วารุณีร้องไห้ออกมาอย่างไร้สุ้มเสียงอยู่หลายนาทีกว่าความรู้สึกของเธอจะเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย
เธอยังคงไม่ยอมออกมาจากอกของนัทธี เธอเพียงหลับตาซบอยู่ในอกของนัทธี จากนั้นกล่าวออกมาช้าๆ “ฉันคิดเอาไว้แล้วล่ะว่าอีกไม่กี่วันนี้คุณสุภัทรคงจะไม่อยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอเวลานั้นมาถึงจริงๆ จะช็อกขนาดนี้”
“ผมรู้” นัทธีตบหลังของเธอพลางพยักหน้า
วารุณีกระแอมสองครั้งก่อนจะกล่าวอีกว่า “ฉันเตรียมใจเอาไว้แต่แรกแล้วว่าถ้าเขาตายฉันจะไม่เสียใจและไม่เจ็บปวดเพราะเขา และยิ่งไม่มีทางร้องไห้เพราะเขาแน่ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ พอเขาจากไปแล้ว ฉันก็เสียใจและร้องไห้อยู่ดี”
“เพราะว่าเขาคือพ่อของคุณไง ในใจของคุณแคร์เขาอยู่เสมอแหละ คุณเกลียดเขาแต่ในทางเดียวกันคุณก็รักเขาด้วย” นัทธีก้มมองเธอแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
วารุณีหัวเราะ “ใช่ค่ะ แต่ปกติความรักนี้ถูกความเกลียดบดบังเอาไว้หมด เลยมองไม่เห็นและไม่รู้สึก แต่ตอนนี้พอเขาตายแล้ว คนตายหนี้สินก็ตายตาม สิ่งที่ตามเขาไปคือความแค้นของฉันที่หายไปด้วย สุดท้ายความเกลียดที่กดทับความรักเอาไว้ก็เลยปะทุออกมา”
เธอจะไม่รักสุภัทรได้อย่างไร
นั่นคือพ่อแท้ๆ ของเธอ แม้ว่าพ่อคนนี้จะไม่รักเธอกับศรัณย์มากเท่ากับรักพิชญา
ทว่าช่วงเวลาผ่านมายี่สิบปี การปฏิบัติของสุภัทรที่มีต่อเธอและศรัณย์ก็แสดงถึงความรักอยู่บ้าง เรื่องนี้ไม่อาจปฏิเสธได้
“อยากนอนต่ออีกหน่อยไหมล่ะ” นัทธีถาม
วารุณีสูดหายใจลึกพลางพยักหน้า “ค่ะ ถึงโรงพยาบาลแล้วค่อยเรียกฉันนะคะ”
เมื่อสุภัทรตายไป แม้ว่าอาจจะไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความรู้สึกของเธอเท่ากับตอนที่แม่ของเธอตาย แต่ความเสียใจก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันนัก
เธอต้องการปรับความรู้สึกสักหน่อย
นัทธีเพียงตอบรับว่า “ตกลง”
วารุณีขดตัวอยู่บนเบาะคนขับแล้วหลับตาลง
แม้ว่าจะบอกว่านอน แต่จริงๆ ก็เป็นแค่การงีบเท่านั้น ขนตาที่สั่นไหวของเธอเป็นเครื่องบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอไม่ได้นอนและไม่ได้หลับ
จะนอนหลับได้อย่างไร พ่อของเธอตายทั้งคน เธอคงไม่ไร้หัวใจถึงขั้นไม่แยแสแบบนั้น
หัวใจของเธอไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น
นัทธีเองก็เข้าใจประเด็นนี้จึงไม่ได้รบกวน ได้แต่ขับรถไปเงียบๆ
เขาขับรถช้ามาก เดิมทีต้องใช้เวลาในการขับเพียงหนึ่งชั่วโมง แต่เขากลับใช้เวลาในการขับสองชั่วโมงกว่าจะไปถึงโรงพยาบาล
จากนั้นนัทธีจึงจะปลุกวารุณีให้ตื่น
วารุณีลืมตาขึ้น “ถึงแล้วเหรอ”
“ใช่” นัทธีพยักหน้า
วารุณีไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงขับรถไปเงียบๆ ลงจากรถแล้วเดินเข้าในโรงพยาบาล
เมื่อไปถึงห้องคนไข้ของสุภัทร ศรัณย์กำลังนั่งลงบริเวณระเบียงพลางหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาสัมผัส
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ศรัณย์จึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาแดงก่ำ “พี่ พี่เขย”
วารุณีพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นจึงเดินเข้าไปมองในห้องคนไข้
ห้องถูกเก็บกวาดทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เตียงผู้ป่วยก็ว่างเปล่าเช่นกัน
ศรัณย์ที่อยู่ข้างๆ เธอกล่าวว่า “หลังจากผมโทรหาพี่ โรงพยาบาลก็พาเขาเข้าไปในห้องดับจิตเลย”
วารุณีตอบรับคำหนึ่ง เนื่องจากไม่ได้แปลกใจกับคำตอบนี้
เธอเดาเอาไว้อยู่แล้ว
ผู้ป่วยที่เสียชีวิตในโรงพยาบาล โรงพยาบาลจะไม่ปล่อยไว้ในห้องคนไข้นานนัก แต่จะต้องย้ายไปยังห้องดับจิตทันที
ดังนั้นเมื่อเห็นห้องคนไข้ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เธอก็พอเดาได้แล้วว่าสุภัทรถูกส่งไปไว้ที่ไหน
“ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาได้สั่งเสียอะไรไว้บ้างไหม” นัทธียืนพิงข้างกำแพงแล้วหันไปถามศรัณย์
ศรัณย์พยักหน้า “บอกครับ เขาบอกว่าอยากให้พวกเราพาเขาไปฝังไว้ข้างหลุมศพแม่”
“อะไรนะ” วารุณีคิ้วขมวด “ฝังไว้ข้างๆ แม่เหรอ ฝันไปเถอะ ตอนอยู่เขาก็ทำผิดกับแม่ พอตายแล้วคิดจะไปเอาคืนอีกหรือไง”
นัทธีเองก็รู้สึกเช่นกันว่าสุภัทรไม่รู้จักอายไปหน่อย
ศรัณย์ส่ายหน้า “ไม่ใช่ เขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เขาบอกว่าเขาอยากชดใช้ความผิดให้แม่ ถ้าฝังเขาไว้ข้างๆ แม่ เขาจะได้ชดใช้ความผิดให้แม่ได้ตลอดเวลา”
“ฮึ ฉันว่านี่เป็นข้ออ้างของเขามากกว่า เขากลัวว่าฉันจะไม่ยอมตกลงทำตามที่เขาบอกเลยตั้งใจพูดแบบนี้” วารุณีถอนใจ
ศรัณย์มองที่เธอ “เอาไงดีพี่ พวกเราจะทำตามที่เขาสั่งดีไหม”
วารุณีเงียบ
นัทธีเอามือสอดไว้ในกระเป๋ากางเกง “ทำตามที่เขาบอกเถอะ”
วารุณีหันไปมองเขา
ศรัณย์เองก็มองตาม
นัทธียิ้ม “เขาบอกว่าอยากจะชดใช้ไม่ใช่เหรอ อย่างนั้นก็ปล่อยให้เขาได้ชดใช้ อีกอย่างผมเองก็คิดว่าแม่ยายก็อยากจัดการเขาเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้นวารุณีจึงหัวเราะออกมา “คุณก็จริงๆ เลยนะ เช่นนั้นก็เอาตามที่เขาสั่งก็แล้วกัน ต่อไปแม่จะได้รังแกเขาได้ทุกวัน”
“ดี” ศรัณย์ยิ้มออกมาเช่นกัน
วารุณีถามขึ้นอีกว่า “นอกจากนี้แล้ว เขายังพูดว่าอะไรอีกไหม”
ศรัณย์พยักหน้า “ยังพูดอีกว่าเรื่องที่เสียดายที่สุดคือไม่ได้ยินพวกเราเรียกเขาว่าพ่อ และไม่ได้ยินไอริณกับอารัณเรียกเขาว่าตา”
ริมฝีปากของวารุณีกระตุก “แล้วมีอะไรอีกไหม”
“ไม่มีแล้ว แต่เขาเอาอันนี้ให้ผม” ศรัณย์หยิบของที่มือของตัวเองเพิ่งสัมผัสโดนออกมา ของนั้นเป็นนาฬิกาข้อมือ
“ทำไมเขาต้องให้นาฬิกาข้อมือด้วย” วารุณัถาม
สายตาของนัทธีตกไปอยู่ที่นาฬิกาข้อมืออันนั้น “นี่เป็นนาฬิกาแบบโบราณ”
“อืม” ศรัณย์พยักหน้า “เมื่อเจ็ดปีก่อนไม่กี่เดือนก่อนที่พวกเราจะถูกเขาไล่ออกมาจากตระกูลศรีสุขคำ วันนั้นเป็นวันเกิดของผม ผมบอกเขาว่าผมอยากได้นาฬิกาแบบนี้บ้าง เพราะนาฬิกาแบบนี้มีราคาแพง แต่เขาไม่ตกลง ผมไม่คิดเลยว่าเมื่อครู่นี้เขากลับยอมยกให้ผม”
ของขวัญวันเกิดที่เขาต้องรอถึงเจ็ดปี กลับทำให้เขาประหลาดใจและสับสน
แปลกใจตรงที่ผ่านมาเจ็ดปีแล้วแต่ท่านสุภัทรยังจำเรื่องนี้ได้
สิ่งที่ทำให้สับสนคือ ท่านสุภัทรเกลียดตนกับพี่สาวมากขนาดนั้น แล้วทำไมต้องซื้อให้เขาด้วย
นัทธีรับนาฬิกามาจากมือของศรัณย์แล้วมองพิจารณาอย่างละเอียด “ไม่ใช่นาฬิกาใหม่ แต่ซื้อมาไว้พักหนึ่งแล้ว คนในอายุรุ่นราวของคุณสุภัทรไม่เหมาะกับนาฬิกาแบบนี้ แสดงว่านาฬิกาอันนี้คุณสุภัทรตั้งใจซื้อให้นาย”
ศรัณย์รับนาฬิกากลับมา “ใช่ครับ เขาบอกว่านาฬิกานี้ซื้อมาเมื่อหลายเดือนก่อน เจอพอดีเลยซื้อมา ที่ผ่านมาอยากซื้อให้ผมแต่หาโอกาสไม่ได้ จึงเลยเวลามาจนถึงป่านนี้ อีกอย่างเขายังอยากขอโทษผมด้วย”
“ทำไมต้องขอโทษล่ะ จะขอโทษเรื่องอะไรอีก” วารุณีถาม
ศรัณย์มองไปที่เธอแล้วตอบว่า “พ่อบอกว่า เมื่อเจ็ดปีก่อนตอนที่พี่ไปที่บ้านศรีสุขคำเพื่อขอเงินค่าผ่าตัดให้ผม เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่ให้ แต่จริงๆ แล้วเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ขยานีไม่ได้บอกเขา ถ้าเขารู้ เขาต้องให้แน่นอน แม้ว่าตอนนั้นเขาจะไม่ชอบพวกเราสองพี่น้อง แต่ยังไงพวกเราก็เป็นลูกของเขา เขาไม่มีทางปล่อยเราให้ตายคาเตียงผ่าตัดแน่นอน”
“……” วารุณีไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
คำขอโทษของคุณสุภัทร ทำให้เธอตกใจมาก
เธอเคยคิดว่าเขาใจดำถึงขั้นไม่ยอมให้เงินผ่าตัดแล้วยอมเห็นศรัณย์ตายไปต่อหน้าต่อตาได้
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ที่แท้พ่อไม่รู้เรื่องนี้……
“ช่างเถอะ” วารุณีถอนใจ “ตอนที่เขาเสียเป็นอย่างไรบ้าง ทรมานไหม”
ศรัณย์ยิ้ม “ไม่เลย เขามีความสุขดี”
“มีความสุข?” นัทธีเลิกคิ้ว
ศรัณย์ตอบรับคำหนึ่ง “อันที่จริงวันนี้เขามีความสุขทั้งวันเลย โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินข่าวว่าขยานีโดนตัดสินโทษ เขาหัวเราะเสียงดัง และยังให้ผมซื้อเบียร์มาให้ด้วยเพื่อดื่มฉลอง จากนั้น……”
“จากนั้นเป็นยังไงต่อ” วารุณีถาม
“จากนั้น เขาให้ผมติดต่อตำรวจให้เพื่อคุยกับขยานี ผมไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง แต่ว่าคุยกันนานมากทีเดียว หลังจากคุยกันเสร็จ เขาก็ดื่มเบียร์ต่อแล้วบอกว่าอยากนอนให้ผมกลับไปได้แล้ว หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง ตอนที่พยาบาลมาเดินตรวจจึงพบว่าเขาไม่หายใจแล้ว แต่เขาจากไปพร้อมรอยยิ้ม ผมเลยคิดว่าเขาไม่ทรมานครับ” ศรัณย์ตอบ