วารุณีเองก็รู้สึกว่าคุณจุ๊บแจงคนนี้ดูแปลกมาก โดยเฉพาะคำพูดคำจาและนิสัยใจคอของเธอ เหมือนตัวละครในทีวีสมัยก่อน ที่นางเอกเป็นเด็กนักเรียนเข้มแข็งและยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง
แต่ถึงแม้จะคิดแบบนั้น วารุณีก็คงไม่พูดมันออกมาแน่ๆ มองส่งสัญญาณให้กับมารุต แล้วยกยิ้มให้จุ๊บแจง“ก็ได้ ฉันไม่ดูถูกคุณจุ๊บแจงแล้ว แต่ฉันยังยืนยันคำเดิม คุณช่วยชีวิตสามีของฉันเอาไว้ ยังไงฉันก็ต้องขอบคุณคุณ คุณคิดดูก่อนว่าต้องการอะไร รอคุณคิดได้แล้ว ค่อยโทรบอกฉันก็ได้ เบอร์เมื่อคืนที่ฉันโทรหา เป็นเบอร์ส่วนตัวของฉัน”
พูดจบ เธอก็หันหลัง แล้วเดินเข้าห้องไป
เมื่อจุ๊บแจงเห็นเช่นนี้ ก็รีบตามเข้าไปด้วยเช่นกัน “พวกคุณเป็นใครกัน ?”
เธอถาม
ขาที่กำลังก้าวเดินของวารุณีหยุดลง“ฉันคิดว่าคุณน่าจะเดาได้ เมื่อสองวันก่อนบนโลกออนไลน์มีข่าวว่า กรรมการผู้จัดการของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปหายตัวไป ? สามีของฉันเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ”
ดวงตาจุ๊บแจงเบิกกว้าง
ที่แท้เขาก็คือกรรมการผู้จัดการของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปจริงๆด้วย !
ก็จริง บนโลกใบนี้ จะมีคนสองคนที่หน้าตาเหมือนกันได้อย่างไร
เขาเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป และเขาก็แต่งงานแล้ว มีภรรยาที่สวยมาก และยังมีลูกแฝดชายหญิงด้วย ……
ความคิดของจุ๊บแจงที่คิดว่านัทธีอาจจะเป็นน้องชายฝาแฝดของกรรมการผู้จัดการของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปก็พังทลายลง และในความรู้สึกที่เจ็บปวด ส่วนลึกก็แอบมีความสุขเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
กรรมการผู้จัดการเหรอ คงต้องรวยมากแน่ๆ ?
หากเธอได้อยู่กับเขา คนเหล่านี้ก็จะเรียกเธอเหมือนที่เรียกผู้หญิงคนนี้ ว่าคุณผู้หญิงด้วยใช่ไหม ?
จุ๊บแจงยกยิ้มและมองดูแผ่นหลังที่สง่างามของวารุณี หัวใจก็เต้นรัวและเร็ว แววตามีความทะเยอทะยานบางอย่างไหววูบ
แต่บนใบหน้าของเธอ ไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย สองมือประสานกันแล้วถามว่า“ ในเมื่อเขาเป็นกรรมการผู้จัดการ แล้วทำไมก่อนหน้านั้นพวกคุณต้องโพสต์คลิปวิดีโอด้วย บอกว่าเขาไม่ได้หายตัวไปไหน ?”
“มันเป็นความลับทางธุรกิจ คุณจุ๊บแจงอย่ารู้มันเลยจะดีกว่า ”วารุณียังไม่ทันได้ตอบ มารุตก็พูดตัดหน้า น้ำเสียงยังแฝงการเตือนเอาไว้ด้วย
จุ๊บแจงขบริมฝีปากแน่น จู่ๆในใจก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
คนพวกนี้ก็ช่างชอบดูถูกคนเสียจริง !
มีเงินแล้วยังไง ?
วารุณีเอียงหน้าเล็กน้อย สายตามองมาที่จุ๊บแจง เห็นความคับแค้นใจบนใบหน้าของเธอ ก็ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย ไม่อยากที่จะสนใจ เดินตรงเข้าไปหาหมอ
“คุณหมอ นัทธีเป็นยังไงบ้าง?” วารุณีถามอย่างเป็นห่วง
หมอเก็บอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์“ท่านประธานไม่ได้เป็นอะไรมากครับ แต่ที่ศีรษะมีลิ่มเลือดกดทับอยู่ ก็จึงทำให้ยังไม่ฟื้นสักที ผมได้ยินมาว่าท่านประธานเคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเล็กๆมาก่อนใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ ”วารุณีพยักหน้า
หมอถอนหายใจ“ไม่แปลกเลย โรงพยาบาลขนาดเล็กมีเครื่องมือทางการแพทย์ไม่พร้อม การผ่าตัดหลายอย่างไม่สามารถดำเนินการได้ หากอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ๆ ลิ่มเลือดที่ศีรษะของท่านประธานสามารถใช้เครื่องมือแพทย์สลายได้ในทันที และคงฟื้นไปนานแล้ว ไม่ต้องเสียเวลานานขนาดนี้ ”
เมื่อได้ยินว่านัทธีไม่ได้เป็นอะไร หากได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ๆก็จะฟื้นขึ้นมาได้ วารุณีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกขึ้นมาทันที
มารุตที่อยู่ข้างๆมองไปยังจุ๊บแจงอย่างกล่าวโทษ“คุณจุ๊บแจง ผมขอบคุณคุณมากที่ช่วยชีวิตท่านประธานเอาไว้ แต่คุณพาท่านประธานไปรักษาในโรงพยาบาลเล็กๆแบบนั้น มันเสียเวลาท่านประธานมากคุณรู้ไหม ?”
จุ๊บแจงกำมือแน่นอย่างรู้สึกผิด เสียงก็ดังแหลมขึ้นมา“ก็ฉันไม่มีทางเลือก โรงพยาบาลใหญ่ๆมันแพงเกินไป ฉันไม่มีเงินมากพอขนาดนั้นที่จะส่งเขาไปรักษาที่นั่นนี่นา !”
มารุตยิ้มเยาะ“ไม่มีเงินจริงๆ หรือไม่คิดที่จะพาไปกันแน่ ผมคิดว่าคุณจุ๊บแจงน่าจะรู้อยู่แก่ใจตัวเองดี ในเมื่อคุณไม่มีเงิน ท่านประธานก็น่าจะมี โทรศัพท์ของท่านประธานหายไป แต่กระเป๋าสตางค์ยังอยู่กับตัว ในเมื่อไม่มีกระเป๋าสตางค์ นาฬิกา ที่หนีบเนกไท กระดุมแขนเสื้อและอีกมากมายล้วนเป็นของมีราคาทั้งนั้น คุณถอดทุกอย่างให้โรงพยาบาลก็มากเกินพอแล้ว ”
ดวงตาของจุ๊บแจงมีความประหลาดใจผาดผ่าน
ที่แท้ของพวกนั้นของเขา มีค่ามีราคามากมายขนาดนี้เชียวเหรอ ?
“อีกเรื่อง คุณจุ๊บแจงการช่วยชีวิตคนของคุณมันเป็นวิธีที่ผิดมาก ”มารุตพูดต่อ
จุ๊บแจงขมวดคิ้ว ตอบกลับอย่างไม่พอใจว่า “ฉันทำผิดอะไร ? ฉันช่วยเขาเอาไว้แท้ๆ พวกคุณยังมาโทษว่าฉันช่วยเขาด้วยวิธีผิดๆอีก พวกคุณจะมากเกินไปแล้ว!”
“เป็นเราที่มากเกินไป หรือเพราะคุณจุ๊บแจงเองที่เห็นแก่ตัว อันนี้ฉันไม่ขอพูดถึงแล้วกัน แต่ฉันอยากจะบอกคุณจุ๊บแจงให้รู้เอาไว้ วิธีช่วยคนที่ถูกต้อง คือหลังจากที่ส่งเขาคนนั้นไปที่โรงพยาบาลแล้ว ต้องไปแจ้งความทันที ให้ทางตำรวจเข้ามาตรวจสอบผู้บาดเจ็บ เพื่อติดต่อหาครอบครัวของเขา แบบนี้แล้วคนในครอบครัวของเขาก็ไม่ต้องร้อนรนและเป็นกังวลเพราะหาตัวเขาไม่พบ และเขาก็ไม่ต้องเสียเวลากับการรักษาที่ล่าช้า” วารุณีมองไปยังจุ๊บแจงแล้วพูดขึ้นบ้าง
มารุตพยักหน้า“คุณผู้หญิงพูดถูก คุณจุ๊บแจง คุณรู้ไหมว่าการที่คุณซ่อนท่านประธานเอาไว้แบบนี้ เราหาท่านประธานไม่เจอจะกระวนกระวายใจแค่ไหน ที่บริษัทก็วุ่นวายไปหมด คุณผู้หญิงก็เศร้าเสียใจมาก ยังมีคุณชายน้อยและคุณหนูน้อยก็เสียใจมากด้วยเช่นกัน แล้วถ้าหากท่านประธานไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะการกระทำของคุณ ”
ใบหน้าของจุ๊บแจงซีดเผือด จนเซถอยหลังไปสองก้าว “ ฉัน……… ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย……”
เธอเป็นแค่คนธรรมดา จะคิดรอบด้านไปเสียทุกอย่างได้อย่างไร
“ใช่ พวกเราจะเป็นยังไงคุณไม่ได้สนใจ คุณไม่เก็บเอามาคิดก็เป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องโทรหาตำรวจคุณคิดไม่ได้ ฉันคงต้องบอกว่าคุณตั้งใจมากกว่า คนคนหนึ่งที่นอนไม่ได้สติอยู่ที่ริมแม่น้ำ ดูยังไงก็น่าสงสัยมาก คุณไม่เพียงไม่แจ้งตำรวจ หนำซ้ำยังพาเขากลับมาที่บ้าน คุณไม่กลัวว่าเขาจะเป็นคนร้ายเหรอ ? ” วารุณีเอ่ยถาม
ริมฝีปากของจุ๊บแจงขยับไปมา “เขา……เขาหน้าตาดีขนาดนี้ จะเป็นคนร้ายได้ยังไง”
เมื่อได้ยินคำนี้ วารุณีก็หมดคำพูด
มารุตเองก็หมดคำพูดด้วยเช่นกัน
พวกเขาเข้าใจแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่สนใจแค่เรื่องหน้าตา และไม่มีหัวคิดอะไร
ในสายตาของผู้หญิงคนนี้ ขอแค่อีกฝ่ายหน้าตาดี ก็ไม่ใช่คนเลว ตรงกันข้าม ไม่อย่างนั้น ก็คงแจ้งตำรวจไปนานแล้ว
หรือบางทีอาจจะไม่แจ้งตำรวจ แต่กลับหันหลังแล้วหนีไปแทน
สรุปก็คือผู้หญิงคนนี้ สนใจในตัวท่านประธาน อยากจะเก็บท่านประธานเอาไว้ ไม่อยากให้คุณผู้หญิงได้เจอกับท่านประธาน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มารุตก็เหลือบมองไปยังจุ๊บแจงด้วยสายตาที่ดูถูก จากนั้นก็มองไปที่วารุณี “คุณผู้หญิง เราอย่าคุยอะไรกับเธออีกเลย พาท่านประธานไปก่อนดีกว่าครับ ”
วารุณีรับคำ“ได้ คุณให้คนเอาเปลเข้ามา”
“ได้ครับ”มารุตพยักหน้า แล้วไปเรียกคนมา
เมื่อจุ๊บแจงได้ยินว่าพวกเขาจะเอาตัวนัทธีไป ในใจก็ร้อนรนขึ้นมา ตะโกนออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า “พวกคุณจะพาเขาไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น !”
ดวงตาวารุณีเย็นเยือก ใบหน้าที่สะสวยก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ“เขาเป็นสามีของฉัน ทำไมฉันจะพาเขาไปไม่ได้ ไม่พาเขาไป ให้เขาอยู่ที่นี่ อยู่ใช้ชีวิตกับคุณหรือยังไง ? คุณจุ๊บแจง นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม ? ”
“ฉัน……ฉัน……”จุ๊บแจงไม่คิดว่าตัวเองจะพูดสิ่งที่คิดออกมา ดวงตาหลุกหลิกด้วยความละอายใจ ใบหน้าก็เห่อแดง
มุมปากวารุณีเหยียดออกอย่างเย็นชา“ ไม่ว่าคุณจะหมายถึงอะไร การซ่อนตัวคนเอาไว้มันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย เรื่องนี้ฉันมองข้ามมันได้ เห็นแก่ที่คุณช่วยเหลือเขาเอาไว้ ดังนั้นคุณจุ๊บแจง คุณอย่าทำลายบุญคุณที่มีนี้ลงเลย ไม่งั้นคนที่จะเสียเปรียบก็คือคุณ”
หลังจากที่พูดจบ วารุณีก็ไม่ได้สนใจเธออีก เดินเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อนำตัวนัทธีขึ้นเปลหาม
จุ๊บแจงยืนอยู่ข้างๆห้ามปรามอะไรไม่ได้อีก ทำได้เพียงกำมือแน่น และมองดูด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
ไม่นาน รถหรูหลายสิบคันก็ขับออกจากหมู่บ้านไป
จุ๊บแจงยืนอยู่ที่หน้าหมู่บ้าน มองดูขบวนรถที่ขับออกไป ในใจกำลังคิดอะไรอยู่ ก็ไม่มีใครรู้ได้
อีกด้านหนึ่ง วารุณีและพวกใช้เวลาภายในหนึ่งชั่วโมง กลับเข้าเมืองไปด้วยความเร่งรีบ
พิชิตได้รับสายจากมารุต ก็จัดทีมแพทย์เตรียมห้องผ่าตัดไว้รออยู่ก่อนแล้ว
รอนัทธีลงมาจากรถ ก็นำร่างเข้าห้องผ่าตัดได้เลยทันที
วารุณียืนรออยู่หน้าห้องผ่าตัด พิชิตที่สวมใส่ชุดผ่าตัดสีเขียวอยู่ เมื่อเห็นเธอร้อนรนกระวนกระวาย ก็พูดปลอบอย่างอ่อนโยนว่า“ไม่ต้องเป็นห่วง เป็นเพียงแค่การผ่าตัดเล็กๆ อีกเดี๋ยวนัทธีก็ออกมาแล้ว ”