“ไม่ผิด” นัทธีพยักหน้า
วารุณีพรูลมหายใจ “สามหมื่นล้านดอลลาร์ และทั้งหมดล้วนเป็นเงินสด ถ้าแลกกับเงินของเรา ทั้งหมดก็เป็นแสนล้าน เขายังไม่รู้จักพอ ยังต้องการบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป แม้ว่ามูลค่าตลาดของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปจะอยู่ที่แสนล้านดอลลาร์ แต่หากเงินทุนหมุนเวียนไม่ถึงหมื่นล้านดอลลาร์ก็ไม่สามารถนำออกมาได้ คำนวณแล้ว ยังเป็นเขาที่ได้ประโยชน์มากกว่า”
“ใช่ แต่เขากลับไม่คิดอย่างนั้น เขาอยากได้ทุกอย่างที่มี” นัทธีลดสายตาลงน้ำเสียงบางเบา
สายตาวารุณีตกบนกองเอกสาร “ทรัพย์สินเหล่านี้ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นเกินจากสามหมื่นล้านเลย ทำไมมันถึงหดลงมากขนาดนี้”
“เขาใช้อย่างฟุ่มเฟือย” ในสายตาของนัทธีมีแววเยาะเย้ย “แม้ขงเบ้งจะได้รับเงินมากมาย แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปที่สามารถให้อำนาจแก่เขาได้ ดังนั้นเขาจึงต้องการสร้างบริษัทที่ไม่น้อยหน้าบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป แต่เขาไม่มีความสามารถเลย หลังจากลงทุนในทุกธุรกิจ ก็สูญเสียทั้งหมดไป”
“พรืด” วารุณีกลั้นหัวเราะไม่ได้ “ทำไมเขาเป็นแบบนี้ ไม่มีความสามารถ แต่มีหัวใจที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ก็ไม่รู้ว่าควรชื่นชมเขาหรือว่า……”
ถ้อยคำข้างหลัง เธอไม่ได้พูด แต่ทุกคนเข้าใจความหมาย
นัทธีปิดเอกสารเล่มนี้ หยิบอีกเล่มขึ้นมา “และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาอาจรู้ว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติแบบนั้นจริงๆ จึงล้มเลิกความคิดจัดตั้งบริษัทมาแข่งขันกับบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ไม่งั้นทรัพย์สินพวกนี้ เขาคงจะสูญเสียไปทั้งหมด”
“มูลค่ารวมของทรัพย์สินพวกนี้เป็นเท่าไร” นัทธีชี้ไปที่กองเอกสาร พร้อมกับถามมารุตที่อยู่ข้างๆ
มารุตดันแว่นตา “ประมาณห้าพันกว่าล้านครับ”
วารุณีกระตุกมุมปาก “สามหมื่นล้าน เหลือแค่ห้าพันกว่าล้าน นับว่ามีความสามารถพิเศษจริงๆ”
นัทธีไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก ที่จริงในใจเขาก็มีคำตอบที่คล้ายกันอยู่ในใจก่อนแล้ว
ตอนนี้เพียงแค่ถูกยืนยันแล้วเท่านั้น
“นัทธี สิ่งเหล่านี้คุณวางแผนจะจัดการยังไงเหรอ” วารุณีถาม
ตามหลักแล้ว ขงเบ้งมีลูกชาย ขงเบ้งตายไป โดยธรรมชาติแล้วมรดกควรตกไปเป็นของบุตร ซึ่งก็เป็นนิรุตติ์ที่ต้องได้รับมรดก
แต่ตอนนี้นิรุตติ์ไม่อยู่ในประเทศ แถมยังมีความแค้นกับนัทธี นัทธีจึงไม่มีทางให้มรดกเหล่านี้แก่นิรุตติ์
นัทธีมองกองเอกสารอย่างใจเย็น “เอาเงินสด เครื่องประดับเพชรทอง และของเก่าโบราณทั้งหมดฝากไว้ในธนาคาร สำหรับอสังหาริมทรัพย์และรถยนต์ เก็บไว้ที่เดิม หุ้นบริษัทอื่นๆ ให้ถ่ายโอนไปยังบัญชีกระแสรายวันไว้ชั่วคราว รอจนกว่าจะจับนิรุตติ์ได้แล้วค่อยว่ากัน”
อันที่จริง เรื่องที่นิรุตติ์กระทำผิด แม้จะร้ายแรง แต่โทษไม่ถึงตาย
ถ้านิรุตติ์ไม่ได้ลงมือฆ่าคน อย่างมากที่สุดก็ติดคุกยี่สิบปี หลังจากออกมา สิ่งเหล่านี้ เขาจะคืนให้นิรุตติ์ เพราะสิ่งเล็กน้อยพวกนี้ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา
แต่ถ้านิรุตติ์ลงมือฆ่าคน ถูกตัดสินประหารชีวิต เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ เขาจะจัดตั้งกองทุนการกุศล จัดทุกสิ่งไว้ช่วยเหลือผู้ที่ควรได้รับความช่วยเหลือ
“ครับ” มารุตอุ้มกองเอกสารขึ้น แล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยถามว่า “ท่านประธาน ตอนนี้ที่คฤหาสน์ไชยรัตน์ไม่มีคนอยู่แล้ว ต้องการให้ส่งคนเข้าไปดูแลไหมครับ”
“ไม่ต้อง รอขงเบ้งถูกฝังแล้ว ค่อยตรงเข้าไปเก็บกวาดสิ่งของของครอบครัวพวกเขา เก็บกวาดเสร็จแล้ว ก็ปิดตายคฤหาสน์ไชยรัตน์ ทุกปีเมื่อถึงวันไหว้บรรพบุรุษค่อยเข้าไป” นัทธีเอ่ยบางเบา
มารุตส่งเสียงตอบรับก่อนจะไป
วารุณีบีบไหล่ของนัทธี “งานศพของขงเบ้ง คุณจะจัดให้ไหม”
ตอนนี้ศพของขงเบ้ง ถูกส่งไปที่ฌาปนสถานแล้ว
อย่างไรก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนตระกูลไชยรัตน์ ดังนั้นนัทธีจึงไม่ปฏิเสธที่จะรับศพ และไม่มีเจตนาจะส่งศพให้ไปเพื่อการศึกษาวิจัยทางการแพทย์แต่อย่างใด
เพราะท้ายที่สุดแล้วขงเบ้งมีคุณสมบัติที่แตกต่างกับชยานี
ขงเบ้ง ถึงอย่างไรก็ยังคงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขา
เหมือนกับสุภัทร วารุณีเกลียดเขาแค่ไหน ก็ยังคงฝังเขาอย่างดี
“ไม่ โลกภายนอกต่างรู้ว่าขงเบ้งทำอะไรกับคุณพ่อคุณแม่ผม ถ้าผมยังจัดงานให้เขา คงทำให้โลกภายนอกหัวเราะเยาะ แค่ฝังก็พอแล้ว”
“ก็จริง” วารุณีพยักหน้า
ทันใดนั้นนัทธีก็กอดเธอ “ภรรยา ของขวัญของผมล่ะ”
วารุณีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก
ความรู้สึกที่เขามีมาตลอดตั้งแต่เมื่อวานยังจำได้จนถึงตอนนี้ กลัวว่าเธอจะลืมไปแล้ว
“ก็ได้ๆ ฉันจะให้แล้ว ไปที่ห้องกัน” วารุณีดึงเขาลุกขึ้น
เมื่อเช้า เขาไปที่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ดังนั้นเธอถึงได้มีโอกาสเอาของขวัญไปเก็บไว้ในห้อง
นัทธีตามวารุณีมาถึงห้องด้วยความคาดหวัง
ประตูห้องเปิดออก
นัทธีเข้าไป แต่ไม่เห็นอะไรเลย
ห้องยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป
ตอนแรกเขาคิดว่า ของขวัญที่เธอเตรียมให้ อาจจะเหมือนปาร์ตี้เล็กๆ ตกแต่งห้อง และให้ของขวัญเขาอีกต่างหาก
แต่ที่นี่ไม่มีอะไรเลย
“ของขวัญล่ะ” นัทธีหันหน้าไปมองวารุณี ดวงตาเต็มไปด้วยแววไม่พอใจ
เพราะไม่เห็นของขวัญ
“อยู่ในห้องแต่งตัว” วารุณีพูดยิ้มๆ
แววตาไม่พอใจของนัทธีหายไป ก้าวกว้างไปยังห้องแต่งตัว
หลังจากดึงเปิดประตูห้องแต่งตัว ภาพภายในทำให้เขาตกใจ
ภายในวางหุ่นสูงสองตัว ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
และบนตัวหุ่นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง สวมชุดแต่งงานเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
ชุดเจ้าบ่าวหรูหราสง่างาม ส่วนชุดแต่งงานของเจ้าสาว ยิ่งงดงามจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
โดยเฉพาะหางปลาใหญ่มหึมา และเพชรที่ประดับบนกระโปรง ทำให้ชุดแต่งงานดูดีมาก ราวกับกาแล็กซี่ของดวงดาว พาให้คนยากจะละสายตา
“คุณ……” นัทธีขยับริมฝีปากบาง อยากจะพูดอะไร แต่ด้วยภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้ไม่ว่าจะถ้อยคำใดก็ล้วนพูดไม่ออก
วารุณีเดินไปข้างกายเขา “เป็นยังไงสามี ของขวัญนี้พอใจไหม”
นัทธีนวดขมับ ในที่สุดก็ได้สติกลับมาจากความประหลาดใจ มองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง “ซื้อมาตั้งแต่เมื่อไร”
“ฉันไม่ได้ซื้อ ฉันออกแบบเอง” วารุณียิ้ม
นัทธีเลิกคิ้ว “ออกแบบเองเหรอ คุณออกแบบเมื่อไร ทำไมผมไม่รู้เลย”
“ตอนนั้นคุณพาลูกทั้งสองคนไปดูการแข่งขันของฉันที่ต่างประเทศครั้งแรก คุณบอกว่าอยากจัดงานแต่งงาน ดังนั้นฉันจึงออกแบบสิ่งนี้ แล้วส่งให้ปาจรีย์ ให้ปาจรีย์จัดการเรื่องการผลิต ที่จริงเดิมทีฉันอยากทำด้วยมือตัวเอง แต่ไม่มีเวลาเลย” วารุณีมองดูชุดแต่งงาน พูดอย่างค่อนข้างเสียดาย
นัทธีเอาเธอมากอดไว้ในอ้อมแขน “ไม่ คุณออกแบบด้วยมือตัวเองก็ดีมากแล้ว ไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองหรอก เดิมทีผมคิดว่าหลังจากการแข่งขันจบลง จะหานักออกแบบชุดแต่งงานชั้นนำของโลก มาออกแบบชุดแต่งงานที่สวยที่สุดสำหรับคุณ คิดไม่ถึงว่า คุณจะจัดการได้รวดเร็วกว่าผม”
“เพราะฉันอยากทำให้คุณเซอร์ไพรส์” วารุณีพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
นัทธียิ้มบาง “เซอร์ไพรส์มากจริงๆ แต่ชุดแต่งงาน ปกติจะเป็นผู้ชายที่มอบให้ผู้หญิง ทำไมคุณ……”
“ใครบอกว่าต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นที่มอบให้ผู้หญิง ผู้หญิงมอบให้ผู้ชายก็ได้ไม่ต่างกัน และอีกอย่างเราก็เป็นสามีภรรยากัน สามีภรรยาสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทุ่มเทให้กันและกัน ฉันไม่สามารถให้คุณเอาแต่ทุ่มเทเพื่อฉันฝ่ายเดียว ฉันก็อยากทำอะไรเพื่อคุณเช่นกัน แต่ความสามารถของฉันมีจำกัด ไม่มีสิ่งอื่นที่ทำได้ มีแค่พรสวรรค์ในการออกแบบ เพราะงั้นสิ่งที่ฉันทำได้ จึงมีแค่แบบนี้” วารุณีพูดอย่างเขินอาย
นัทธีจูบหน้าผากของเธอ “ไม่ คุณเก่งมากแล้ว ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ล้วนมีสิ่งที่ตัวเองถนัด ความสามารถในการออกแบบของคุณไม่มีใครเทียบได้ ชุดแต่งงานนี้สวยมาก หลังจากการแข่งขันจบลง เราจัดงานแต่งงานกันดีไหม เมื่อถึงเวลานั้น คุณก็สวมชุดนี้!”
“ได้” วารุณีพยักหน้า
เดิมที เธออยากให้จับนวิยาเรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยจัดงานแต่งงาน
แต่วันนั้นเธอบังเอิญเห็น เขากำลังดูวิดีโองานแต่งงานของคนอื่น เธอจึงรู้ว่าเขาอยากจัดงานแต่งงานให้เธอมากจริงๆ
ดังนั้น เธอก็ไม่อยากให้เขารอนานเกินไป
“จริงสิสามี คุณยังไม่ได้บอกเลย คุณคิดยังไงกับของขวัญชิ้นนี้เหรอ” จู่ๆ วารุณีก็ผลักเขาออกกะทันหัน แล้วเงยหน้าขึ้นถามชายหนุ่ม
ชายหนุ่มขดยิ้มมุมปาก “พอใจมาก แต่ยังไม่พอ”