มารุตและคนอื่นๆรอกันอยู่ด้านนอก ไม่ได้เข้าไปรบกวนการพบเจอกันอีกครั้งของวารุณีกับนัทธี
วารุณีใช้เวลาอยู่ในห้องร่วมครึ่งชั่วโมงได้ จากนั้นก็ถึงได้สงบสติอารมณ์ลงได้
เพราะเธอรู้ ว่าตอนนี้หาตัวนัทธีเจอแล้ว เธอก็สามารถเบาใจได้ ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนอีกต่อไป
“ผู้ช่วยมารุต”วารุณีเช็ดน้ำตาออก แล้วเรียกมารุตเข้ามาหา
“ครับคุณหญิง”มารุตเดินเข้ามาในห้อง เหลือบมองไปยังนัทธีแวบหนึ่ง ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ ให้ตามหมอมาดูอาการของท่านประธานเลยไหมครับ ?”
วารุณีตอบกลับ“ใช่ มาดูอาการของนัทธีหน่อย ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว ทำไมถึงยังไม่ฟื้น”
“ได้ครับ”มารุตพยักหน้า แล้วรีบเดินออกไปเพื่อตามหมอ
ในตอนที่หมอตรวจเช็กอาการของนัทธี วารุณีก็ยืนอยู่ตรงบริเวณประตูห้องเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเป็นกังวล
และทางด้านนอก จุ๊บแจงที่ไปหาห้องเช่า และได้ทำการเซ็นสัญญาเช่าไปเรียบร้อยแล้วก็กลับมา ทันทีที่มาถึงยังบริเวณที่ไม่ห่างจากบ้านพักนัก ก็เห็นชายชุดดำจำนวนมากยืนรายล้อมกันอยู่รอบๆบริเวณบ้านของตัวเอง
จุ๊บแจงชะลอเท้าตัวเองลงอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าที่มีความสุขก็ค่อยๆจางหายไป หัวใจเต้นโครมคราม จนอยู่ไม่สุข
คนพวกนี้เป็นใครกัน ?
ทำไมต้องล้อมบ้านของเธอเอาไว้ ?
ในตอนที่จุ๊บแจงกำลังรู้สึกไม่ดี มีบอดี้การ์ดคนหนึ่งก็สังเกตเห็นเธอ ถามเสียงดังว่า “คุณเป็นใคร?”
จุ๊บแจงกำมือแน่น รวบรวมความกล้าแล้วตอบกลับไปว่า “ ฉันต้องถามพวกคุณมากกว่าว่าพวกคุณเป็นใคร ทำไมมาอยู่ที่บ้านของฉันได้ ? ”
บอดี้การ์ดประหลาดใจ “คุณเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เหรอ ?”
“ใช่” จุ๊บแจงพยักหน้า
“งั้นดีเลย ตามผมไปหาคุณผู้หญิงของผมแล้วกัน ”ในตอนที่บอดี้การ์ดพูด ก็เดินเข้ามาคว้าแขนของเธอ แล้วลากเธอเข้าไปในบ้าน
เขาได้ยินที่คุณผู้หญิงบอกแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้พยายามปกปิดเรื่องที่ท่านประธานอยู่ที่นี่
ดังนั้นก็จึงไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่นอน
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็อย่าโทษเขาที่ปฏิบัติกับเธอแบบนี้เลย
จุ๊บแจงไม่คิดว่าบอดี้การ์ดจะหยาบคายอย่างนี้ ถึงขนาดฉุดลากเธอเข้ามา ในใจทั้งโมโหและหงุดหงิด “นี่นายทำอะไรเนี่ย ปล่อยฉันนะ!”
บอดี้การ์ดก็ราวกับจะไม่ได้ยิน ใช้กำลังดึงลากเธอเข้าไปในบ้าน
เมื่อวารุณีได้ยินเสียงเอะอะจากทางด้านนอก ก็เดินออกมาพร้อมมารุตเพื่อดู “เกิดอะไรขึ้น?”
“คุณผู้หญิง เจ้าของบ้านหลังนี้กลับมาแล้วครับ”บอดี้การ์ดตอบ และพลางปล่อยมือออกจากเธอ
จุ๊บแจงก็มองไปยังคุณผู้หญิงคนที่บอดี้การ์ดเอ่ยเรียก ดวงตาของเธอถึงกับอึ้ง
ผู้หญิงอะไรจะสวยได้ขนาดนี้!
จุ๊บแจงตกตะลึง
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ และมีสง่าราศีมาก เมื่อเทียบกับอีกฝ่ายแล้ว ตัวเองเหมือนเป็นลูกเป็ดขี้เหร่เลย
ทันใดนั้น จุ๊บแจงก็ก้มหน้าลง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับวารุณี เพราะเธอรู้ ว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากันเธอก็คงจะรู้สึกละอายใจ
วารุณีไม่รู้ว่าจุ๊บแจงกำลังคิดอะไรอยู่ จึงขยับเดินเข้าไปหา แล้วหยุดลงตรงหน้าของจุ๊บแจง“คุณคือคุณจุ๊บแจงเหรอคะ?”
เธอเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
จุ๊บแจงรู้สึกว่าเสียงของวารุณีคุ้นหูมาก ราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน นึกคิดอะไรขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ครุ่นคิดอยู่ราวๆสิบวินาทีได้ เธอก็นึกออก เงยหน้าขึ้นในทันที และมองดูวารุณีด้วยความประหลาดใจ“คุณ คนเมื่อคืน……”
ดวงตาของวารุณีเป็นประกาย ยกยิ้มแล้วพยักหน้าให้ “ฉันเองค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่โทรหาคุณในตอนดึก เพราะฉันเป็นห่วงสามีมากไปหน่อย”
“สา……สามีคุณ?”ภายในใจของจุ๊บแจงยิ่งร้อนรนจนอยู่ไม่สุข ริมฝีปากขยับไปมา “สา……สามีของคุณคือ?”
คงไม่ใช่ชายหนุ่มที่อยู่ด้านในคนนั้นหรอกนะ ?
ในขณะที่จุ๊บแจงกำลังกระสับกระส่าย วารุณีก็หรี่ตาลง ทำลายจินตนาการของเธอ
“ผู้ชายที่อยู่ข้างใน คือสามีของฉันค่ะ”วารุณีตอบ
การคาดเดาได้รับการยืนยันจุ๊บแจงก็ถึงกับรับไม่ได้
สีหน้าของเธอซีดเซียว และพูดสวนกลับโดยไม่รู้ตัวว่า “ เป็นไปไม่ได้ เขาจะเป็นสามีของคุณได้ยังไง!”
ใบหน้าของวารุณีก็แน่นิ่งลงทันที
ในที่สุดก็แน่ใจได้ว่าผู้หญิงคนนี้ปิดบังอำพรางนัทธีเอาไว้ เพราะเธอชอบนัทธี ไม่อยากให้ใครมาเจอนัทธี จากนั้นก็จะพานัทธีหนีหายไป
เดิมทีวารุณีก็ได้คิดเอาไว้แล้ว ว่าหากหญิงสาวคนนี้ไม่ได้มีเจตนาแบบนี้ เธอก็จะตอบแทนบุญคุณของผู้หญิงคนนี้ให้อย่างเต็มที่
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า มันไม่มีความจำเป็นนั้นแล้ว แค่เพียงผลประโยชน์เล็กน้อยแทนการขอบคุณก็น่าจะพอแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น วารุณีก็ถามอย่างเย็นชาว่า“ทำไมเขาจะเป็นสามีของฉันไม่ได้ แล้วถ้าหากเขาไม่ใช่สามีของฉัน คุณคิดว่าเขาควรเป็นของใคร ของคุณเหรอ ?”
“ฉัน……ฉัน……” จุ๊บแจงถึงกับจุก พูดไม่ออกด้วยความรู้สึกผิด
เมื่อวารุณีเห็นดังนั้น แค่นเสียงหึออกมา “จุ๊บแจง ฉันรู้ว่าทำไมคุณถึงปฏิเสธ และฉันก็รู้ว่าทำไมเมื่อคืนคุณถึงได้พูดโกหกและตัดสายของฉัน เพราะคุณตกหลุมรักสามีของฉัน”
“ฉัน……ฉันเปล่านะ……” จุ๊บแจงแย้งเสียงเบา
วารุณีพอใจในคำตอบ “ในเมื่อไม่ใช่ คุณบอกฉันมาสิ ว่าทำไมคุณต้องปฏิเสธ และทำไมคุณต้องโกหกด้วย ? หืม ? ”
ใบหน้าจุ๊บแจงแดงก่ำ ทั้งโกรธและทั้งอายจนไม่กล้าที่จะมองหน้าเธอ “ ฉันแค่กลัวว่าคุณจะเป็นพวกหลอกลวง ก็เลย……”
เสียงของจุ๊บแจงเบาลงเรื่อยๆ
วารุณียิ้มเยาะ “ผู้ช่วยมารุต รบกวนคุณช่วยเอาทะเบียนสมรสของฉันกับนัทธีให้เธอดูหน่อยให้เธอเห็น ว่าฉันเป็นพวกโกหกหลอกลวงหรือเปล่า ”
“ครับ!”ผู้ช่วยมารุตพยักหน้า
เมื่อจุ๊บแจงได้ยินคำว่าทะเบียนสมรส ดวงตาก็เบิกกว้าง เหงื่อเม็ดเล็กๆเริ่มผุดออกมา
ตอนนี้เธอเชื่ออย่างหมดใจแล้วว่า ผู้หญิงตรงหน้าที่หน้าตาสะสวยไร้ที่ติคนนี้ คือภรรยาของผู้ชายคนนั้น
แต่เป็นเพราะเชื่อ เธอก็จึงยิ่งรับมันไม่ได้
ทำไมการที่เธอจะตกหลุมรักใครสักคนคนคนนั้นถึงต้องมีครอบครัวแล้วด้วย ?
ในตอนนี้เอง ภายในใจของจุ๊บแจงก็รู้สึกทั้งอายและทั้งโกรธ ที่อายคืออีกฝ่ายเอาทะเบียนสมรสมาหักล้างกับคำโกหกของเธอ จนเธอแทบแทรกแผ่นดินหนี
ที่โกรธคือทำไมพระเจ้าถึงไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ทำไมต้องทำกับเธอแบบนี้ด้วย!
มารุตเอาทะเบียนสมรสมา และยื่นให้กับวารุณี
วารุณีรับมาแล้วเปิดออก ยื่นไปตรงหน้าของจุ๊บแจง“คุณจุ๊บแจง คุณดู นี่คือทะเบียนสมรสของฉันกับสามี ตอนนี้คุณคงจะเชื่อแล้ว ว่าเราเป็นสามีภรรยากันใช่ไหมคะ ? ”
จุ๊บแจงขบริมฝีปากแล้วมองดูตัวหนังสือในทะเบียนสมรส วารุณี นัทธี
ที่แท้ชื่อของเขาคือนัทธี
“เห็นชัดไหมคะ?”วารุณียิ้มและเก็บทะเบียนสมรสกลับคืน
จุ๊บแจงอ้าปากค้าง อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก
วารุณีมองมาที่เธอ “เอาล่ะจุ๊บแจง คุณปกปิดที่อยู่ของสามีฉัน อีกทั้งยังออกไปเช่าบ้านที่อื่น เพื่อซ่อนสามีของฉันเอาไว้ ให้เราตามหาตัวเขาไม่เจอ แม้มันจะเป็นเรื่องที่น่าละอาย แต่เพราะเห็นแก่ที่คุณช่วยชีวิตสามีของฉันเอาไว้ ฉันจะไม่ถือสาเอาความในเรื่องนี้ คุณพูดความต้องการของคุณมาได้เลย คุณต้องการอะไร อะไรที่ฉันสามารถให้คุณได้ฉันก็จะให้คุณ ถือว่าเป็นสินน้ำใจที่คุณช่วยชีวิตสามีฉันเอาไว้ และแน่นอนว่า คุณจะขอเป็นเงินก็ได้เช่นกัน ”
ดวงตาที่แดงก่ำของจุ๊บแจงจ้องเขม็งมองไปที่วารุณี“นี่คุณวารุณี คุณจะดูถูกฉันมากเกินไปแล้ว ”
ในหัวของวารุณีกับมารุตจู่ๆก็มีคำถามผุดขึ้นอย่างมากมาย
วารุณีพูดอย่างไม่เข้าใจว่า“คุณจุ๊บแจงฉันดูถูกคุณตรงไหน ?”
จุ๊บแจงขบริมฝีปากแน่นแล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า“ คุณเอาเงินมาฟาดหัวฉัน มีเงินแล้วคิดว่าจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ ?”
“……”มุมปากวารุณีกระตุก
มารุตก็มีใบหน้าที่จนใจ“คุณจุ๊บแจงคุณผู้หญิงของเราไม่ได้คิดจะดูถูกคุณ แค่อยากจะตอบแทนที่คุณช่วยคุณผู้ชายของเราไว้ก็เท่านั้น ”
และอีกอย่าง ช่วยชีวิตคนเอาไว้เอ่ยปากพูดเรื่องเงินกับอีกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายอะไร
และอีกฝ่ายก็อาจจะคาดหวังให้คนคนนั้นร้องขอสินน้ำใจอยู่ด้วยก็เป็นได้
ขอสินน้ำใจเป็นเงินดีกว่าร้องขออะไรต่อมิอะไรเสียอีก
บางครั้งการร้องขออะไรที่มันแปลกประหลาด อีกฝ่ายก็ต้องรับปากทำมันให้ได้ และยากที่จะปฏิเสธคำขอนั้น
การขอเงิน ถึงแม้จะจำนวนมากไปหน่อย แต่ก็เป็นวิธีที่จัดการได้ง่ายที่สุด ไม่มีปัญหาอื่นๆตามมาทีหลัง
แล้วทำไมพอมาอยู่ในสายตาของคุณจุ๊บแจง ถึงได้กลายเป็นการดูถูกไปได้
“ฉันไม่ต้องการสิ่งตอบแทนอะไร !” จุ๊บแจงเชิดหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิ “ที่ฉันช่วยเขา มันเป็นแค่จิตสำนึกและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเท่านั้น ไม่เคยคิดถึงเรื่องสินน้ำใจใดๆ ดังนั้นเรื่องพวกนี้พวกคุณไม่ต้องหยิบยกเอามาพูดอีก เพราะนั้นมันคือการดูถูกศักดิ์ศรีของฉัน”
วารุณีกะพริบตาถี่ๆ หมดคำจะพูด
มารุตพูดเสียงเบาว่า “คุณผู้หญิง หรือเธอจะดูนิยาย หรือละครทีวีมากไปครับ ผมว่าเรื่องนี้มันทะแม่งๆนะครับ ?”