สุภัทรหลับตาลง “ใช่ จริงๆมันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่ฉันหลบเลี่ยงภาษี แต่เพราะทำบัญชีปลอมออกมาได้ดี ดังนั้นทางหน่วยงานก็ถึงตรวจสอบเจอแค่ครั้งเดียว ”
ตามหลักกฎหมายในประเทศ หากเป็นการหลบเลี่ยงภาษีครั้งแรก เสียเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าก็จะไม่มีปัญหาอะไร
แต่ของเขามันไม่ใช่ครั้งแรก หากแต่หลายครั้งมาก หากทางหน่วยงานรู้ว่าเขาทำเป็นอาจิณ ต้องสั่งจำคุกแน่นอน
เขาไม่อยากติดคุก ดังนั้นจึงต้องยอมจำนน ทำตามที่ขยานีสั่ง
ใครใช้ให้ขยานีเป็นคนร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขาล่ะ เรื่องที่คนอื่นไม่รู้ ขยานีต้องรู้แน่นอน
“หน้าไม่อาย พวกคุณช่างไร้ยางอายจริงๆ!”วารุณีก่นด่าขึ้นมาอีกครั้ง
สุภัทรยิ้มอย่างขมขื่น
ใช่ เขามันไร้ยางอายจริงๆ ? ตอนก่อตั้งบริษัทศรีสุขคํากรุ๊ป ล้วนต้องอาศัยวรยา
แต่สุดท้ายเขาก็ไล่วรยาออก ไม่ไร้ยางอายแล้วจะเรียกว่าอะไร
มีจุดจบอย่างทุกวันนี้ มันก็สมควรกับเขาแล้ว
“ดังนั้นที่คุณบอกความจริงกับเราวันนี้ คุณต้องการอะไร ผมไม่เชื่อว่าคุณไม่มีจุดประสงค์อื่นหรอก ไม่งั้นคุณคงไม่เลือกเอาเวลานี้มาบอกพวกเราหรอกใช่ไหม เมื่อก่อนไม่เคยคิดจะบอก หืม?” นัทธีหลุบตาลง แล้วถามอย่างเย็นชา
สุภัทรหัวเราะเยาะตัวเอง“ ถูกเดาออกจนได้ ใช่ ที่ฉันบอกพวกแก มันมีจุดประสงค์จริงๆ จุดประสงค์ของฉันง่ายมาก แก้แค้นแทนฉัน ฉันคงอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะฉะนั้นฉันจึงต้องวานให้พวกแกมาทำแทน ฉันหวังว่าพวกแกจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงอย่างขยานีมีจุดจบที่ดีไปได้”
นัทธีมองไปยังวารุณี “คุณมีความคิดเห็นอย่างไร?”
“ได้ ฉันรับปาก ”วารุณีสูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับอารมณ์ที่มีภายใน แล้วตอบตกลง
ก่อนที่เธอจะตัดสินใจ เอาความลับของขยานีมาบอกให้สุภัทรได้รู้ เธอก็คาดการณ์เอาไว้แล้ว ว่าสุภัทรจะต้องบอกเธอ เกี่ยวกับความจริงเรื่องการตายของแม่เธอ
เป็นไปตามคาด เธอเดามันถูก
สุภัทร บอกความจริงเรื่องการตายของแม่เธอกับเธอจริงๆ
และความจริงนี้ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ยากที่จะยอมรับมันได้จริงๆ
เมื่อนัทธีได้ยินที่วารุณีรับปาก ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
เพราะเขารู้ดี ต่อให้เขาจะไม่รับปาก เขาก็ไม่ปล่อยขยานีไว้แน่
สุภัทรหัวเราะออกมา และหัวเราะอย่างมีความสุข“ ขอบใจแกนะวารุณี ยังมีอีกเรื่อง หลักฐานที่ขยานีผลักแม่ของแกฉันก็มีเหมือนกัน เป็นภาพของกล้องวงจรปิด ตอนนี้ฉันเก็บมันไว้ในตู้เซฟของธนาคาร รหัสผ่านคือวันเกิดของฉัน ถึงตอนนั้นแกก็ไปเอาแล้วกัน”
“นี่คุณยังมีแผนสำรองอีกเหรอ ”วารุณียิ้มเยาะ
สุภัทรไม่ได้รู้สึกโกรธ“จะเรียกว่าแผนสำรองก็คงไม่ได้ เรียกว่าบังเอิญจะดีกว่า ช่วงนั้น ฉันสังเกตเห็นว่าของมีค่าบางอย่างของฉันหายไป สงสัยว่าเป็นฝีมือของคนใช้ แต่ไม่มีหลักฐาน จึงแอบติดกล้องวงจรปิด อยากจะเก็บหลักฐานของคนใช้ที่มาขโมยของ ไม่คิดว่าจะเก็บภาพของขยานีที่ผลักวรยาได้ ”
“แบบนี้ ขยานีก็ไม่รู้นะสิว่าคุณก็เก็บงำความลับของเธอเอาไว้ด้วยเหมือนกัน ? ”วารุณีเม้มปาก
สุภัทรตอบกลับ“ใช่ ตอนที่ฉันติดตั้งกล้องวงจรปิด เธอไม่อยู่บ้าน ออกไปเล่นไพ่ข้างนอก ภายหลังตอนที่ฉันช่วยเธอทำลายหลักฐาน ก็จึงแอบถอดกล้องวงจรปิดออก แล้วฝากกล้องวงจรปิดนั้นไว้ที่ธนาคาร”
ที่เขาทำแบบนั้น ก็เพราะต้องการหาทางรอดให้กับตัวเอง ในเมื่อขยานีเอาเรื่องหนีภาษีมาขู่เขา เขาก็ย่อมต้องกุมความลับของขยานีเอาไว้ด้วย
ต่อไปหากขยานีให้เขาทำอะไรอีก เขาก็สามารถใช้สิ่งนี้มาข่มขู่เธอได้
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอามันมาข่มขู่ขยานี ขยานีก็ร่วมมือกับชายชู้นั้น วางยาเขา ทำเอาเขาลุกไม่ขึ้น
เรื่องความชั่วร้าย เขาเทียบไม่ได้กับขยานีเลย
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง งั้นฉันจะบอกเรื่องหนึ่งให้คุณได้รู้ ของมีค่าในห้องหนังสือคุณไม่ใช่คนใช้ที่ขโมยมันไป แต่เป็นขยานีที่ขโมยมัน เงินเดือนแต่ละเดือนของปวิชก็ไม่เท่าไร จะซื้อรถหรูกับคอนโดได้ยังไง คุณลองคิดดู ว่ารถหรูกับคอนโดของปวิช มันมาจากไหน”
หลังจากที่พูดจบ วารุณีก็กดตัดสายทิ้งไป จากนั้นก็พิงไปที่อ้อมแขนของนัทธี ร่างทั้งร่างเหนื่อยล้าอ่อนแรงไปหมด“นัทธี ฉันคิดถึงแม่จัง”
นัทธีก้มศีรษะแล้วจูบไปที่ผมของเธอ“ ถ้าคิดถึง พรุ่งนี้ก็ไปหาท่านสิ”
“อืม”วารุณีพยักหน้า และไม่ได้พูดอะไรอีก
นัทธีเองก็ไม่ได้พูดอะไรด้วยเช่นกัน
เขารู้ ว่าตอนนี้เธอต้องการจะอยู่เงียบๆ
เพราะเรื่องที่สุภัทรพูดไปเมื่อครู่ มันส่งผลกระทบรุนแรงกับเธอมาก
เธอต้องการเวลาให้ตัวเองผ่อนคลายลง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน วารุณีผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของนัทธี หางตายังมีคราบน้ำตาซึมอยู่
นัทธีก้มศีรษะลงแล้วจูบซับคราบน้ำตาที่หางตาเธอ จากนั้นก็วางเธอลงบนเตียง ห่มผ้าให้เธอ แล้วเดินออกจากห้องอย่างเงียบๆ ไปยังห้องหนังสือ
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่วารุณีตื่นขึ้นมา นัทธีก็ไม่อยู่แล้ว
เธอล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็ลงไปยังชั้นล่าง
นัทธีไปบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปแล้ว ได้ยินว่ามีประชุมที่สำคัญมาก ดังนั้นก็จึงออกจากบ้านไปแต่เช้า
ในห้องอาหารจึงมีเพียงศรัณย์และลูกอีกสองคน
วารุณีเดินมาด้วยสภาพที่หงอยเหงาเศร้าซึม ศรัณย์ดึงเก้าอี้ออกให้เธอ “พี่ครับ เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยหรือยังไง ?”
ลูกทั้งสองคนก็มองมาที่เธอด้วยเช่นกัน
เธอเหยียดปากเล็กน้อย พยายามจะยิ้ม แต่ก็ยิ้มไม่ออก ทำได้เพียงตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง“ฝันร้ายทั้งคืน”
“ฝันร้ายอะไรครับ?”ศรัณย์ถามด้วยความสงสัย
วารุณีส่ายหัว “จำไม่ได้แล้ว”
“ในเมื่อจำไม่ได้แล้ว ก็กินข้าวเช้ากันเถอะ กินเสร็จผมจะแวะไปที่โรงพยาบาล” ศรัณย์ยื่นตะเกียบให้เธอ
วารุณีรับมันมา แล้วจึงเริ่มกินข้าว
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เธอถึงกับกินอะไรไม่ลงจริงๆ กินไปเพียงนิดเดียวก็ไม่ได้กินมันอีก
หลังอาหาร ศรัณย์ก็เตรียมตัวที่จะออกจากบ้าน
วารุณีครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา จึงได้ร้องเรียกเขาเอาไว้“ศรัณย์ รอเดี๋ยว พี่มีเรื่องจะบอกเรา ”
“เรื่องอะไรครับพี่ ? ”ศรัณย์หยุดเดิน แล้วหันหลังกลับมาถาม
วารุณีมองไปที่เด็กทั้งสองคน “ป้าส้ม พาเด็กๆไปเล่นข้างนอกก่อนนะคะ ”
ป้าส้มรู้ว่าเธอต้องการจะคุยกับศรัณย์เพียงลำพัง พยักหน้าให้“ได้ค่ะ จะพาออกไปเดี๋ยวนี้ ”
เด็กทั้งสองคนไม่อยากที่จะออกไปเท่าไร
“หม่ามี๊ เราฟังด้วยไม่ได้เหรอครับ ?” อารัณมองมาที่วารุณี
วารุณีลูบไปที่ศีรษะของเขา “ลูกอยู่ฟังด้วยได้อยู่แล้ว แต่หากให้ลูกอยู่ด้วย แล้วให้ไอริณไปคนเดียว ไอริณคงไม่ยอมแน่ เพราะฉะนั้นลูกจึงต้องออกไปพร้อมกับน้อง แต่ลูกวางใจได้ อีกสองวันลูกก็จะรู้ว่าเรื่องที่หม่ามี๊คุยกับคุณน้านั้นมันคือเรื่องอะไร”
อารัณฉลาดมาก ได้ยินเรื่องสกปรกเหล่านี้ ย่อมไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว
แต่ไอริณไม่เหมือนกัน จิตใจของไอริณบริสุทธิ์ เธอไม่อยากให้ไอริณต้องฟังเรื่องสกปรกแบบนี้ตั้งแต่ยังเด็ก
มันไม่เป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของไอริณ
อารัณพยักหน้าให้ด้วยความเข้าใจ “ ผมรู้แล้วครับ งั้นหม่ามี๊คุยกับคุณน้าไปแล้วกันนะ ผมจะออกไปเล่นกับไอริณก่อน ”
พูดจบ เขาก็พากันเดินจูงมือ ไปที่สวนหลังบ้าน
ป้าส้มก็เดินตามไป เพื่อไปดูแลพวกเขา
ในห้องนั่งเล่นจึงเหลือเพียงวารุณีกับศรัณย์สองคน
วารุณีหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดขึ้นมาอย่างช้าๆว่า“ศรัณย์ แม่ไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ แต่ถูกเขาฆ่า ”
“อะไรนะ?”สีหน้าศรัณย์แน่นิ่งไป
วารุณีมองมาที่เขา“เมื่อคืนสุภัทรโทรมา……”
เธอเล่าเรื่องที่ได้คุยกันเมื่อคืนนี้ออกมาอย่างละเอียด
หลังจากที่ศรัณย์ฟังจบ ใบหน้าที่อ่อนโยนและสุภาพของเขา เป็นครั้งแรกที่มีความเกลียดชังอย่างรุนแรงปรากฏ
“เขาสมควรตายจริงๆ!”ศรัณย์กำหมัดแน่นทุบลงบนโซฟา
“ใช่ ดังนั้นที่เขามีสภาพแบบนี้ ก็สมควรแล้ว ”วารุณีพยักหน้าให้อย่างเห็นด้วย
เดิมทีเรื่องพวกนี้เธอไม่อยากจะบอกศรัณย์ให้ได้รู้
แต่แล้วก็มาคิดว่าศรัณย์ก็โตแล้ว จะยังมองเขาเป็นเด็กต่อไปไม่ได้แล้ว อีกอย่างเขาก็เป็นลูกชายของแม่ มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าแม่ของเขานั้นตายยังไง
ดังนั้น เธอจึงได้เรียกเขาไว้ แล้วบอกเล่าเรื่องราวให้เขาได้รู้
“พี่ครับ แล้วพี่จะไปธนาคารเอาภาพกล้องวงจรปิดของสุภัทรไหม?”ศรัณย์สูดหายใจเข้าลึก เช็ดน้ำตาออก และถามด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
วารุณีพยักหน้า“ไปสิ มีเพียงได้ของสิ่งนั้นมา จุดจบของขยานีถึงจะสาสม 。”
“ผมจะไปกับพี่ ”ศรัณย์พูดอย่างหนักแน่น
วารุณีส่ายหัว “ไม่ต้อง พี่จะไปเอง เราไปดูสุภัทรที่โรงพยาบาลเถอะ ”
“ก็ได้ครับ”ศรัณย์เชื่อฟังเธอมาแต่ไหนแต่ไร และครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเหมือนกัน