วารุณีเดินตรงไปยังบาทหลวง ตลอดทางเธอยิ้มและมองดูแขกทุกคนไปด้วย
ศรัณย์กับพิชิตกำลังอวยพรเธอกับนัทธีอย่างจริงใจ พงศกรแม้จะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่แววตากลับดูไม่สดใสเลย
วารุณีเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็อดไม่ได้ถอนหายใจ
เขายังไม่ตัดใจจากเธออีกเหรอ?
แต่วารุณีก็ไม่ได้สนใจพงศกรมาก ไม่นานก็ละสายตาไปทักทายแขกคนอื่น
ทางนี้มีเมธาวี
เมธาวีสวมชุดเดรสเปิดไหล่ข้างเดียวสีชมพูอ่อน เครื่องประดับบนตัวและการแต่งหน้าก็ดูเข้ากันมาก ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ที่ไม่ว่าไปงานเลี้ยงไหน หรือวันปกติ เมธาวีก็แทบจะเอาเครื่องประดับราคาแพงประโคมใส่เต็มตัว
แน่นอน นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ที่สำคัญคือ เธอเห็นคำอวยพรที่จริงใจจากใบหน้าของเมธาวี ดูไม่ปลอมเลย มันดูจริงจังและจริงใจมาก
เมธาวีอวยพรเธอกับนัทธีจากใจจริง และเมื่อก่อนใบหน้าของเมธาวีก็มักจะมีความหยิ่งจองหอง แต่ตอนนี้กลับมลายหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ปล่อยวาง
เห็นแบบนี้แล้ว เรื่องที่นัทธีบอกว่าเมธาวีเปลี่ยนไปแล้ว คงเป็นเรื่องจริงสินะ
กำลังคิดอยู่นั้น วารุณีก็สบตากับเมธาวีเข้า
เมธาวีก็รู้สึกไม่ชิน สีหน้าบนใบหน้าชะงักอยู่นานมาก ปรบมือช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
วารุณีรู้ว่าเมธาวีคงกำลังคิดเรื่องเมื่อก่อนอยู่ ไม่รู้ว่าจะพูดกับเธอยังไงดี
ดังนั้นเธอก็เลยเริ่มพยักหน้าและยิ้มให้เมธาวีก่อน รอยยิ้มนั้นเป็นมิตรอย่างแท้จริง
เมธาวีก็รู้สึกได้เหมือนกัน ใบหน้าที่ตึงอยู่นั้นก็คลายตัวลง และก็ยิ้มตอบ จากนั้นก็ปรบมือต่อไป
แม้ทั้งสองจะสบตากันแปบเดียว แต่นัทธีก็เห็นทันอยู่ดี
นัทธีจับมือวารุณีแล้วพูดว่า “เธอกับเมธาวีปรับความเข้าใจกันแล้วเหรอ?”
วารุณีหัวเราะ “ฉันกับเธอก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ทำไมต้องปรับความเข้าใจกันด้วยล่ะ? ก็แค่ปล่อยวางเรื่องราวในอดีต แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันกับเธอต่อไปจะเป็นเพื่อนกันได้”
นัทธีพยักหน้า “แบบนี้ก็ดี”
“แต่เมธาวีเปลี่ยนไปมาเลยนะ” วารุณีพูดเสริมอีก
นัทธีพูดต่อ “กองทัพสอนมา”
“นายท่านวัชระเอ็นดูหลานสาวขนาดนั้น แต่กลับส่งเมธาวีไปกองทัพ ท่านคงจะปวดใจน่าดูเลยนะ” วารุณีพูด
นัทธีพูดต่อว่า “ถ้าไม่ทำแบบนี้ ตระกูลแววสูงเนินรุ่นนี้ มีแค่เมธาวีคนเดียว ธุรกิจทั้งหมดของตระกูลแววสูงเนินก็ต้องส่งต่อให้เมธาวีทั้งหมด ถ้าเมธาวียังมีนิสัยเหมือนเมื่อก่อน ตระกูลแววสูงเนินก็คงถึงจุดจบแล้วล่ะ นายท่านวัชระไม่อยากให้ธุรกิจที่ตัวเองสร้างขึ้นมาพังทลาย จึงต้องจำใจต้องฝึกฝนเมธาวี สุดท้ายเมธาวีก็ไม่ทำให้นายท่านวัชระผิดหวัง แม้เมธาวีจะไม่ได้ทำให้ธุรกิจของตระกูลแววสูงเนินก้าวกระโดด แต่อย่างน้อยตระกูลแววสูงเนินก็จะไม่พังทลายไป”
ระหว่างพูด ทั้งสองก็มาถึงตรงหน้าบาทหลวงแล้ว
บาทหลวงมองดูคู่บ่าวสาว เขาเคยเจอคู่รักมากมากมาย แต่ไม่เคยเจอคู่รักไหนที่เหมาะสมกันได้ขนาดนี้เลย
บาทหลวงเปิดหนังสือในมือออก พูดด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนว่า “คุณนัทธี คุณจะรับคุณวารุณีเป็นภรรยาของคุณไหม คุณสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเธอ ทั้งในยามสุขและยามยาก ในยามไข้และสบายดี จะรักเธอและให้เกียรติเธอชั่วชีวิตของคุณหรือไม่?”
นัทธีกับวารุณียืนสบตากัน
เขามองผู้หญิงตรงหน้าด้วยแววตาที่อ่อนโยน และพูดออกมาช้าๆว่า “ครับ”
วารุณีขอบตาแดงก่ำ
บาทหลวงมองดูวารุณีแล้วถามว่า “คุณวารุณี คุณจะรับคุณนัทธีเป็นสามีของคุณไหม คุณสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อเขา ทั้งในยามเขายากจนหรือยามไข้ คุณจะรักและใช้ชีวิตร่วมกับเขาชั่วนิรันดร์หรือไม่?”
“ค่ะ!” ริมฝีปากสีแดงฉ่ำของวารุณีเปิดออกเล็กน้อย และตอบอย่างไม่ลังเล
นัทธีตะลึงและมองเธอด้วยแววตาที่อ่อนโยนยิ่งขึ้นไปอีก
บาทหลวงมองดูคู่บ่าวสาวที่รักกันอย่างสุกซึ้ง เขาก็ยิ้มและพยักหน้าพูดว่า “บัดนี้ขอประกาศว่า ท่านทั้งสองได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว เจ้าบ่าวเชิญจูบเจ้าสาวที่งดงามของคุณได้เลย”
นัทธียื่นมือไปเปิดผ้าคลุมหน้าของวารุณีออก จากนั้นก็เชยคางของวารุณีขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงไปจูบเธอเบาๆ
แขกที่นั่งอยู่ด้านล่างเห็นแล้ว ก็ปรบมืออีกครั้ง แสดงถึงการอวยพรทั้งคู่
อารัณกับไอริณสองพี่น้องก็โปรยดอกไม้อีกครั้ง
คนเดียวที่ไม่พอใจก็คือพงศกร กับจุ๊บแจงที่แอบมองอยู่ด้านนอกโบสถ์
พงศกรมองดูวารุณีผ่านทะลุแว่นตาตัวเอง เป็นสีหน้าที่เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เสียงปรบมือก็ขาดๆหายๆ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาไม่ได้อวยพรวารุณีอย่างจริงใจ
ห้าปีก่อน ตอนที่เขาเจอวารุณีครั้งแรก ก็หวั่นไหวตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเจอกันแล้ว
แต่ไม่คิดว่า ตอนนั้นเธอจะท้องลูกขอคนอื่นอยู่
แต่เขาก็ไม่ถืออะไร เขายอมรับเธอได้ทุกอย่าง รวมถึงเด็กในท้องเธอด้วย
แต่เธอกลับไม่อยากเริ่มต้นความรักครั้งใหม่เลย ดังนั้นเขาเลยไม่มีโอกาสได้สารภาพความในใจกับเธอ เพราะเขาให้เกียรติเธอ
แต่สุดท้ายล่ะ พอเธอกลับประเทศก็คบกับนัทธีเลย เขาถึงได้รู้ว่า เธอไม่ได้ไม่อยากเริ่มต้นรักครั้งใหม่หรอก เธอแค่ไม่ชอบเขาเท่านั้นเอง
เขายังคิดว่า ถ้าตอนนั้น เขากล้าหน่อย สารภาพรักกับเธอไปเร็วๆ เขาจะมีโอกาสนั้นไหมนะ?
แต่ตอนนี้พูดพวกนี้ไปแล้วได้อะไรล่ะ?
เธอไม่มีทางเป็นของเขาได้แล้ว
ที่ไม่ไกลมาก ปาจรีย์ที่ห่างจากพงศกรอยู่หลายที่นั่งก็เห็นสีหน้าที่แอบเศร้าโศกของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็เริ่มจางลง เสียงปรบมือก็เบาลงเรื่อยๆ
เชอรีนรู้สึกได้ว่าเธอเสียใจอยู่ ก็เลยอดไม่ได้ถามไปว่า: “เธอเป็นอะไรไปเหรอ?”
“ฉันไม่เป็นไร” ปาจรีย์รีบก้มหน้าลง ไม่ให้ใครเห็นแววตาที่เสียใจของตัวเอง เธอจึงตอบไปว่า: “ฉันแค่เห็นวารุณีแต่งงานแล้ว แค่รู้สึกดีใจกับเธอเท่านั้นเอง”
“ท่าทางแบบนี้ดูไม่มีความสุขเลยนะ อีกอย่าง ตอนนี้พวกเขาแค่จัดงานแต่งเสริมเท่านั้นเอง พวกเขาแต่งงานกันนานแล้วนี่? ดังนั้นเธอโกหกได้ไม่เนียนเลยนะ บอกมาว่าเป็นอะไรไป?”
เชอรีนชนไหล่ปาจรีย์เบาๆ “หรือเห็นคนที่ชอบเขา ดังนั้น……”
“เธอรู้ได้ยังไง?” ปาจรีย์มองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เชอรีนหัวเราะแหะๆ “ฉันเห็นอยู่แล้ว เมื่อกี้ฉันเห็นเธอแอบมองไปทางนั้นหลายรอบ แต่ทางนั้นเหมือนจะมีพวกผู้ชายอยู่หลายคน ฉันเลยไม่รู้ว่าเธอมองใครกันแน่ แต่สิ่งเดียวที่แน่ใจคือ คนที่เธอชอบ เป็นผู้ชายหนึ่งในนั้นแน่นอน”
“เธอนี่ช่างสังเกตจริงๆเลยนะ” ปาจรีย์หัวเราะ
เชอรีนยักไหล่ “ฉันไม่ได้ช่างสังเกตหรอกนะ แต่เธอแสดงออกมากเกินไปจนเห็นได้ชัด บอกมาว่าใครกันแน่?”
“ไม่บอก ฉันกับเขาเป็นไปไม่ได้หรอก” ปาจรีย์ส่ายหน้าไม่ยอมพูด
เชอรีนเห็นแล้วก็พูดอย่างเสียดายว่า “ฉันยังอยากฟังเธอเม้าท์มอยอยู่เลย”
“ต่อไปถ้ามีโอกาส ฉันจะบอกเธอนะ” ปาจรีย์หัวเราะ
นอกโบสถ์ จุ๊บแจงยืนอยู่กับเพื่อนพนักงานทำความสะอาดอยู่ไกลมาก และคอยดูสถานการณ์ในโบสถ์อยู่ตลอดเวลา
พวกเขาเข้าไปไม่ได้ ทำได้แค่ยืนดูอยู่ที่นี่
ยังดีที่ประตูโบสถ์ใหญ่ พวกเขาเลยเห็นภาพด้านในได้ชัดเจน
ตอนที่เห็นนัทธีเปิดผ้าคลุมหน้าของวารุณีออก และจูบวารุณี พวกพนักงานต่างก็ร้องฮือฮากันใหญ่
“นั่นคือคุณหญิงเหรอ สวยมากเลย”
“นั่นสิ ฉันเพิ่งจะเคยเห็นผู้หญิงที่สวยขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลย ดาราในทีวียังไม่สวยขนาดนี้เลยนะ เหมาะสมกับท่านประธานมากเลย”
“แต่ดูคุ้นๆนะ เหมือนจะเคยเจอที่ไหน”
ได้ยินพวกเพื่อนร่วมงานซุบซิบกัน จุ๊บแจงก็กำมือไว้แน่น แววตาปะทุไปด้วยความโกรธ
สวยแล้วยังไง?
สวยมันกินได้หรือไง?
และถึงแม้คุณวารุณีจะสวยมากแค่ไหน แต่ถ้าใจแคบแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีเลย