หลังจากนั้นก็เรียกบอร์ดี้การ์ดมาแล้วพาคนที่อยู่บนพื้นนั้นออกไป
ตอนที่พาออกไปนั้น คนๆนั้นก็ยังคงวิงวอนขอร้องอยู่
แต่นัทธีและมารุตไม่มีใครสนใจเลย
“ให้คนซ่อนกล้องเอาไว้ในบริษัทอีก ฉันเชื่อว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย” นัทธีออกคำสั่ง
มารุตตอบรับ “ผมทราบแล้วครับ”
นัทธีโบกมือ “นายออกไปเถอะ”
“ครับ”
หลังจากมารุตไปแล้ว นัทธีก็เดินไปยังห้องพักผ่อนของตัวเอง หลังจากนั้นก็เปิดตู้เซฟที่อยู่ในห้องพักผ่อน ด้านในนอกจากของมีค่าอย่างพวกเครื่องประดับอัญมณีแล้ว ยังมีซองเอกสารอยู่อีกหนึ่งซอง
เขาเอาซองเอกสารนั้น แล้วดึงสิ่งที่อยู่ในนั้นออกมา หนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นของอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ท
ครั้งที่แล้ว เขาไปที่อสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทมาแล้วรอบหนึ่ง หาคนที่เป็นผู้จัดการ แล้วถามอีกฝ่ายหนึ่งว่ารู้ถึงสาเหตุที่มารดาทิ้งหุ้นนี้เอาไว้ให้นิรุตติ์หรือเปล่า
แต่ทางฝ่ายนั้นกลับไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าเรื่องที่นิรุตติ์เป็นประธานกรรมการของวันเฮิร์ท มารดาเป็นคนพูดออกมาเอง
เห็นได้ว่า มารดาเต็มใจที่จะเอาอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทให้กับนิรุตติ์จริงๆ
ในใจของนัทธีนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้สึกคิดเล็กคิดน้อย แต่เขายิ่งอยากรู้ถึงสาเหตุที่มารดาเอาวันเฮิร์ทให้นิรุตติ์มากกว่า
เพียงแต่เขาหาตัวนิรุตติ์ไม่เจอ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้นิรุตติ์ออกมาได้ ถ้าใช้ขงเบ้งไม่ได้ ก็จะต้องใช้หนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นนี้
เพียงแค่เขากระจายข่าวออกไป ถึงการประมูลหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้น นิรุตติ์ก็คงจะปรากฏตัวออกมา
ถึงแม้นิรุตติ์จะไม่ปรากฏตัวออกมาเอง ก็จะต้องส่งคนมาอย่างแน่นอน เพียงแค่จับตัวคนที่เขาส่งมาได้ ก็สามารถหาตัวนิรุตติ์ได้เช่นกัน
คิดเช่นนี้แล้ว นัทธีก็เอาหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นยัดเข้าไปในซองเอกสาร แล้วถือเดินออกไป
วันรุ่งขึ้น ที่สนามบิน
วารุณีเข็นรถเข็นขนาดใหญ่ กำลังร่ำลานัทธีกับปาจรีย์อยู่
เด็กทั้งสองคนที่นั่งอยู่ในรถเข็นนั้นก็กำลังโบกมือลานัทธีด้วยเช่นกัน
“คุณพ่อคะ บ๊ายบายค่ะ สุดสัปดาห์อย่าลืมมาหาพวกหนูกับหม่ามี๊ด้วยนะคะ” ไอริณเอ่ยพูดขึ้นพลางโบกมือเล็กๆ
อารัณพยักหน้าลงด้วย “คุณพ่อจะต้องมานะครับ”
“พ่อไปอยู่แล้วครับ” นัทธีย่อตัวลงแล้วกอดลูกทั้งสองคนเอาไว้
เขาจะไม่ไปได้อย่างไรกัน ภรรยาและลูกของเขาอยู่ต่างประเทศ เขาจะต้องไปอยู่แล้ว
วารุณีไม่รบกวนความใกล้ชิดของลูกทั้งสองคนกับนัทธี จึงปล่อยมือจากรถเข็นนั้น แล้วมายืนข้างๆปาจรีย์ “ปาจรีย์ บริษัทฝากเธอด้วยนะ”
“วางใจเถอะ ฉันรู้แล้วน่า” ปาจรีย์พยักหน้าลง สายตามองไปยังนัทธีกับเด็กทั้งสองคน “ว่ากันจริงๆนะวารุณี ตอนที่เธอบอกฉันว่าประธานนัทธีเป็นพ่อแท้ๆของเด็กสองคนนี้ ฉันยังตกใจมาตลอดจนถึงตอนนี้เลยนะ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอตรวจดีเอ็นเอไปแล้วก็ว่าไม่ใช่ ทำไมตอนนี้จู่ๆถึงใช่ขึ้นมาได้ยังไงกัน”
“เพราะว่าพวกฉันถูกคนวางแผนคิดร้ายไง” วารุณีกล่าว
“คนที่คิดร้ายกับพวกเธอนี่เลวจริงๆเลยนะ” ปาจรีย์ถอนหายใจออกมา
วารุณีหัวเราะ “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ดูแลตัวเองดีๆนะ คิดถึงพวกเรา ก็ไปหาพวกเราที่ต่างประเทศได้”
“ได้สิ เธอเองก็เหมือนกัน ดูแลตัวเองดีๆนะ” ปาจรีย์ว่าแล้วก็อ้าแขนอยากจะกอดเธอ
แต่ยังไม่ทันได้กอดนั้น วารุณีก็ถูกนัทธีดึงตัวไปเสียก่อนและยังส่งสายตาเย็นชาให้กับปาจรีย์อีกด้วย
ในใจของปาจรีย์นั้นมองบนอย่างเอือมระอา
ประธานนัทธีนี่ก็จริงๆเลย ขี้หึงเกินไปแล้วหรือเปล่า เธอก็แค่อยากจะกอดวารุณีเท่านั้นเอง? แค่นี้ก็ไม่ได้
ไม่เคยเห็นผู้ชายที่ใจแคบขนาดนี้มาก่อนเลย
วารุณีเองก็ถูกการแสดงความเป็นเจ้าของนี้ของนัทธีทำเอาพูดไม่ออกเช่นกัน เธอตีลงบนหลังมือของเขา “เอาล่ะค่ะ ไม่ต้องหึงแล้ว ปาจรีย์เป็นผู้หญิงนะ”
“ผู้หญิงก็ไม่ได้ครับ” นัทธีเอาผมทัดหูเธอ “ถึงแล้วอย่าลืมโทรหาผมนะ”
“ค่ะ” วารุณีพยักหน้า
เวลานี้ เริ่มประกาศแจ้งขึ้นเครื่องแล้ว
วารุณีกอดนัทธี เอาหน้าแนบอยู่ตรงหน้าอกของเขา ได้ยินเสียงหัวใจของเขากำลังเต้น เอ่ยขึ้นอย่างทำใจไม่ได้อยู่บ้าง : “พวกเราไปแล้วนะคะ”
“ไปเถอะครับ” นัทธีก้มลงจูบบนศีรษะของเธอ
วารุณีสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยเขา แล้วหันกลับไปจะเข็นเด็กๆทั้งสองคนเพื่อไปตรวจสอบตั๋วเครื่องบิน
“วารุณี” วารุณีเพิ่งจะเดินไปได้ก้าวเดียว ก็ถูกนัทธีเรียกเอาไว้
วารุณีชะงักเท้าลงแล้วหันกลับมา “อะไรหรือคะ?”
นัทธีก้าวไปทางด้านหน้า มือหนึ่งโอบเอวเธอเอาไว้ อีกมือหนึ่งก็เชยคางเธอขึ้นมา แล้วก้มลงจูบบนริมฝีปากของเธอ
ปาจรีย์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ด้วยใบหน้าที่มีความตื่นเต้น
ส่วนอารัณที่อยู่บนรถเข็นนั้นก็รีบปิดตาอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ลืมที่จะปิดตาของน้องสาวตัวเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน
ทั้งสองคนจูบกันอยู่ประมาณสองนาที แล้วนัทธีก็ปล่อยวารุณี
ปาจรีย์ส่งเสียงจุ๊ๆออกมา
สองคนนี้ จูบกันอย่างรุนแรงมากเลย ริมฝีปากแดงไปหมดแล้ว
และยังดูดดื่มอีกด้วย นี่มันเผ็ดร้อนเกินไปแล้ว!
ในใจของปาจรีย์ร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น
วารุณีและนัทธีไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว แต่ต่อให้รู้ ก็คาดว่าไม่ได้สนใจอยู่แล้วเช่นกัน
วารุณีมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง “ไปจริงๆแล้วนะคะ”
“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้าลง
วารุณีปล่อยคอของชายหนุ่ม แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว หันหลังไป เข็นรถเข็นเดินไปทางประตูที่ตรวจเช็คตั๋ว
นัทธีก็มองแม่ลูกสามคนห่างออกไปอยู่แบบนี้
ปาจรีย์ยืนอยู่ทางด้านหลังเขา “ประธานนัทธีคะ ถ้าหากคุณทำใจไม่ได้ ก็ไปด้วยเลยสิคะ ไปส่งวารุณีกับอารัณไอริณให้ถึงที่ต่างประเทศ แล้วคุณก็ค่อยรีบกลับมา”
สองคนนี้นี่ก็จริงๆเลย ไม่ใช่ว่าจะจากลากันชั่วนิรันดร์เสียหน่อย ทำไมจะต้องมีท่าทางที่ดูปลุกอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้กัน
นัทธีหันมามองเธอเล็กน้อย
เธอทำใจดีสู้เสือขึ้นมาทันที “ถือว่าฉันไม่ได้พูดก็แล้วกัน แหะๆ ถือว่าฉันไม่ได้พูดนะคะ”
“ไม่ คุณพูดแล้ว ก็พูดไม่ผิดนี่” เป็นเรื่องยากที่นัทธีจะมีสีหน้าดีๆให้กับเธอ หลังจากนั้นขายาวๆก็ก้าวเดินตามไปทางวารุณี
ปาจรีย์กะพริบตาด้วยความตกใจ “ไม่ใช่มั้ง ฟังจริงๆหรือเนี่ย?”
นัทธีตามวารุณีทันอย่างรวดเร็ว
วารุณีที่เพิ่งจะเดินมาถึงทางเข้าVIP ได้ยินเสียงของเขาที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง จึงหันไปมอง แล้วอ้าปากด้วยความประหลาดใจ “นัทธี คุณมาได้ยังไงคะ?”
“ผมไปส่งพวกคุณที่ต่างประเทศก่อนแล้วค่อยกลับมาดีกว่าครับ” นัทธีเอ่ยขึ้น แล้วแย่งรถเข็นในมือมา
วารุณีถูกเขาดันไปข้างๆ “คุณพูดจริงไหมคะ?”
เด็กทั้งสองคนมองเขาด้วยความประหลาดใจด้วยเช่นกัน
“คุณพ่อ จะไปส่งพวกเราหรือครับ?” อารัณเอ่ยถามขึ้น
นัทธีลูบศีรษะของเขา “ใช่ลูก”
“ถ้าอย่างนั้นโปรแกรมช่วงบ่ายของคุณจะทำยังไงคะ ฉันจำได้มารุตบอกว่า ตอนช่วงบ่ายคุณจะต้องไปตรวจตราบริษัทสาขาย่อยด้วยนี่คะ” วารุณีเอ่ยถาม
แน่นอนว่าเธอดีใจอยู่แล้วที่เขาจะไปด้วยกันกับพวกเธอ
แต่เธอก็ไม่ได้อยากให้เขาต้องทิ้งงานเพื่อไปส่งพวกเธอแม่ลูก ต่อให้เขาจะเป็นทั้งประธานกรรมการและประธานของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป หุ้นส่วนของบริษัทพวกนั้นจะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน
“ไม่เป็นไรครับ เลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้ก็ได้แล้ว” นัทธีเอ่ยพูดขึ้นอย่างไม่สนใจ
วารุณีขมวดคิ้วขึ้น “แต่แบบนี้ไม่ค่อยดีเลยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมสามารถให้รองประธานไปแทนผมได้ครับ บางครั้งก็ปล่อยอำนาจให้คนเบื้องล่างบ้าง พวกเขาก็จะยิ่งมีจิตใจที่ซื่อสัตย์มากขึ้นด้วย” นัทธีเอ่ยขึ้น
วารุณีพยักหน้าลง “ก็ได้ค่ะ ฉันเกลี้ยกล่อมคุณไม่ได้อยู่แล้ว แต่คุณยังไม่ได้ซื้อตั๋วเครื่องบินเลย ตอนนี้ก็สิ้นสุดการซื้อตัวแล้วด้วย”
“ไม่ซื้อครับ เครื่องบินโดยสารส่วนตัวลำเล็กของผมจอดอยู่ที่สนามบินนี่ครับ” ว่าแล้วมือหนึ่งของนัทธีก็เข็นรถเข็นไป แล้วอีกมือหนึ่งก็จับมือวารุณีเอาไว้ “ไปกันเถอะครับ”
วารุณีมองเขา ทั้งขำทั้งรู้สึกซาบซึ้ง
ช่างแล้วช่างแล้ว เขาอยากจะไปส่ง ก็ให้เขาไปส่งเถอะ
อีกทั้งลูกทั้งสองคนก็ดีใจมากด้วยเหมือนกัน
ครอบครัวสี่คนขึ้นเครื่องบินส่วนตัวกันอย่างมีความสุข
และในขณะเดียวกันเวลานี้ ทางด้านล่างดาดฟ้าของเรือประมงลำหนึ่งที่ท่าเรือ นวิยามองดูแท็งก์น้ำขนาดเล็กๆใหญ่ๆบริเวณรอบๆด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว โมโหเสียจนทั้งร่างกายสั่นเทาไปหมด
“นิรุตติ์คนสารเลวนั่น ไม่คิดว่าจะให้ฉันมาซ่อนตัวอยู่ในเรือประมงที่ลักลอบเข้าเมืองมาแบบนี้ และยังต้องมาอยู่กับพวกของทะเลพวกนี้อีก” นวิยามองดูกุ้งมังกรที่กำลังแหวกว่ายไปมาอยู่ในแท็งก์น้ำ จนเธอแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว
ที่นี่ทั้งเหม็นทั้งสกปรก แย่ยิ่งกว่าอุโมงค์ใต้สะพานเสียอีก นิรุตติ์คนสารเลวนั่น จะต้องตั้งใจอย่างแน่นอน ทั้งๆที่มีเรืออื่นที่สามารถพาเธอไปได้ แต่ก็จะต้องพาเธอมาบนเรือประมงนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจงใจจะทรมานเธอทำให้เธออับอาย!