหลังกลับ เห็นชายร่างสูงสวมใส่เสื้อกาวน์สีขาว เดินเข้ามาหา บนใบหน้าไม่มีความตื่นเต้นดีใจที่เจอเพื่อน มีเพียงความซับซ้อนอยู่เต็มไปหมด“นายเองเหรอ พงศกร ”
ท่าทีที่เย็นชาของวารุณี ทำให้พงศกรที่ไม่เคยเห็นถึงกับต้องขมวดคิ้ว แวบหนึ่งก็กลับมาเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน“ เป็นอะไรไป เห็นฉันแล้วไม่พอใจขนาดนี้เลยเหรอ ?”
“เปล่า”วารุณีหลุบตาลง
พงศกรเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “วารุณี ท่าทีของเธอไม่ได้เป็นอย่างที่พูดเลย เธอเองก็รู้ว่าฉันนอกจากจะเป็นหมอด้านสมองแล้ว ฉันยังเป็นนักจิตวิทยาด้วย เธอปิดฉันไม่ได้หรอก ฉันดูออก ว่าเธอไม่พอใจฉันอยู่ ฉันทำอะไรผิดไปงั้นเหรอ”
วารุณีกำมือแน่น ราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เงยหน้าขึ้น สายตาเย็นชาจ้องมองไปที่เขา“ในเมื่อนายเองเป็นคนพูดว่าฉันไม่พอใจนาย งั้นฉันก็จะไม่ปิดบังอะไรอีก พงศกร ตอนที่ฉันเพิ่งกลับมาที่นี่ใหม่ๆ อารัณเคยให้นายตรวจดีเอ็นเอของเขากับนัทธีใช่ไหม ?”
เมื่อได้ยินคำนี้ ม่านตาของพงศกรก็หดเกร็งเล็กน้อย
เขามองดูสายตาที่เย็นชาของเธอ รู้ว่าเรื่องนี้คงเก็บซ่อนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ทำได้เพียงยอมรับ “ใช่”
“นายปลอมแปลงมัน”วารุณีถามต่อ
พงศกรพยักหน้า “ใช่ ขอโทษด้วยวารุณี เพราะตอนนั้น……”
“ฉันไม่สนใจว่ามันเป็นเพราะอะไร พงศกร นายเองก็รู้มาตลอดว่าเด็กทั้งสองคนนั้นเฝ้ารอการมีตัวตนอยู่ของพ่อมานานแค่ไหน เพราะตอนที่อยู่ต่างประเทศพวกเขาก็ถูกรังแกเพราะเรื่องนี้ ฉันไม่หวังว่าเด็กๆจะได้เจอกับนัทธีหรือไม่ เพราะนัทธีในตอนนั้นก็หมั้นหมายกับพิชญาอยู่ ฉันไม่มีทางพาเด็กๆไปหาเขาอยู่แล้ว ฉันหวังแค่……”
น้ำเสียงของวารุณีก็สะอื้นขึ้นมา“ฉันหวังแค่ให้ลูกได้รู้ว่าพวกเขาก็มีพ่อเหมือนกัน จะได้ทำความรู้จักกับพ่อหรือไม่มันไม่ได้สำคัญอะไรเลย แต่นายกลับทำลายความหวังของอารัณ”
“วารุณีฉันขอโทษ” พงศกรก้มหน้าลง พูดขอโทษออกมาอีกครั้ง“ ฉันยอมรับว่าตอนนั้นฉันเห็นแก่ตัว เพราะตอนนั้นฉันรักเธอ ฉันกลัวว่าเธอจะพาเด็กๆไปหานัทธี กลัวว่าจะเสียเธอไป ไม่เคยคิดว่าการกระทำของฉัน จะทำให้อารัณต้องผิดหวัง”
“ช่างมันเถอะ เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว ฉัน……”
“คุณมาพูดเรื่องพวกนี้กับเขาทำไม ?”ยังไม่ทันที่วารุณีจะได้พูดจบ ก็ถูกนัทธีพูดขัดจังหวะขึ้นมา
วารุณีกับพงศกรต่างหันไปมอง
นัทธียืนมือล้วงกระเป๋า ขาที่เรียวยาวเดินก้าวเข้ามา จากนั้นก็คว้าไปที่แขนของวารุณี สายตาคมเข้มจ้องมองไปยังพงศกร“ ฉันเห็นแก่ที่นายคอยดูแลวารุณีและลูกๆตอนอยู่ที่ต่างประเทศ ดังนั้นเรื่องนี้ฉันจะไม่ถือสาเอาความอะไรอีก นายก็ทำตัวดีๆแล้วกัน”
พูดจบ เขาก็ละสายตาออก มองไปยังวารุณี “เราไปกันเถอะ”
วารุณีพยักหน้าให้
ทั้งสองก็เดินจากไป
พงศกรมองแผ่นหลังของพวกเขา ถอดแว่นตาออก มุมปากก็ค่อยๆยกหยักขึ้น ใบหน้าไม่หลงเหลือความรู้สึกผิด มีเพียงเงาของความน่ากลัว
ในตอนนี้เอง โทรศัพท์มือถือของพงศกรก็ดังขึ้น เขาหยิบออกมาแล้วมองดู เป็นเบอร์แปลกๆที่ไม่ได้ทำการบันทึกเอาไว้
เห็นชัดว่าเขารู้ว่าคนที่โทรเข้ามานั้นเป็นใคร กดรับด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ “มีอะไร?”
น้ำเสียงที่แหบแห้งของนวิยาก็ดังลอดเข้ามา“พงศกร นายช่วยคิดหาวิธีส่งฉันไปต่างประเทศหน่อย ตอนนี้ทั้งจังหวัดจันทร์ถูกนัทธีปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว ฉันไม่มีทางหนีออกไปได้เลย ทางฝั่งตระกูลผดุงธรรมก็ส่งคนมาช่วยฉันไม่ได้ ตอนนี้ฉันหลบอยู่ใต้สะพานมาสองสามวันแล้ว จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว นายต้องหาทางส่งฉันไปต่างประเทศให้ได้”
ที่นี่เธอไม่สามารถที่จะอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว หาถูกนัทธีจับตัวได้ เธอจบเห่แน่
มีเพียงไปต่างประเทศเท่านั้น เธอถึงจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้
“ทำไมฉันต้องส่งเธอไปต่างประเทศด้วย ? หลังจากที่เธอออกมา ฉันช่วยเหลือเธอหลบหนีการจับกุมของนัทธีก็ถือว่ามีน้ำใจมากแล้ว เธอยังจะมาขอให้ฉันช่วยเธอหลบหนีออกไปจากต่างประเทศอีกงั้นเหรอ ?”
ใบหน้าของพงศกรเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความเย้ยหยัน
“นี่นายหมายความว่า นายจะไม่ช่วยฉันใช่ไหม ?” นวิยาแผดน้ำเสียงแหลมคมออกมา
“ไม่ช่วย ถ้าเธอจะหาคนช่วย ก็ไปหานิรุตติ์ เธอกับเขาต่างหากที่เป็นพันธมิตรกัน หรือไม่ใช่?” พงศกรสวมแว่นกลับไปอีกครั้ง แล้วพูดเสียงเรียบ